Better Pharmacy Chiang Mai
Shared publicly - 11:00
ตาแห้ง (Dry Eye) - ศูนย์ ตา ธรรมศาสตร์
http://www.tec.in.th/flap/flap3.pdf
http://www.tec.in.th/flap/flap3.pdf
1
Add a comment...
Better Pharmacy Chiang Mai
Shared publicly - 10:59
ผิวหนังของคนเรามีตัวไร 2 ชนิดอาศัยอยู่ คือ ตัวไรในต่อมขน และตัวไรของต่อมไขมัน ตัวไรเหล่านี้ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เมื่อส่องด้วยกล้องจุลทรรศน์พบว่ามีลักษณะคล้ายหนอน มีหัว มีหาง มีแปดขา ผู้ที่มีภาวะตาแห้งมักพบตัวไรเหล่านี้บริเวณโคนขนตาค่อนข้างมาก บางเส้นมีมากถึง 3-5 ตัว เนื่องจากตัวไรมากินคราบไขมัน ที่เกิดจากการอักเสบของต่อมน้ำตาที่ขอบเปลือกตา และเพิ่มจำนวนขึ้น เกิดเป็นวงจรการอักเสบไม่สิ้นสุด การทำความสะอาดเปลือกตาจะช่วยตัดวงจรนี้ และทำให้ภาวะตาแห้งดีขึ้นได้
การนวดและทำความสะอาดเปลือกตาจะเริ่มด้วยการประคบเจลอุ่นที่เปลือกตาประมาณ 10 นาทีเพื่อให้ไขมันที่เปลือกตาอ่อนตัวลง จากนั้นผู้ป่วยจะได้รับการหยอดยาชา และแพทย์หรือพยาบาลจะทำการนวดเปลือกตาโดยใช้แท่งแก้วและไม้พันสำลีกดรีดไขมันที่อุดตันบริเวณเปลือกตา เมื่อทำการกดรีดไขมันเรียบร้อยแล้ว ผู้ป่วยจะได้รับการทำความสะอาดเปลือกตาด้วยโฟม (สำหรับผู้ที่ตรวจพบตัวไรที่โคนขนตา* จะใช้โฟมที่มีน้ำยาพิเศษสำหรับฆ่าเชื้อโรคหรือตัวไร) แล้วจึงเช็ดโฟมออกหลังจากทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว
https://www.bumrungrad.com/th/Better-Health/2558/eye-health-care/tear-nasolacrimal-duct-obstruction
https://www.bumrungrad.com/healthspot/March-2016/dry-eyes-lids-spa-treatment
การนวดและทำความสะอาดเปลือกตาจะเริ่มด้วยการประคบเจลอุ่นที่เปลือกตาประมาณ 10 นาทีเพื่อให้ไขมันที่เปลือกตาอ่อนตัวลง จากนั้นผู้ป่วยจะได้รับการหยอดยาชา และแพทย์หรือพยาบาลจะทำการนวดเปลือกตาโดยใช้แท่งแก้วและไม้พันสำลีกดรีดไขมันที่อุดตันบริเวณเปลือกตา เมื่อทำการกดรีดไขมันเรียบร้อยแล้ว ผู้ป่วยจะได้รับการทำความสะอาดเปลือกตาด้วยโฟม (สำหรับผู้ที่ตรวจพบตัวไรที่โคนขนตา* จะใช้โฟมที่มีน้ำยาพิเศษสำหรับฆ่าเชื้อโรคหรือตัวไร) แล้วจึงเช็ดโฟมออกหลังจากทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว
https://www.bumrungrad.com/th/Better-Health/2558/eye-health-care/tear-nasolacrimal-duct-obstruction
https://www.bumrungrad.com/healthspot/March-2016/dry-eyes-lids-spa-treatment
1
Add a comment...
Better Pharmacy Chiang Mai
Shared publicly - 10:59
ตาแห้งเป็นโรคตาที่เกิดจากระบบต่อมน้ำตาทำงานผิดปกติ ทำให้มีปริมาณน้ำตาไม่เพียงพอ ส่งผลให้เกิดอาการไม่สบายตา เช่น เคืองตา แสบตา ตาแห้ง การนวดและทำความสะอาดเปลือกตา สามารถบรรเทาอาการตาแห้งเรื้อรังได้ รายละเอียดเพิ่มเติม : https://goo.gl/BDDEo3
1
Add a comment...
Better Pharmacy Chiang Mai
Shared publicly - 10:58
รักษาสุขภาพของเปลือกตาได้แก่
1. ทำความสะอาดเปลือกตาโดยใช้ แชมพูสระผมเด็ก หรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเปลือกตาโดยเฉพาะ ซึ่งอาจอยู่ในรูปของโฟม หรือ เจล หรือ แผ่นสำลีชุบน้ำยา โดยเช็ดทำความสะอาดบริเวณขอบเปลือกตาตรงรูเปิดของต่อมไขมัน เพื่อขจัดไขมันและเชื้อโรคที่สะสมอยู่บริเวณนั้น
2. ประคบอุ่นโดยใช้อุปกรณ์ที่สามารถให้ความร้อนได้ประมาณ 40 องศาเซลเซียส ใช้เวลา 5-15 นาที ทำวันละ 1-2 ครั้ง ซึ่งอาจเป็น ผ้าชุบน้ำอุ่น ไข่ต้ม ถุงน้ำร้อน หรือผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป เช่น blepharosteam, hot moist air, eye warmer mask เป็นต้น
3. นวดเปลือกตา เป็นการกดและรีดตามแนวการวางตัวของต่อมไขมัน เพื่อให้ไขมันที่อุดตันระบายออกมา โดยใช้นิ้วมือของตนเอง หรืออาจใช้อุปกรณ์ช่วยเช่น คีมหนีบ แท่งหลอดแก้ว หรือผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป เช่น Lipidview เป็นต้น
>>>>>>>>
ใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อทำลายเชื้อโรคที่สะสมในต่อมไขมันที่อุดตัน ซึ่งประกอบไปด้วย
1. ยาปฏิชีวนะเฉพาะที่โดยอาจอยู่ในรูปของ ยาหยอดตา เจล หรือขี้ผึ้งป้ายตา เช่น Azithromycin, metronidazole, fucidic acid เป็นต้น
2. ยาปฏิชีวนะชนิดรับประทานได้แก่ Azithromycin หรือ กลุ่ม tetracyclinesเป็นต้น
3. ใช้ยาลดการอักเสบได้แก่steroids หรือ cyclosporine เป็นต้น
4. ใช้น้ำตาเทียมเพื่อหล่อลื่นผิวตา ซึ่งมักจะแห้งเนื่องจากน้ำตาระเหยเร็วไป และช่วยชะล้างสารที่กระตุ้นการอักเสบ ซึ่งควรใช้ชนิดที่ไม่มีสารกันเสียถ้าต้องใช้มากกว่า 4 ครั้งต่อวัน และควรใช้ชนิดที่มีไขมันเป็นส่วนประกอบเพื่อทดแทนชั้นไขมันที่ลดน้อยไป
http://www.med.cmu.ac.th/dept/eye/2012/index.php?option=com_content&view=article&id=330%3A2015-10-21-07-01-59&catid=17%3Aknowleadge&Itemid=394
1. ทำความสะอาดเปลือกตาโดยใช้ แชมพูสระผมเด็ก หรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเปลือกตาโดยเฉพาะ ซึ่งอาจอยู่ในรูปของโฟม หรือ เจล หรือ แผ่นสำลีชุบน้ำยา โดยเช็ดทำความสะอาดบริเวณขอบเปลือกตาตรงรูเปิดของต่อมไขมัน เพื่อขจัดไขมันและเชื้อโรคที่สะสมอยู่บริเวณนั้น
2. ประคบอุ่นโดยใช้อุปกรณ์ที่สามารถให้ความร้อนได้ประมาณ 40 องศาเซลเซียส ใช้เวลา 5-15 นาที ทำวันละ 1-2 ครั้ง ซึ่งอาจเป็น ผ้าชุบน้ำอุ่น ไข่ต้ม ถุงน้ำร้อน หรือผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป เช่น blepharosteam, hot moist air, eye warmer mask เป็นต้น
3. นวดเปลือกตา เป็นการกดและรีดตามแนวการวางตัวของต่อมไขมัน เพื่อให้ไขมันที่อุดตันระบายออกมา โดยใช้นิ้วมือของตนเอง หรืออาจใช้อุปกรณ์ช่วยเช่น คีมหนีบ แท่งหลอดแก้ว หรือผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป เช่น Lipidview เป็นต้น
>>>>>>>>
ใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อทำลายเชื้อโรคที่สะสมในต่อมไขมันที่อุดตัน ซึ่งประกอบไปด้วย
1. ยาปฏิชีวนะเฉพาะที่โดยอาจอยู่ในรูปของ ยาหยอดตา เจล หรือขี้ผึ้งป้ายตา เช่น Azithromycin, metronidazole, fucidic acid เป็นต้น
2. ยาปฏิชีวนะชนิดรับประทานได้แก่ Azithromycin หรือ กลุ่ม tetracyclinesเป็นต้น
3. ใช้ยาลดการอักเสบได้แก่steroids หรือ cyclosporine เป็นต้น
4. ใช้น้ำตาเทียมเพื่อหล่อลื่นผิวตา ซึ่งมักจะแห้งเนื่องจากน้ำตาระเหยเร็วไป และช่วยชะล้างสารที่กระตุ้นการอักเสบ ซึ่งควรใช้ชนิดที่ไม่มีสารกันเสียถ้าต้องใช้มากกว่า 4 ครั้งต่อวัน และควรใช้ชนิดที่มีไขมันเป็นส่วนประกอบเพื่อทดแทนชั้นไขมันที่ลดน้อยไป
http://www.med.cmu.ac.th/dept/eye/2012/index.php?option=com_content&view=article&id=330%3A2015-10-21-07-01-59&catid=17%3Aknowleadge&Itemid=394
1
Add a comment...
Better Pharmacy Chiang Mai
Shared publicly - 10:57
การสครับเปลือกตาด้วยตนเอง
ล้างมือให้สะอาด
ผสมน้ำอุ่นและน้ำสบู่อ่อน ๆ ประมาณ 2-3 หยดเข้าด้วยกัน
จุ่มก้านสาลีลงในน้ำที่เตรียมไว้ จากนั้น ดึงเปลีอกตาล่างลง แล้วใช้ก้านสำลีที่ชุบน้ำสบู่อ่อน ๆ เช็ดทำความสะอาดเบา ๆ บริเวณขอบตาและโคนขนตา
ห้ามเช็ดบริเวณขอบตาด้านใน และระมัดระวังไม่ให้นิ้วมือหรือสำลีสัมผัสดวงตา
ขณะทำความสะอาดเปลือกตาบน ให้มองลงด้านล่าง และเช็ดทำความสะอาดในลักษณะเดียวกันกับการเช็ดขอบตาล่าง
ระหว่างการทำความสะอาดรอบ ๆ ดวงตานี้ ฝุ่นผงหรือแบคทีเรียจะถูกกำจัดออกไป
ล้างบริเวณรอบ ๆ ดวงตาด้วยน้ำเย็น และทำความสะอาดดวงตาอีกข้างหนึ่งในวิธีเดียวกัน
http://www.med.cmu.ac.th/dept/eye/2012/index.php?option=com_content&view=article&id=330%3A2015-10-21-07-01-59&catid=17%3Aknowleadge&Itemid=394
ล้างมือให้สะอาด
ผสมน้ำอุ่นและน้ำสบู่อ่อน ๆ ประมาณ 2-3 หยดเข้าด้วยกัน
จุ่มก้านสาลีลงในน้ำที่เตรียมไว้ จากนั้น ดึงเปลีอกตาล่างลง แล้วใช้ก้านสำลีที่ชุบน้ำสบู่อ่อน ๆ เช็ดทำความสะอาดเบา ๆ บริเวณขอบตาและโคนขนตา
ห้ามเช็ดบริเวณขอบตาด้านใน และระมัดระวังไม่ให้นิ้วมือหรือสำลีสัมผัสดวงตา
ขณะทำความสะอาดเปลือกตาบน ให้มองลงด้านล่าง และเช็ดทำความสะอาดในลักษณะเดียวกันกับการเช็ดขอบตาล่าง
ระหว่างการทำความสะอาดรอบ ๆ ดวงตานี้ ฝุ่นผงหรือแบคทีเรียจะถูกกำจัดออกไป
ล้างบริเวณรอบ ๆ ดวงตาด้วยน้ำเย็น และทำความสะอาดดวงตาอีกข้างหนึ่งในวิธีเดียวกัน
http://www.med.cmu.ac.th/dept/eye/2012/index.php?option=com_content&view=article&id=330%3A2015-10-21-07-01-59&catid=17%3Aknowleadge&Itemid=394
1
Add a comment...
Better Pharmacy Chiang Mai
Shared publicly - 10:57
ตาแห้ง วิธีดูแลดวงตาของคุณไม่ให้เกิดอาการตาแห้ง
หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ที่มีอากาศแห้ง ความชื้นต่ำเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้ตาแห้ง ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการอยู่ในห้องแอร์ถ้าทำได้ ไม่เช่นนั้นอาจจะต้องติดตั้งเครื่องทำความชื้นเพื่อเพิ่มความชื้นให้กับอากาศภายในห้อง
ใช้เวลาอยู่หน้าจอน้อยลง การใช้คอมพิวเตอร์ การอ่านหนังสือ หรือการใช้สายตาเพ่งมองในรูปแบบอี่นเป็นเวลานานๆ ล้วนแล้วแต่เป็นสาเหตุที่ทำให้ตาแห้งทั้งสิ้น ดังนั้นอย่าลืมพักสายตาด้วยการหลับตาสัก 2-3 นาทีบ่อยๆ
อย่าให้ลมเป่าหน้า การอยู่หน้าพัดลม เครื่องปรับอากาศ เครื่องเป่าผม ล้วนแล้วแต่ทำให้ตาแห้งทั้งสิ้น
สำรวจยาที่ใช้ ยาบางชนิด เช่น ยาแก้แพ้ ยาแก้คัดจมูก ฮอร์โมนทดแทนในสตรีวัยหมดประจำเดือน ยาบางอย่างที่ใช้รักษาความดันโลหิตสูง และยารักษาโรคซึมเศร้า ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ตาแห้ง
ใช้น้ำตาเทียมชนิดน้ำหรือชนิดขี้ผึ้ง โดยน้ำตาเทียมชนิดน้ำเหมาะที่ใช้ในเวลากลางวัน แต่ต้องหยอดบ่อยๆ ส่วนน้ำตาเทียมชนิดขี้ผึ้งจะช่วยหล่อลื่น และคงความชุ่มชื้นดวงตาได้นานกว่า แต่มีลักษณะเหนียว หลังจากป้ายแล้วจะทำให้ตามัวชั่วขณะ ดังนั้นจึงควรใช้ก่อนเข้านอนและใช้ในปริมาณที่น้อย
http://www.cheewajit.com/disease/4-อาหารลดอาการตาแห้ง-2/
http://www.aroka108.com//ตาแห้ง-ข้อมูลสุขภาพ/
https://www.ovolva.com/โบกมือลาปัญหา-ตาแห้ง-กับเคล็ดลับบำรุงดวงตาง่ายๆ-แต่ได้ผล/a393.html
http://haamor.com/th/ตาแห้ง/
หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ที่มีอากาศแห้ง ความชื้นต่ำเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้ตาแห้ง ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการอยู่ในห้องแอร์ถ้าทำได้ ไม่เช่นนั้นอาจจะต้องติดตั้งเครื่องทำความชื้นเพื่อเพิ่มความชื้นให้กับอากาศภายในห้อง
ใช้เวลาอยู่หน้าจอน้อยลง การใช้คอมพิวเตอร์ การอ่านหนังสือ หรือการใช้สายตาเพ่งมองในรูปแบบอี่นเป็นเวลานานๆ ล้วนแล้วแต่เป็นสาเหตุที่ทำให้ตาแห้งทั้งสิ้น ดังนั้นอย่าลืมพักสายตาด้วยการหลับตาสัก 2-3 นาทีบ่อยๆ
อย่าให้ลมเป่าหน้า การอยู่หน้าพัดลม เครื่องปรับอากาศ เครื่องเป่าผม ล้วนแล้วแต่ทำให้ตาแห้งทั้งสิ้น
สำรวจยาที่ใช้ ยาบางชนิด เช่น ยาแก้แพ้ ยาแก้คัดจมูก ฮอร์โมนทดแทนในสตรีวัยหมดประจำเดือน ยาบางอย่างที่ใช้รักษาความดันโลหิตสูง และยารักษาโรคซึมเศร้า ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ตาแห้ง
ใช้น้ำตาเทียมชนิดน้ำหรือชนิดขี้ผึ้ง โดยน้ำตาเทียมชนิดน้ำเหมาะที่ใช้ในเวลากลางวัน แต่ต้องหยอดบ่อยๆ ส่วนน้ำตาเทียมชนิดขี้ผึ้งจะช่วยหล่อลื่น และคงความชุ่มชื้นดวงตาได้นานกว่า แต่มีลักษณะเหนียว หลังจากป้ายแล้วจะทำให้ตามัวชั่วขณะ ดังนั้นจึงควรใช้ก่อนเข้านอนและใช้ในปริมาณที่น้อย
http://www.cheewajit.com/disease/4-อาหารลดอาการตาแห้ง-2/
http://www.aroka108.com//ตาแห้ง-ข้อมูลสุขภาพ/
https://www.ovolva.com/โบกมือลาปัญหา-ตาแห้ง-กับเคล็ดลับบำรุงดวงตาง่ายๆ-แต่ได้ผล/a393.html
http://haamor.com/th/ตาแห้ง/
สวัสดีครับทุกท่าน กลับมาพบกับผม แว่นคุง กันอีกแล้วนะครับ กับเรื่องราวสาระมากมายที่เกี่ยวกับสุขภาพ สำหรับในวันนี้ ผมจะขอพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับปัญหาหนึ่ง ที่มักเกิดขึ้นบ่อยมากๆ กับคนในยุคปัจจุบันที่จำเป็นจะต้องใช้สายตาในการทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นระยะเวลานานๆ นั่นก็คือ ปัญหา ตาแห้ง ที่มักจะทำใ
1
Add a comment...
Better Pharmacy Chiang Mai
Shared publicly - 10:56
การกินอาหารจำพวกไขมัน สามารถบรรเทาอาการตาแห้งได้
ให้คนไข้ที่มีอาการตาแห้งรับประทาน eicosapentaenoic acid (EPA) 180 มิลลิกรัม และdocosahexaenoic acid (DHA)120 มิลลิกรัม อย่างละ 1 แคปซูล วันละสองครั้ง ติดต่อกัน 30 วัน
จากข้อมูลดังกล่าว สนับสนุนผลของการกินโอเมก้า 3 ในการบรรเทาอาการตาแห้ง
แนะนำให้รับประทานปลาทะเลสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง
http://pharmacy.mahidol.ac.th/dic/news_week_full.php?id=1125
ให้คนไข้ที่มีอาการตาแห้งรับประทาน eicosapentaenoic acid (EPA) 180 มิลลิกรัม และdocosahexaenoic acid (DHA)120 มิลลิกรัม อย่างละ 1 แคปซูล วันละสองครั้ง ติดต่อกัน 30 วัน
จากข้อมูลดังกล่าว สนับสนุนผลของการกินโอเมก้า 3 ในการบรรเทาอาการตาแห้ง
แนะนำให้รับประทานปลาทะเลสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง
http://pharmacy.mahidol.ac.th/dic/news_week_full.php?id=1125
1
Add a comment...
Better Pharmacy Chiang Mai
Shared publicly - 3 Jun 2015
“ตาแห้ง” เป็นภาวะที่น้ำตาหรือน้ำหล่อเลี้ยงลูกตา (basic tear) แห้งหรือลดลงผิดปกติ กลุ่มที่ 2 เกิดการระเหยของน้ำตา เช่น โรคของต่อมไมโบเมียน (Meibomian gland disease) โรคหรือภาวะที่ทำให้มีอัตราการกระพริบตาน้อยกว่าปกติ (เช่น กลุ่มอาการ extrapyramidal การจ้องมองหน้าจอหรือเลนส์ต่อเนื่องเป็นเวลานาน) อายุมากขึ้น การใส่คอนแทคเลนส์เป็นประจำ ภาวะพร่องวิตามินเอ โรคภูมิแพ้ เป็นต้น
นอกจากนี้สภาพแวดล้อมบางสภาวะอาจทำให้เกิดอาการตาแห้งเนื่องจากน้ำหล่อเลี้ยงลูกตาระเหยได้ง่าย เช่น การอยู่ท่ามกลางแสงแดดจัด ลมแรง หรืออากาศแห้ง
อาการเบื้องต้นที่เป็นสัญญาณของอาการตาแห้ง ได้แก่ อาการระคายเคืองคล้ายมีเศษผงเข้าตาแสบตาความรู้สึกเหนอะหนะตา ตามัวเป็นๆ หายๆ มีอาการมากตอนบ่ายหรือตอนเช้า หรือเมื่อใช้สายตามากต่อเนื่องนาน ๆ เป็นต้น
น้ำตาเทียมเป็นเภสัชภัณฑ์ที่ใช้สำหรับบรรเทาอาการตาแห้ง มีสมบัติใกล้เคียงกับน้ำตาธรรมชาติ ผลิตภัณฑ์น้ำตาเทียมแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ คือ สารละลาย เจล และขี้ผึ้ง
น้ำตาเทียมที่บรรจุในภาชนะแบบ multiple dose สามารถใช้ได้หลายครั้งหลังเปิดขวดเนื่องจากมีสารกันเสียในตำรับทำให้สามารถใช้ได้นานประมาณ 1 เดือนหลังเปิดขวดใช้ครั้งแรก ส่วนน้ำตาเทียมที่บรรจุในภาชนะแบบ unit dose จะไม่มีสารกันเสีย จึงมีอายุการใช้งานภายใน 24 ชั่วโมงหลังเปิดใช้ครั้งแรก
สำหรับผู้ที่ใส่คอนแทคเลนส์ควรหลีกเลี่ยงน้ำตาเทียมที่มีสารกันเสียที่ทำให้เกิดการทำลายเซลล์เยื่อบุกระจกตาได้ เช่น benzalkonium chloride เนื่องจากคอนแทคเลนส์ดูดซับสารนี้ได้และทำให้เยื่อบุกระจกตาสัมผัสกับสารนี้เป็นเวลานาน จึงอาจทำลายเซลล์เยื่อบุกระจกตาได้ ดังนั้นจึงควรเลือกใช้น้ำตาเทียมที่ปราศจากสารกันเสียซึ่งเป็นชนิดที่บรรจุในภาชนะบรรจุแบบ unit dose หรือเลือกใช้น้ำตาเทียมที่มีสารกันเสียชนิดที่เป็นพิษต่อเยื่อบุกระจกตาน้อย เช่น stabilized oxychloro complex (Purite®) polyquaterium-1 (Polyquad®) สารประกอบระหว่าง boric acid, zinc, sorbital และ propylene glycol (SofZia™) แต่หากจำเป็นต้องใช้น้ำตาเทียมที่มี benzalkonium chloride ควรถอดคอนแทคเลนส์ออกก่อนหยอดน้ำตาเทียม และใส่คอนแทคเลนส์หลังจากหยอดตาเสร็จแล้วประมาณ 10 นาที (8-10)
ข้อควรระวังทั่วไปในการใช้น้ำตาเทียมหรือยาหยอดตา คือ ควรระมัดระวังไม่ให้ปลายหลอดน้ำตาเทียมแตะโดนบริเวณดวงตาหรือใบหน้า หรือสัมผัสปลายนิ้วมือหรือส่วนใดของร่างกาย และไม่ว่าจะใช้น้ำตาเทียมชนิดใด หากครบกำหนดอายุการใช้งานแล้วควรทิ้งส่วนที่เหลือทันที เนื่องจากอาจเกิดการปนเปื้อนของเชื้อแบคทีเรียได้ หากมีอาการระคายเคืองตามากขึ้นหรือเกิดความผิดปกติใดๆ หลังหยอดน้ำตาเทียม ให้หยุดใช้ทันทีและรีบปรึกษาจักษุแพทย์ ผู้ที่มีอาการตาแห้งขั้นรุนแรงและเรื้อรังควรปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยและรักษาสาเหตุที่แท้จริงของอาการ
http://www.pharmacy.mahidol.ac.th/dic/knowledge_full.php?id=14
นอกจากนี้สภาพแวดล้อมบางสภาวะอาจทำให้เกิดอาการตาแห้งเนื่องจากน้ำหล่อเลี้ยงลูกตาระเหยได้ง่าย เช่น การอยู่ท่ามกลางแสงแดดจัด ลมแรง หรืออากาศแห้ง
อาการเบื้องต้นที่เป็นสัญญาณของอาการตาแห้ง ได้แก่ อาการระคายเคืองคล้ายมีเศษผงเข้าตาแสบตาความรู้สึกเหนอะหนะตา ตามัวเป็นๆ หายๆ มีอาการมากตอนบ่ายหรือตอนเช้า หรือเมื่อใช้สายตามากต่อเนื่องนาน ๆ เป็นต้น
น้ำตาเทียมเป็นเภสัชภัณฑ์ที่ใช้สำหรับบรรเทาอาการตาแห้ง มีสมบัติใกล้เคียงกับน้ำตาธรรมชาติ ผลิตภัณฑ์น้ำตาเทียมแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ คือ สารละลาย เจล และขี้ผึ้ง
น้ำตาเทียมที่บรรจุในภาชนะแบบ multiple dose สามารถใช้ได้หลายครั้งหลังเปิดขวดเนื่องจากมีสารกันเสียในตำรับทำให้สามารถใช้ได้นานประมาณ 1 เดือนหลังเปิดขวดใช้ครั้งแรก ส่วนน้ำตาเทียมที่บรรจุในภาชนะแบบ unit dose จะไม่มีสารกันเสีย จึงมีอายุการใช้งานภายใน 24 ชั่วโมงหลังเปิดใช้ครั้งแรก
สำหรับผู้ที่ใส่คอนแทคเลนส์ควรหลีกเลี่ยงน้ำตาเทียมที่มีสารกันเสียที่ทำให้เกิดการทำลายเซลล์เยื่อบุกระจกตาได้ เช่น benzalkonium chloride เนื่องจากคอนแทคเลนส์ดูดซับสารนี้ได้และทำให้เยื่อบุกระจกตาสัมผัสกับสารนี้เป็นเวลานาน จึงอาจทำลายเซลล์เยื่อบุกระจกตาได้ ดังนั้นจึงควรเลือกใช้น้ำตาเทียมที่ปราศจากสารกันเสียซึ่งเป็นชนิดที่บรรจุในภาชนะบรรจุแบบ unit dose หรือเลือกใช้น้ำตาเทียมที่มีสารกันเสียชนิดที่เป็นพิษต่อเยื่อบุกระจกตาน้อย เช่น stabilized oxychloro complex (Purite®) polyquaterium-1 (Polyquad®) สารประกอบระหว่าง boric acid, zinc, sorbital และ propylene glycol (SofZia™) แต่หากจำเป็นต้องใช้น้ำตาเทียมที่มี benzalkonium chloride ควรถอดคอนแทคเลนส์ออกก่อนหยอดน้ำตาเทียม และใส่คอนแทคเลนส์หลังจากหยอดตาเสร็จแล้วประมาณ 10 นาที (8-10)
ข้อควรระวังทั่วไปในการใช้น้ำตาเทียมหรือยาหยอดตา คือ ควรระมัดระวังไม่ให้ปลายหลอดน้ำตาเทียมแตะโดนบริเวณดวงตาหรือใบหน้า หรือสัมผัสปลายนิ้วมือหรือส่วนใดของร่างกาย และไม่ว่าจะใช้น้ำตาเทียมชนิดใด หากครบกำหนดอายุการใช้งานแล้วควรทิ้งส่วนที่เหลือทันที เนื่องจากอาจเกิดการปนเปื้อนของเชื้อแบคทีเรียได้ หากมีอาการระคายเคืองตามากขึ้นหรือเกิดความผิดปกติใดๆ หลังหยอดน้ำตาเทียม ให้หยุดใช้ทันทีและรีบปรึกษาจักษุแพทย์ ผู้ที่มีอาการตาแห้งขั้นรุนแรงและเรื้อรังควรปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยและรักษาสาเหตุที่แท้จริงของอาการ
http://www.pharmacy.mahidol.ac.th/dic/knowledge_full.php?id=14
น้ำตาในคนปกติประกอบด้วย 2 ส่วนใหญ่ๆ ได้แก่ basic tear (คือน้ำหล่อเลี้ยงลูกตา มีหน้าที่ให้ออกซิเจนแก่กระจกตาและทำให้ไม่ระคายเคือง) และ reflex tear (เป็นน้ำตาที่หลั่งเมื่อระคายเคือง)อาการ “ตาแห.
1
Add a comment...
Better Pharmacy Chiang Mai
Shared publicly - 18 May 2015
ใช้บรรเทาอาการระคายเคืองอื่นๆ เช่น อาการตาแห้ง แสบตา และอาการเพลียตา อันเนื่องมาจากฝุ่นละออง เขม่าควัน เครื่องปรับอากาศ การนั่งทำงานหน้าเครื่องคอมพิวเตอร์นานๆ และการใช้คอนแทคเลนส์
วิธีการใช้ยาหยอดตาแบบกระเปาะ
หยดยาออกมาเพียง 1 หยด ไม่ต้องบีบทีเดียวทั้งหมด
นำจุกพลาสติกปิดหลอดยาที่เหลือ
ยาส่วนที่เหลือในหลอดสามารถเก็บไว้ใช้ได้อีกภายในหนึ่งวัน โดยไม่จำเป็นต้องเก็บในตู้เย็น (การเก็บยาในตู้เย็นไม่ได้ทำให้เก็บยาได้นานขึ้น) หากไม่พอสามารถเปิดหลอดใหม่ใช้ได้อีก
ห้ามแตะบริเวณส่วนปลายที่เปิด และห้ามปลายหลอดแตะลูกนัยน์ตา ควรใช้ทันทีเมื่อเปิด และใช้ให้หมดภายในหนึ่งวัน
http://mettapharmacy.blogspot.com/2012/11/blog-post_27.html
http://mettapharmacy.blogspot.com/2013/10/vislube.html
วิธีการใช้ยาหยอดตาแบบกระเปาะ
หยดยาออกมาเพียง 1 หยด ไม่ต้องบีบทีเดียวทั้งหมด
นำจุกพลาสติกปิดหลอดยาที่เหลือ
ยาส่วนที่เหลือในหลอดสามารถเก็บไว้ใช้ได้อีกภายในหนึ่งวัน โดยไม่จำเป็นต้องเก็บในตู้เย็น (การเก็บยาในตู้เย็นไม่ได้ทำให้เก็บยาได้นานขึ้น) หากไม่พอสามารถเปิดหลอดใหม่ใช้ได้อีก
ห้ามแตะบริเวณส่วนปลายที่เปิด และห้ามปลายหลอดแตะลูกนัยน์ตา ควรใช้ทันทีเมื่อเปิด และใช้ให้หมดภายในหนึ่งวัน
http://mettapharmacy.blogspot.com/2012/11/blog-post_27.html
http://mettapharmacy.blogspot.com/2013/10/vislube.html
ยาหยอดตาแบบกระเปาะ เป็นยาหยอดตาในรูปแบบปราศจากสารกันเสีย ที่อาจเป็นสาเหตุทำให้ผู้ป่วยมีอาการแพ้หรือระคายเคืองได้ จึงมีการผลิตยาในรูปแบบที่สามารถใช้ได้หมดในระยะเวลาสั้นๆ ซึ่งปริมาตรของยาหยอดตาในแต่ละยี่ห้อไม่เท่ากัน โดยในหนึ่ง...
1
Add a comment...
Better Pharmacy Chiang Mai
Shared publicly - 19 Sep 2016
ในหลายๆโรคหมอตาจะแนะนำประคบร้อน หรือประคบเย็นเพื่อช่วยในการรักษานอกจากยา กรณีไหนบ้างที่จะแนะนำให้ประคบร้อน? หรือ กรณีไหนบ้างที่จะแนะนำให้ประคบเย็น? และทำอย่างไรดี?
ไขข้องข้องใจได้จากบทความนี้ครับ
"การประคบร้อน/เย็นบริเวณตา"
โดย นพ.คณินท์ เหลืองสว่าง ภาควิชาจักษุวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
การรักษาพยาบาลโรคทางตา นอกจากการใช้ยาหยอดและยากินแล้ว การใช้ความร้อน/ความเย็นประคบ เป็นอีกทางหนึ่งที่ช่วยบรรเทาอาการและรักษาโรคทางตา โดยการประคบบริเวณดวงตาด้วยความร้อนช่วยทำให้โลหิตไหลเวียนดีขึ้น บรรเทาอาการปวด ผ่อนคลายกล้ามเนื้อรอบดวงตา ทำให้ไขมันที่อุดตันต่อมไขมันที่เปลือกตาละลาย การประคบเย็นบริเวณดวงตาช่วยบรรเทาอาการคันที่เกิดจากภูมิแพ้ที่ดวงตา ทำให้หลอดเลือดหดตัวลดอาการบวมและเลือดออกจากการผ่าตัดที่เปลือกตาหรืออุบัติเหตุกระแทกบริเวณเบ้าตา
ข้อบ่งชี้การใช้ "ความร้อน" ประคบตา
- ตากุ้งยิง (Hordeolum)และ เปลือกตาอักเสบ (blepharitis): เกิดจากการติดเชื้อบริเวณต่อมที่เปลือกตา ทำให้เปลือกตาบวมแดง มีหนองได้ และการอักเสบอาจลามมาที่เนื้อเยื่อข้างเคียงทำให้เปลือกตาอักเสบ (blepharitis) การประคบร้อนร่วมกับการนวดเบาๆ ช่วยบรรเทาอาการปวด และทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ตากุ้งยิงและเปลือกตาอักเสบหายเร็วขึ้น
- ต่อมไขมันที่เปลือกตาอุดตัน (MGD): เกิดจากการที่ไขมันที่ต่อมไขมันที่เปลือกตาเกิดการแข็งตัว อุดตันทางออกของน้ำตาชั้นไขมัน ทำให้ตาแห้ง แสบตา เคืองตา การประคบร้อนช่วยให้ไขมันที่อุดตันละลายออก น้ำตาชั้นไขมันออกมาเคลือบกระจกตาได้ดีขึ้น ลดอาการตาแห้ง แสบเคืองตา
- ตาล้าจากการใช้คอมพิวเตอร์ (computer vision syndrome): เกิดจากการใช้สายตาเพ่งมองคอมพิวเตอร์ มือถือ หรือแท็บเล็ต เป็นเวลานานๆโดยไม่พักสายตา ทำให้เกิดอาการปวดตา เคืองตา แสบตา การประคบร้อนช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อรอบดวงตา บรรเทาอาการปวดตา ลดอาการแสบเคืองตา
วิธีทำที่ประคบร้อนตา
วิธีที่1
- เตรียมผ้า หรือถุงผ้าสะอาด (อาจตัดเย็บเป็นรูปเข้ากับดวงตา)
- ใส่ข้าวสารในถุงที่เตรียม มัดปากถุงหรือปิดปากถุงให้เรียบร้อย
- นำเข้าMicowave. อุ่นให้พอร้อน 10-15 วินาที
- ตรวจความร้อนว่าร้อนเกินไปหรือไม่ โดยเอามาอิงที่หลังมือ
- วางประคบบนตาครั้งละ 5-10 นาที วันละ 2 ครั้งเช้า-เย็น หรือตามต้องการ
วิธีที่ 2
- นำผ้าขนหนูผืนเล็กชุบน้ำหมาดๆ อุ่นใน Microwave 10-15 วินาที
- นำออกมาแตะหลังมือตรวจความร้อนให้พอเหมาะ
- นำผ้าแห้งหรือถุงซิปล็อคมาห่อผ้าขนหนูที่ร้อนอีกที
- วางประคบบนตา 5-10 นาที วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น หรือตามต้องการ
ข้อควรระวัง: ความร้อนที่มากเกินไปอาจทำให้มีแผลพุพองได้
ข้อบ่งชี้การใช้ "ความเย็น" ประคบตา
- ภูมิแพ้เยื่อบุตา (allergic conjunctivitis): เกิดจากการสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ มีการหลั่งสารฮิสตามีนและมีสารน้ำรั่วจากหลอดเลือด ทำให้เกิดอาการคันตาและอาการตาบวม การประคบเย็นทำให้หลอดเลือดหดตัว ลดการหลั่งสารฮิสตามีนและลดการรั่วของสารน้ำ ลดอาการคันบริเวณดวงตาและลดอาการบวมจากภูมิแพ้เยื่อบุตา
- หลังผ่าตัดเปลือกตา: หลังการผ่าตัดเปลือกตา อาจมีเลือดออกบริเวณที่ผ่าตัดและเนื้อเยื่อรอบๆบวมช้ำ การประคบเย็นช่วยให้หลอดเลือดหดตัว เลือดแข็งตัว ลดอาการบวมช้ำและช่วยห้ามเลือด
- บวมช้ำรอบดวงตาจากอุบัติเหตุ: หากเกิดอุบัติเหตุกระทบกระแทกบริเวณรอบดวงตา ทำให้เนื้อเยื่อบริเวณรอบดวงตาบวมช้ำ อักเสบได้ การประคบเย็นช่วยลดการอักเสบจากอุบัติเหตุ และช่วยให้หลอดเลือดหดตัว ลดอาการบวมช้ำได้
วิธีทำที่ประคบเย็นตา
วิธีที่ 1
- นำน้ำแข็งและน้ำใส่ในชามหรือกะลังใบเล็ก
- นำผ้าขนหนูผืนเล็กมาชุบน้ำเย็นในชาม บิดให้หมาดๆ
- นำผ้าขนหนูมาวางประคบบริเวณดวงตา ครั้งละ 15-20 นาที วันละ 3-4 ครั้ง หรือตามต้องการ
วิธีที่ 2
- นำน้ำสะอาดใส่ถุงซิปล็อคแล้วนำไปแช่ตู้เย็นช่องแช่แข็ง หรือนำน้ำแข็งใส่ถุงซิปล็อค
- นำถุงซิปล็อคที่มีน้ำแข็งภายในมาห่อด้วยผ้าขนหนูเปียกหมาดๆ
- นำมาประคบบริเวณดวงตา ครั้งละ 15-20 นาที วันละ 3-4 ครั้ง หรือตามต้องการ
ข้อควรระวัง: ระวังไม่ให้ถุงน้ำแข็งสัมผัสกับผิวหนังโดยตรง อาจทำให้เกิดแผลจากน้ำแข็งกัดได้ (frostbite)
สุขภาพตา โดย ราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย
All About Eye by RCOPT
https://www.facebook.com/AllAboutEyebyRCOPT/posts/923326897784550
ไขข้องข้องใจได้จากบทความนี้ครับ
"การประคบร้อน/เย็นบริเวณตา"
โดย นพ.คณินท์ เหลืองสว่าง ภาควิชาจักษุวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
การรักษาพยาบาลโรคทางตา นอกจากการใช้ยาหยอดและยากินแล้ว การใช้ความร้อน/ความเย็นประคบ เป็นอีกทางหนึ่งที่ช่วยบรรเทาอาการและรักษาโรคทางตา โดยการประคบบริเวณดวงตาด้วยความร้อนช่วยทำให้โลหิตไหลเวียนดีขึ้น บรรเทาอาการปวด ผ่อนคลายกล้ามเนื้อรอบดวงตา ทำให้ไขมันที่อุดตันต่อมไขมันที่เปลือกตาละลาย การประคบเย็นบริเวณดวงตาช่วยบรรเทาอาการคันที่เกิดจากภูมิแพ้ที่ดวงตา ทำให้หลอดเลือดหดตัวลดอาการบวมและเลือดออกจากการผ่าตัดที่เปลือกตาหรืออุบัติเหตุกระแทกบริเวณเบ้าตา
ข้อบ่งชี้การใช้ "ความร้อน" ประคบตา
- ตากุ้งยิง (Hordeolum)และ เปลือกตาอักเสบ (blepharitis): เกิดจากการติดเชื้อบริเวณต่อมที่เปลือกตา ทำให้เปลือกตาบวมแดง มีหนองได้ และการอักเสบอาจลามมาที่เนื้อเยื่อข้างเคียงทำให้เปลือกตาอักเสบ (blepharitis) การประคบร้อนร่วมกับการนวดเบาๆ ช่วยบรรเทาอาการปวด และทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ตากุ้งยิงและเปลือกตาอักเสบหายเร็วขึ้น
- ต่อมไขมันที่เปลือกตาอุดตัน (MGD): เกิดจากการที่ไขมันที่ต่อมไขมันที่เปลือกตาเกิดการแข็งตัว อุดตันทางออกของน้ำตาชั้นไขมัน ทำให้ตาแห้ง แสบตา เคืองตา การประคบร้อนช่วยให้ไขมันที่อุดตันละลายออก น้ำตาชั้นไขมันออกมาเคลือบกระจกตาได้ดีขึ้น ลดอาการตาแห้ง แสบเคืองตา
- ตาล้าจากการใช้คอมพิวเตอร์ (computer vision syndrome): เกิดจากการใช้สายตาเพ่งมองคอมพิวเตอร์ มือถือ หรือแท็บเล็ต เป็นเวลานานๆโดยไม่พักสายตา ทำให้เกิดอาการปวดตา เคืองตา แสบตา การประคบร้อนช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อรอบดวงตา บรรเทาอาการปวดตา ลดอาการแสบเคืองตา
วิธีทำที่ประคบร้อนตา
วิธีที่1
- เตรียมผ้า หรือถุงผ้าสะอาด (อาจตัดเย็บเป็นรูปเข้ากับดวงตา)
- ใส่ข้าวสารในถุงที่เตรียม มัดปากถุงหรือปิดปากถุงให้เรียบร้อย
- นำเข้าMicowave. อุ่นให้พอร้อน 10-15 วินาที
- ตรวจความร้อนว่าร้อนเกินไปหรือไม่ โดยเอามาอิงที่หลังมือ
- วางประคบบนตาครั้งละ 5-10 นาที วันละ 2 ครั้งเช้า-เย็น หรือตามต้องการ
วิธีที่ 2
- นำผ้าขนหนูผืนเล็กชุบน้ำหมาดๆ อุ่นใน Microwave 10-15 วินาที
- นำออกมาแตะหลังมือตรวจความร้อนให้พอเหมาะ
- นำผ้าแห้งหรือถุงซิปล็อคมาห่อผ้าขนหนูที่ร้อนอีกที
- วางประคบบนตา 5-10 นาที วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น หรือตามต้องการ
ข้อควรระวัง: ความร้อนที่มากเกินไปอาจทำให้มีแผลพุพองได้
ข้อบ่งชี้การใช้ "ความเย็น" ประคบตา
- ภูมิแพ้เยื่อบุตา (allergic conjunctivitis): เกิดจากการสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ มีการหลั่งสารฮิสตามีนและมีสารน้ำรั่วจากหลอดเลือด ทำให้เกิดอาการคันตาและอาการตาบวม การประคบเย็นทำให้หลอดเลือดหดตัว ลดการหลั่งสารฮิสตามีนและลดการรั่วของสารน้ำ ลดอาการคันบริเวณดวงตาและลดอาการบวมจากภูมิแพ้เยื่อบุตา
- หลังผ่าตัดเปลือกตา: หลังการผ่าตัดเปลือกตา อาจมีเลือดออกบริเวณที่ผ่าตัดและเนื้อเยื่อรอบๆบวมช้ำ การประคบเย็นช่วยให้หลอดเลือดหดตัว เลือดแข็งตัว ลดอาการบวมช้ำและช่วยห้ามเลือด
- บวมช้ำรอบดวงตาจากอุบัติเหตุ: หากเกิดอุบัติเหตุกระทบกระแทกบริเวณรอบดวงตา ทำให้เนื้อเยื่อบริเวณรอบดวงตาบวมช้ำ อักเสบได้ การประคบเย็นช่วยลดการอักเสบจากอุบัติเหตุ และช่วยให้หลอดเลือดหดตัว ลดอาการบวมช้ำได้
วิธีทำที่ประคบเย็นตา
วิธีที่ 1
- นำน้ำแข็งและน้ำใส่ในชามหรือกะลังใบเล็ก
- นำผ้าขนหนูผืนเล็กมาชุบน้ำเย็นในชาม บิดให้หมาดๆ
- นำผ้าขนหนูมาวางประคบบริเวณดวงตา ครั้งละ 15-20 นาที วันละ 3-4 ครั้ง หรือตามต้องการ
วิธีที่ 2
- นำน้ำสะอาดใส่ถุงซิปล็อคแล้วนำไปแช่ตู้เย็นช่องแช่แข็ง หรือนำน้ำแข็งใส่ถุงซิปล็อค
- นำถุงซิปล็อคที่มีน้ำแข็งภายในมาห่อด้วยผ้าขนหนูเปียกหมาดๆ
- นำมาประคบบริเวณดวงตา ครั้งละ 15-20 นาที วันละ 3-4 ครั้ง หรือตามต้องการ
ข้อควรระวัง: ระวังไม่ให้ถุงน้ำแข็งสัมผัสกับผิวหนังโดยตรง อาจทำให้เกิดแผลจากน้ำแข็งกัดได้ (frostbite)
สุขภาพตา โดย ราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย
All About Eye by RCOPT
https://www.facebook.com/AllAboutEyebyRCOPT/posts/923326897784550
1
Add a comment...
Better Pharmacy Chiang Mai
Shared publicly - 19 Feb 2015
อายุต่ำกว่า 15 ปี เด็กจะใช้สายตามาก จะทำให้สายตาสั้นเร็วกว่าปกติ ซึ่งมีทั้งสั้นเทียมหรือสั้นชั่วคราว และสั้นถาวร นอกจากนี้จะทำให้เกิดอาการปวดตา ปวดศีรษะโดยไม่รู้สาเหตุ เกิดจากการเพ่งสายตา ส่งผลต่อการทำงานในบางอาชีพที่ต้องใช้สายตาในอนาคต เช่น นักบิน ตำรวจ ทหาร เป็นต้น
กลุ่มที่อายุเกิน 15 ปีจะไม่มีปัญหาสายตาสั้นเทียม แต่จะเกิดปัญหาเมื่อยล้า แสบตา ตาแห้ง มีอาการปวดศีรษะ หรือทำให้ไมเกรนกำเริบ
ผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไปซึ่งเป็นวัยทำงาน ตามปกติสายตาจะเริ่มยาว หากใช้สายตามากกว่าปกติจะเกิดอาการเมื่อยล้า ปวดตา ตาแดง แสบตามากขึ้น และหากกลับไปบ้านและทำงานกับเครื่องคอมพิวเตอร์อีก จะทำให้เมื่อยล้ามากขึ้น และเกิดสะสม เวียนศีรษะ
วัยหลังเกษียณ การเล่นไลน์หรือคอมพิวเตอร์มาก จะมีอาการแสบตา ตาแห้ง ปวดตา อาการจะเป็นมากกว่าผู้ที่อายุน้อย เนื่องมาจากความเสื่อมในการทำงานของอวัยวะที่เกิดตามวัย
สิ่งสำคัญไม่ควรใช้สายตากับหน้าจอคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือยาวนานติดต่อกันตลอดทั้งวัน โดย 30 นาที ควรพักสัก 5 นาที
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1424303880
กลุ่มที่อายุเกิน 15 ปีจะไม่มีปัญหาสายตาสั้นเทียม แต่จะเกิดปัญหาเมื่อยล้า แสบตา ตาแห้ง มีอาการปวดศีรษะ หรือทำให้ไมเกรนกำเริบ
ผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไปซึ่งเป็นวัยทำงาน ตามปกติสายตาจะเริ่มยาว หากใช้สายตามากกว่าปกติจะเกิดอาการเมื่อยล้า ปวดตา ตาแดง แสบตามากขึ้น และหากกลับไปบ้านและทำงานกับเครื่องคอมพิวเตอร์อีก จะทำให้เมื่อยล้ามากขึ้น และเกิดสะสม เวียนศีรษะ
วัยหลังเกษียณ การเล่นไลน์หรือคอมพิวเตอร์มาก จะมีอาการแสบตา ตาแห้ง ปวดตา อาการจะเป็นมากกว่าผู้ที่อายุน้อย เนื่องมาจากความเสื่อมในการทำงานของอวัยวะที่เกิดตามวัย
สิ่งสำคัญไม่ควรใช้สายตากับหน้าจอคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือยาวนานติดต่อกันตลอดทั้งวัน โดย 30 นาที ควรพักสัก 5 นาที
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1424303880
1
Add a comment...
Better Pharmacy Chiang Mai
Shared publicly - 27 Sep 2016
เยื่อบุตาอักเสบ (Conjuctivitis)
เยื่อบุตาอักเสบ เป็นได้ทั้งติดเชื้อแบคทีเรีย ไวรัสและภูมิแพ้ พบได้บ่อยและมีการระบาดเป็นพักๆ ในรายที่เกิดจากเชื้อไวรัส ส่วนมากไม่รุนแรง รักษาได้ไม่ยาก ยกเว้นการติดเชื้อแบคทีเรียจากเชื้อหนองใน (gonorrhea) ซึ่งปัจจุบันพบน้อยลงมาก
อาการที่เกิดร่วมกับตาแดงและอาจช่วยบอกถึง สาเหตุของตาแดงได้มีดังนี้คือ
-อาการคัน อาการคันในลูกตาอาจเกี่ยวข้องกับ เยื่อตาอักเสบจากการแพ้
-รู้สึกเคืองตา บ่งบอกถึงภาวะตาแห้ง, มีสิ่งแปลกปลอมในตา, เปลือกตาอักเสบ
-แสบตา แสดงถึงอาการของโรคที่เปลือกตา, เยื่อบุตาหรือแก้วตา
-เป็นเม็ดหรือเจ็บบางจุด อาจเกิดจากฝีที่เปลือกตา หรือกุ้งยิง
-ปวดลูกตา อาจเป็นอาการของม่านตาอักเสบ, แผลที่แก้วตา, ต้อหิน,
เยื่อหุ้มลูกตาอักเสบ, หรือการติดเชื้อรอบลูกตา
-กลัวแสง หมายถึง ตาสู้แสงไม่ได้จะเคืองตามาก เป็นอาการของม่านตาอักเสบ, แผลที่แก้วตา, และต้อหิน
-น้ำตาไหล ลักษณะเป็นน้ำตาใส เกิดจาก เยื่อตาอักเสบเพราะเชื้อไวรัสหรือสารเคมี
-ขี้ตาเป็นเมือก มักเกิดจากเยื่อบุตาอักเสบ เพราะการแพ้ หรือการติดเชื้อแคลมมีเดีย
-ขี้ตาเป็นหนอง เกิดจากเยื่อตาอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย, แผลที่แก้วตา,
หรือการอักเสบรอบตา ตาแดงร่วมกับโรคของเปลือกตา
โดยมากตาแดงมักหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์ และส่วนใหญ่อาการจะค่อยๆ ดีขึ้น ควรหยุดเรียน หรือหยุดงานอย่างน้อย 3 วัน เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อโรค พักผ่อน และพักการใช้สายตา การรักษาโรคตาแดง แบ่งตามสาเหตุ ได้แก่
1. โรคตาแดงที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะเฉพาะที่ ได้แก่ ยาหยอดตา และอาจมียาป้ายตา ในคนไข้บางรายอาจต้องใช้ยาปฏิชีวนะแบบรับประทานและแบบฉีดร่วมด้วย
2. โรคตาแดงที่เกิดจากเชื้อไวรัส ส่วนใหญ่มักจะหายได้เอง แต่ต้องใช้เวลา และไม่มีการรักษาเฉพาะ ยกเว้นเชื้อพิเศษบางชนิด ที่จำเป็นต้องได้รับยาต้านไวรัส การใช้ยารักษาตามอาการ เช่น ยาลดอาการคัน ยาลดปวด อาจช่วยบรรเทาอาการและทำให้สบายตามากขึ้น
3. โรคตาแดงที่เกิดจากภูมิแพ้ ควรหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นหรือสารก่อภูมิแพ้ก่อนเป็นอันดับแรก การประคบเย็นสามารถช่วยลดการอักเสบได้ รวมถึงการหยอดน้ำตาเทียมที่ช่วยให้สบายตา แต่ในกรณีที่มีอาการมาก อาจต้องใช้ยากลุ่ม nonsteroidal anti-inflammatory medications, antihistamines, mast cell stabilizers หรือ steroid ร่วมด้วย
4. โรคตาแดงที่เกิดจากสัมผัสสารเคมีหรือสารพิษ อันดับแรกที่ควรต้องทำ คือ ใช้น้ำสะอาด หรือถ้าจะให้ดี คือ Saline solution หรือ Ringer’s lactate solution ในปริมาณที่มากล้างตาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ร่วมกับการใช้ยารักษาตามอาการ อย่างไรก็ตาม อาจมีการรักษาพิเศษอื่นเพิ่มเติมขึ้นอยู่กับสิ่งที่ตรวจพบ และความรุนแรงของโรค
http://www.loftoptometry.com/ตาแดง-red-eye/
http://theworldmedicalcenter.com/th/new_site/health_article/detail/62
http://www.thailabonline.com/eye4.htm
เยื่อบุตาอักเสบ เป็นได้ทั้งติดเชื้อแบคทีเรีย ไวรัสและภูมิแพ้ พบได้บ่อยและมีการระบาดเป็นพักๆ ในรายที่เกิดจากเชื้อไวรัส ส่วนมากไม่รุนแรง รักษาได้ไม่ยาก ยกเว้นการติดเชื้อแบคทีเรียจากเชื้อหนองใน (gonorrhea) ซึ่งปัจจุบันพบน้อยลงมาก
อาการที่เกิดร่วมกับตาแดงและอาจช่วยบอกถึง สาเหตุของตาแดงได้มีดังนี้คือ
-อาการคัน อาการคันในลูกตาอาจเกี่ยวข้องกับ เยื่อตาอักเสบจากการแพ้
-รู้สึกเคืองตา บ่งบอกถึงภาวะตาแห้ง, มีสิ่งแปลกปลอมในตา, เปลือกตาอักเสบ
-แสบตา แสดงถึงอาการของโรคที่เปลือกตา, เยื่อบุตาหรือแก้วตา
-เป็นเม็ดหรือเจ็บบางจุด อาจเกิดจากฝีที่เปลือกตา หรือกุ้งยิง
-ปวดลูกตา อาจเป็นอาการของม่านตาอักเสบ, แผลที่แก้วตา, ต้อหิน,
เยื่อหุ้มลูกตาอักเสบ, หรือการติดเชื้อรอบลูกตา
-กลัวแสง หมายถึง ตาสู้แสงไม่ได้จะเคืองตามาก เป็นอาการของม่านตาอักเสบ, แผลที่แก้วตา, และต้อหิน
-น้ำตาไหล ลักษณะเป็นน้ำตาใส เกิดจาก เยื่อตาอักเสบเพราะเชื้อไวรัสหรือสารเคมี
-ขี้ตาเป็นเมือก มักเกิดจากเยื่อบุตาอักเสบ เพราะการแพ้ หรือการติดเชื้อแคลมมีเดีย
-ขี้ตาเป็นหนอง เกิดจากเยื่อตาอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย, แผลที่แก้วตา,
หรือการอักเสบรอบตา ตาแดงร่วมกับโรคของเปลือกตา
โดยมากตาแดงมักหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์ และส่วนใหญ่อาการจะค่อยๆ ดีขึ้น ควรหยุดเรียน หรือหยุดงานอย่างน้อย 3 วัน เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อโรค พักผ่อน และพักการใช้สายตา การรักษาโรคตาแดง แบ่งตามสาเหตุ ได้แก่
1. โรคตาแดงที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะเฉพาะที่ ได้แก่ ยาหยอดตา และอาจมียาป้ายตา ในคนไข้บางรายอาจต้องใช้ยาปฏิชีวนะแบบรับประทานและแบบฉีดร่วมด้วย
2. โรคตาแดงที่เกิดจากเชื้อไวรัส ส่วนใหญ่มักจะหายได้เอง แต่ต้องใช้เวลา และไม่มีการรักษาเฉพาะ ยกเว้นเชื้อพิเศษบางชนิด ที่จำเป็นต้องได้รับยาต้านไวรัส การใช้ยารักษาตามอาการ เช่น ยาลดอาการคัน ยาลดปวด อาจช่วยบรรเทาอาการและทำให้สบายตามากขึ้น
3. โรคตาแดงที่เกิดจากภูมิแพ้ ควรหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นหรือสารก่อภูมิแพ้ก่อนเป็นอันดับแรก การประคบเย็นสามารถช่วยลดการอักเสบได้ รวมถึงการหยอดน้ำตาเทียมที่ช่วยให้สบายตา แต่ในกรณีที่มีอาการมาก อาจต้องใช้ยากลุ่ม nonsteroidal anti-inflammatory medications, antihistamines, mast cell stabilizers หรือ steroid ร่วมด้วย
4. โรคตาแดงที่เกิดจากสัมผัสสารเคมีหรือสารพิษ อันดับแรกที่ควรต้องทำ คือ ใช้น้ำสะอาด หรือถ้าจะให้ดี คือ Saline solution หรือ Ringer’s lactate solution ในปริมาณที่มากล้างตาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ร่วมกับการใช้ยารักษาตามอาการ อย่างไรก็ตาม อาจมีการรักษาพิเศษอื่นเพิ่มเติมขึ้นอยู่กับสิ่งที่ตรวจพบ และความรุนแรงของโรค
http://www.loftoptometry.com/ตาแดง-red-eye/
http://theworldmedicalcenter.com/th/new_site/health_article/detail/62
http://www.thailabonline.com/eye4.htm
1
Add a comment...
Better Pharmacy Chiang Mai
Shared publicly - 27 Sep 2016
แสบตา เคืองตา คันตา - โรค Computer Vision Syndrome
โดยปกติคนเราจะต้องกระพริบตาอยู่ตลอดเวลา โดยมีอัตราการกระพริบตาประมาณ 20 ครั้งต่อนาที เพื่อเกลี่ยน้ำตาให้คลุมผิวตาให้ทั่ว แต่หากจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟนเป็นเวลานาน ๆ จะทำให้เรากระพริบตาลดลงกว่า 60% ทำให้ผิวตาแห้ง แสบตา เคืองตา คันตา หากเป็นมากจะเกิดอาการตาแดง ตาสู้แสงไม่ได้ ปวดเบ้าตา มีอาการอ่อนล้าทางประสาทตาได้
ปวดกระบอกตา
การใช้สายตาเป็นเวลานาน ๆ ในการจ้องและเพ่งหน้าจอเกินกว่า 6 ชั่วโมง เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดอาการปวดกระบอกตา โดยจะมีอาการปวดบริเวณระหว่างหัวคิ้ว ไปจนถึงศีรษะ หากยังคงใช้สายตาจ้องมองต่อไป จะทำให้มีอาการรุนแรงมากขึ้น เช่น ตามัว วิงเวียน และมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนได้
ควรพักสายตาทุก ๆ 15-20 นาที และปรับความสว่างหน้าจอให้เหมาะสม ไม่จ้าจนเกินไป อาจจะเลือกใช้ฟิล์มกรองแสงที่หน้าจอเพื่อลดแสงจ้าที่สะท้อนสู่ดวงตา ไม่ควรใช้สมาร์ทโฟนในห้องนอนที่มืดหรือมีแสงสว่างไม่เพียงพอ ควรเว้นระยะห่างของหน้าจอและสายตาให้เหมาะสมโดยประมาณ 20-30 ซม. และควรวางหน้าจอในมุมที่พอดีกับหน้า อย่าวางหน้าจอต่ำเกินไปหรือสูงเกินไป
https://www.facebook.com/notes/โครงการแว่นตาผู้สูงวัยในสมเด็จพระเทพรัตนฯ/สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการแสบตา/483736475009271/
http://www.healthcarethai.com/สาเหตุอาการแสบตา/
https://www.msn.com/th-th/health/other/สัญญาณเตือน-ตาเสื่อม/ar-AA5L7PM
โดยปกติคนเราจะต้องกระพริบตาอยู่ตลอดเวลา โดยมีอัตราการกระพริบตาประมาณ 20 ครั้งต่อนาที เพื่อเกลี่ยน้ำตาให้คลุมผิวตาให้ทั่ว แต่หากจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟนเป็นเวลานาน ๆ จะทำให้เรากระพริบตาลดลงกว่า 60% ทำให้ผิวตาแห้ง แสบตา เคืองตา คันตา หากเป็นมากจะเกิดอาการตาแดง ตาสู้แสงไม่ได้ ปวดเบ้าตา มีอาการอ่อนล้าทางประสาทตาได้
ปวดกระบอกตา
การใช้สายตาเป็นเวลานาน ๆ ในการจ้องและเพ่งหน้าจอเกินกว่า 6 ชั่วโมง เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดอาการปวดกระบอกตา โดยจะมีอาการปวดบริเวณระหว่างหัวคิ้ว ไปจนถึงศีรษะ หากยังคงใช้สายตาจ้องมองต่อไป จะทำให้มีอาการรุนแรงมากขึ้น เช่น ตามัว วิงเวียน และมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนได้
ควรพักสายตาทุก ๆ 15-20 นาที และปรับความสว่างหน้าจอให้เหมาะสม ไม่จ้าจนเกินไป อาจจะเลือกใช้ฟิล์มกรองแสงที่หน้าจอเพื่อลดแสงจ้าที่สะท้อนสู่ดวงตา ไม่ควรใช้สมาร์ทโฟนในห้องนอนที่มืดหรือมีแสงสว่างไม่เพียงพอ ควรเว้นระยะห่างของหน้าจอและสายตาให้เหมาะสมโดยประมาณ 20-30 ซม. และควรวางหน้าจอในมุมที่พอดีกับหน้า อย่าวางหน้าจอต่ำเกินไปหรือสูงเกินไป
https://www.facebook.com/notes/โครงการแว่นตาผู้สูงวัยในสมเด็จพระเทพรัตนฯ/สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการแสบตา/483736475009271/
http://www.healthcarethai.com/สาเหตุอาการแสบตา/
https://www.msn.com/th-th/health/other/สัญญาณเตือน-ตาเสื่อม/ar-AA5L7PM
1
Add a comment...
Better Pharmacy Chiang Mai
Shared publicly - 22 Jan 2013
ยาหยอดตา Hista-oph eye drop
Composition:
Antazoline HCL 0.05% w/v
Tetrahydrozoline HCL 0.04% w/v
Benzalkonium Chloride 0.015% w/v
มีตัวยาสำคัญในการออกฤทธิ์ คือ Antazoline และ Tetrahydrozoline ซึ่งเป็นตัวยาแก้แพ้และตัวยาหดหลอดเลือด จึงมีข้อบ่งใช้ในการรักษาอาการตาแดงที่เกิดจากการแพ้ อาการระคายเคือง จากสาเหตุต่างๆ น้ำตาไหลเนื่องจากการแพ้หรือเยื่อบุตาขาวอักเสบ ขนาดใช้ยาโดยทั่วไป คือ หยอดตาวันละ 1-2 หยด ทุก 4-6 ชม. และสามารถหยุดใช้ยาได้เมื่อหายจากอาการแพ้หรือระคายเคือง ผลข้างเคียงที่อาจพบได้ เช่น อาการตาแห้ง ความดันในลูกตาสูงขึ้น จึงเป็นข้อห้ามใช้ในคนที่เป็นต้อหิน อย่างไรก็ตามยา Hista-Oph ถือว่าเป็นยาที่มีผลข้างเคียงน้อยและมีความปลอดภัยมาก เมื่อเทียบกับยาหยอดตาที่มีส่วนประกอบของ steroid
มีสารกันเสีย คือ Benzalkonium chloride ซึ่งถ้าใช้ยาติดต่อกันเป็นระยะเวลานานอาจทำให้มีการสะสมของ Benzalkonium chloride ซึ่งมีผลทำให้เกิดความเสียหายต่อกระจกตาได้ ถ้าไม่จำเป็นจึงไม่ควรใช้ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน
ขนาดและวิธีใช้
หยอดยาครั้งละ 1-2 หยด วันละ 4-6 ครั้ง ถ้าใช้ร่วมกับยาอื่น ควรหยอดตาห่างกัน 5-10 นาที ถ้าเปิดใช้แล้ว 1 เดือนใชไม่หมดควรทิ้ง
คำเตือน ข้อห้ามใช้ และ้ข้อควรระวัง
1. ห้ามใช้ในผู้ที่แพ้ยานี้
2. ห้ามใช้กับคนไข้ที่เป็นต้อหิน หรือคนไข้ที่ต้องใช้ยาจำพวก Anticholinergic อยู่เป็นประจำ เช่น Atropine และคนไข้โรคหัวใจ
http://www.pharmacy.mahidol.ac.th/dic/QA_full.php?id=2748
Composition:
Antazoline HCL 0.05% w/v
Tetrahydrozoline HCL 0.04% w/v
Benzalkonium Chloride 0.015% w/v
มีตัวยาสำคัญในการออกฤทธิ์ คือ Antazoline และ Tetrahydrozoline ซึ่งเป็นตัวยาแก้แพ้และตัวยาหดหลอดเลือด จึงมีข้อบ่งใช้ในการรักษาอาการตาแดงที่เกิดจากการแพ้ อาการระคายเคือง จากสาเหตุต่างๆ น้ำตาไหลเนื่องจากการแพ้หรือเยื่อบุตาขาวอักเสบ ขนาดใช้ยาโดยทั่วไป คือ หยอดตาวันละ 1-2 หยด ทุก 4-6 ชม. และสามารถหยุดใช้ยาได้เมื่อหายจากอาการแพ้หรือระคายเคือง ผลข้างเคียงที่อาจพบได้ เช่น อาการตาแห้ง ความดันในลูกตาสูงขึ้น จึงเป็นข้อห้ามใช้ในคนที่เป็นต้อหิน อย่างไรก็ตามยา Hista-Oph ถือว่าเป็นยาที่มีผลข้างเคียงน้อยและมีความปลอดภัยมาก เมื่อเทียบกับยาหยอดตาที่มีส่วนประกอบของ steroid
มีสารกันเสีย คือ Benzalkonium chloride ซึ่งถ้าใช้ยาติดต่อกันเป็นระยะเวลานานอาจทำให้มีการสะสมของ Benzalkonium chloride ซึ่งมีผลทำให้เกิดความเสียหายต่อกระจกตาได้ ถ้าไม่จำเป็นจึงไม่ควรใช้ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน
ขนาดและวิธีใช้
หยอดยาครั้งละ 1-2 หยด วันละ 4-6 ครั้ง ถ้าใช้ร่วมกับยาอื่น ควรหยอดตาห่างกัน 5-10 นาที ถ้าเปิดใช้แล้ว 1 เดือนใชไม่หมดควรทิ้ง
คำเตือน ข้อห้ามใช้ และ้ข้อควรระวัง
1. ห้ามใช้ในผู้ที่แพ้ยานี้
2. ห้ามใช้กับคนไข้ที่เป็นต้อหิน หรือคนไข้ที่ต้องใช้ยาจำพวก Anticholinergic อยู่เป็นประจำ เช่น Atropine และคนไข้โรคหัวใจ
http://www.pharmacy.mahidol.ac.th/dic/QA_full.php?id=2748
ไม่ทราบว่า ยาหยอดตา Hista-oph นี่มีผลข้างเคียงหรือไม่ค่ะ แล้วถ้าใช้ เราควรจะใช้ติดต่อกันนานแค่ไหนถึงจะหยุดใช้คะ. ผู้ถาม : ไค. คำตอบ : Hista-Oph มีตัวยาสำคัญในการออกฤทธิ์ คือ Antazoline และ Tetrahydroz...
1
Add a comment...
Better Pharmacy Chiang Mai
Shared publicly - 15 Sep 2016
"แสงสีน้ำเงินเป็นหนึ่งในแสงที่สามารถทะลุทะลวงได้ถึงจอประสาทตา เรียกว่ามีพลังทำลายกระจกตาหรือจอประสาทตาได้มากกว่าแสงสีอื่น"
ความสว่างมากๆ จะทำให้ดวงตาล้าได้ง่าย แต่หากหรี่แสงให้ความสว่างลดลงมากๆ ดวงตาก็จะต้องเพ่งมองหนักขึ้น และอาจทำให้เกิดอันตรายได้เช่นกัน
แสงน้ำเงินอยู่รอบตัวคุณ! ในอุปกรณ์ต่างๆ ทั้งคอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต โทรทัศน์ รวมถึงอาชีพที่ต้องใช้แสง เช่น การเชื่อมเหล็ก เป่าแก้ว หรือผู้ที่ใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน นอกจากนี้ ผู้ที่ใช้อุปกรณ์ให้แสงสีน้ำเงินในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม เช่น เล่นสมาร์ทโฟนในที่มืด ปิดไฟดูโทรทัศน์ ก็ล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงภัยจากแสงสีน้ำเงินทั้งสิ้น
อันตรายแสงน้ำเงิน ทำลายได้ถึงจอประสาทตา หากมีพฤติกรรมการใช้งานอุปกรณ์ที่ให้แสงสีน้ำเงินสูง ทำงานในอุตสาหกรรมที่มีการใช้แสง ก็อาจเสี่ยงต่ออาการต่างๆ ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้กับจอรับภาพ กระจกตา เลนส์ตา หรือจอประสาทตา ด้วยอาการจอประสาทตาเสียหายหรือเกิดการไหม้ กระจกตาถลอก ปวดตาเรื้อรัง น้ำตาไหลตลอดเวลา ปวดกระบอกตา หรือร้ายแรงมากๆ ก็คือ มีรูทะลุที่จอประสาทตา หรือจนกระทั่งลืมตาไม่ขึ้น
อาการเบื้องต้นได้แก่ ล้าบริเวณดวงตา ปวดตาหรือเบ้าตา หรือแพ้แสง ซึ่งอาจมีสาเหตุจากหลายปัจจัย อาทิ น้ำตาแห้ง สายตาสั้นมากหรือเอียงมาก ใช้สายตามากเกินไป มีความดันตาสูงผิดปกติ กำลังจะเกิดโรคต้อหิน หรือกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง และหากเกิดอาการเห็นจุดดำตรงกลางสายตา ตาพร่ามัว หรือมองภาพตรงกลางไม่ชัด ก็ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับคำปรึกษาหรือรักษาโดยทันที เพราะนั่นอาจหมายถึงสัญญาณว่าคุณมีอาการวุ้นในตาเสื่อมหรือจอประสาทตาเขยื้อน
หากจำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน หรือทำงานกับแสงจ้าเป็นเวลานาน ก็ควรพักสายตาทุก 30-45 นาที
หากคุณต้องพบกับแสงหรือใช้งานอุปกรณ์ที่มีแสงเป็นเวลานาน คุณสามารถลดการใช้สายตาได้ ดังนี้
1.พักสายตาด้วยการหลับตา หรือกะพริบตาซักครู่
2.มองออกนอกหน้าต่าง ละจากอุปกรณ์ที่ให้แสง และมองไปที่พื้นที่สีเขียวซักพัก 3.หากคุณต้องอยู่ในห้องที่ใช้เครื่องปรับอากาศตลอดเวลา อาจทำให้ตาแห้งได้ง่ายกว่าปกติ ลองนำน้ำใส่แก้ว แล้ววางตั้งไว้ภายในห้อง ก็จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ดวงตาคู่สวยได้ไม่ยาก
อ่านข่าวต่อได้ที่:http://www.thairath.co.th/content/422589
ความสว่างมากๆ จะทำให้ดวงตาล้าได้ง่าย แต่หากหรี่แสงให้ความสว่างลดลงมากๆ ดวงตาก็จะต้องเพ่งมองหนักขึ้น และอาจทำให้เกิดอันตรายได้เช่นกัน
แสงน้ำเงินอยู่รอบตัวคุณ! ในอุปกรณ์ต่างๆ ทั้งคอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต โทรทัศน์ รวมถึงอาชีพที่ต้องใช้แสง เช่น การเชื่อมเหล็ก เป่าแก้ว หรือผู้ที่ใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน นอกจากนี้ ผู้ที่ใช้อุปกรณ์ให้แสงสีน้ำเงินในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม เช่น เล่นสมาร์ทโฟนในที่มืด ปิดไฟดูโทรทัศน์ ก็ล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงภัยจากแสงสีน้ำเงินทั้งสิ้น
อันตรายแสงน้ำเงิน ทำลายได้ถึงจอประสาทตา หากมีพฤติกรรมการใช้งานอุปกรณ์ที่ให้แสงสีน้ำเงินสูง ทำงานในอุตสาหกรรมที่มีการใช้แสง ก็อาจเสี่ยงต่ออาการต่างๆ ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้กับจอรับภาพ กระจกตา เลนส์ตา หรือจอประสาทตา ด้วยอาการจอประสาทตาเสียหายหรือเกิดการไหม้ กระจกตาถลอก ปวดตาเรื้อรัง น้ำตาไหลตลอดเวลา ปวดกระบอกตา หรือร้ายแรงมากๆ ก็คือ มีรูทะลุที่จอประสาทตา หรือจนกระทั่งลืมตาไม่ขึ้น
อาการเบื้องต้นได้แก่ ล้าบริเวณดวงตา ปวดตาหรือเบ้าตา หรือแพ้แสง ซึ่งอาจมีสาเหตุจากหลายปัจจัย อาทิ น้ำตาแห้ง สายตาสั้นมากหรือเอียงมาก ใช้สายตามากเกินไป มีความดันตาสูงผิดปกติ กำลังจะเกิดโรคต้อหิน หรือกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง และหากเกิดอาการเห็นจุดดำตรงกลางสายตา ตาพร่ามัว หรือมองภาพตรงกลางไม่ชัด ก็ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับคำปรึกษาหรือรักษาโดยทันที เพราะนั่นอาจหมายถึงสัญญาณว่าคุณมีอาการวุ้นในตาเสื่อมหรือจอประสาทตาเขยื้อน
หากจำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน หรือทำงานกับแสงจ้าเป็นเวลานาน ก็ควรพักสายตาทุก 30-45 นาที
หากคุณต้องพบกับแสงหรือใช้งานอุปกรณ์ที่มีแสงเป็นเวลานาน คุณสามารถลดการใช้สายตาได้ ดังนี้
1.พักสายตาด้วยการหลับตา หรือกะพริบตาซักครู่
2.มองออกนอกหน้าต่าง ละจากอุปกรณ์ที่ให้แสง และมองไปที่พื้นที่สีเขียวซักพัก 3.หากคุณต้องอยู่ในห้องที่ใช้เครื่องปรับอากาศตลอดเวลา อาจทำให้ตาแห้งได้ง่ายกว่าปกติ ลองนำน้ำใส่แก้ว แล้ววางตั้งไว้ภายในห้อง ก็จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ดวงตาคู่สวยได้ไม่ยาก
อ่านข่าวต่อได้ที่:http://www.thairath.co.th/content/422589
1
Add a comment...
Better Pharmacy Chiang Mai
Shared publicly - 10 Aug 2016
#คอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม... โรคฮิตคนติดจอ
กลุ่มอาการนี้เกิดจากการจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือโทรศัพท์มือถือ นานกว่า 30-40 นาที ส่งผลให้กล้ามเนื้อตาที่ทําหน้าที่ปรับโฟกัสเกร็งตัวผิดปกติ อัตราการกระพริบตาลดลง อีกทั้งแสงสะท้อนจากจอคอมพิวเตอร์ และแสงสีฟ้ายังทําร้ายดวงตาให้ผิดปกติได้ นอกจากนี้หน้าจอและตัวอักษรที่เล็กเกินไป การใช้งานในที่แสงสว่างที่ไม่เพียงพอ หรือในที่จ้ามากไป ล้วนแต่ส่งผลให้ตาล้าง่าย เคืองตา ตาแห้ง แสบตา ปวดตาหรือมองไม่ชัด
จากปัญหากล้ามเนื้อตาเกร็งตัวผิดปกติคล้ายเป็นตะคริว เหมือนเพ่งดูใกล้ๆค้างนานเมื่อมองไกลจะไม่ชัด เกิดภาวะสายตาสั้นชั่วคราวได้...หากตาล้า ควรหยุดพักสายตาทุกๆ 20 นาที กระพริบตาให้บ่อยขึ้น หากตายังมีปัญหาควรพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจอย่างละเอียด
https://www.facebook.com/BangkokHospital/photos/a.110810943139.118002.98150133139/10154427500658140/
กลุ่มอาการนี้เกิดจากการจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือโทรศัพท์มือถือ นานกว่า 30-40 นาที ส่งผลให้กล้ามเนื้อตาที่ทําหน้าที่ปรับโฟกัสเกร็งตัวผิดปกติ อัตราการกระพริบตาลดลง อีกทั้งแสงสะท้อนจากจอคอมพิวเตอร์ และแสงสีฟ้ายังทําร้ายดวงตาให้ผิดปกติได้ นอกจากนี้หน้าจอและตัวอักษรที่เล็กเกินไป การใช้งานในที่แสงสว่างที่ไม่เพียงพอ หรือในที่จ้ามากไป ล้วนแต่ส่งผลให้ตาล้าง่าย เคืองตา ตาแห้ง แสบตา ปวดตาหรือมองไม่ชัด
จากปัญหากล้ามเนื้อตาเกร็งตัวผิดปกติคล้ายเป็นตะคริว เหมือนเพ่งดูใกล้ๆค้างนานเมื่อมองไกลจะไม่ชัด เกิดภาวะสายตาสั้นชั่วคราวได้...หากตาล้า ควรหยุดพักสายตาทุกๆ 20 นาที กระพริบตาให้บ่อยขึ้น หากตายังมีปัญหาควรพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจอย่างละเอียด
https://www.facebook.com/BangkokHospital/photos/a.110810943139.118002.98150133139/10154427500658140/
1
Add a comment...
Better Pharmacy Chiang Mai
Shared publicly - 29 Sep 2015
ถ้ามีอาการตาแห้ง ก็ให้ใช้น้ำตาเทียม ซึ่งมีอยู่ 2 ประเทภ คือ แบบหยด กับแบบที่เป็นเจล แบบหยดใช้ในตอนกลางวัน ส่วนแบบที่เป็นเจลก็ใช้ตอนนอน
น้ำตาเทียมแบบหยด ก็มีอีก 2 ประเทภ คือ แบบที่ไม่ใส่สารกันเสีย ใช้ให้หมดภายใน 1 วัน กับอีกแบบที่มีสารกันเสียซึ่งห้ามใช้เกิน 1 เดือน หลังจากเปิดขวด
คนที่ใส่คอนแทคเลนส์ ควรใช้น้ำตาเทียมแบบที่ไม่มีสารกันเสีย เพราะสารกันเสียในน้ำตาเทียม อาจทำลายเซลล์เยื่อบุกระจกตา ก่อให้เกิดการระคายเคืองได้
ใควรถอดคอนแทคเลนส์ออกก่อนหยอดน้ำตาเทียมแบบที่มีสารกันเสีย และหลังจากหยอดตาเสร็จแล้วประมาณ 10-30 นาที จึงค่อยใส่คอนแทคเลนส์
ไม่ควรใช้น้ำตาเทียมพร้อมกับยาหยอดตาอื่น ควรหยอดห่างกันอย่างน้อย 5-10 นาที
http://www.westmeathexaminer.ie/news/sponsorededitorial/articles/2015/09/16/4105868-whelehans-pharmacy--dry-eyes-treatment/
น้ำตาเทียมแบบหยด ก็มีอีก 2 ประเทภ คือ แบบที่ไม่ใส่สารกันเสีย ใช้ให้หมดภายใน 1 วัน กับอีกแบบที่มีสารกันเสียซึ่งห้ามใช้เกิน 1 เดือน หลังจากเปิดขวด
คนที่ใส่คอนแทคเลนส์ ควรใช้น้ำตาเทียมแบบที่ไม่มีสารกันเสีย เพราะสารกันเสียในน้ำตาเทียม อาจทำลายเซลล์เยื่อบุกระจกตา ก่อให้เกิดการระคายเคืองได้
ใควรถอดคอนแทคเลนส์ออกก่อนหยอดน้ำตาเทียมแบบที่มีสารกันเสีย และหลังจากหยอดตาเสร็จแล้วประมาณ 10-30 นาที จึงค่อยใส่คอนแทคเลนส์
ไม่ควรใช้น้ำตาเทียมพร้อมกับยาหยอดตาอื่น ควรหยอดห่างกันอย่างน้อย 5-10 นาที
http://www.westmeathexaminer.ie/news/sponsorededitorial/articles/2015/09/16/4105868-whelehans-pharmacy--dry-eyes-treatment/
Artificial tears Your GP, pharmacist or optician can advise on drops, ointments and gels. They are available without prescription at your pharmacy. They replicate the role of natural tears. Drops are often used during the day (eg. three times daily) and an ointment or gel is used at night as they are thicker and tend to last for longer while you sleep. There is no evidence that one brand is any more effective than the next; though preservative f...
1
Add a comment...
Better Pharmacy Chiang Mai
Shared publicly - 9 Oct 2014
เด็กไทยสายตาสั้นเพิ่มขึ้น 3 เท่า เหตุใช้สมาร์ทโฟนท่องเน็ตเพิ่มมากขึ้น ยาวนานขึ้น เฉลี่ยวันละ 7.2 ชั่วโมง แนะย่าเล่นนานเกิน 30 นาที พักสายตา 1-5 นาที ดื่มน้ำบ่อยๆ เพิ่มความชุ่มชื้นตา
การเล่นคอมพิวเตอร์ในเด็กวัยประถม คืออายุต่ำกว่า 15 ปี เด็กจะใช้สายตามาก ทำให้สายตาสั้นเร็วกว่าปกติ ซึ่งมีทั้งสั้นเทียม (สั้นชั่วคราว) และสั้นถาวร ซึ่งขณะนี้อัตราการเกิดสายตาสั้นเพิ่มขึ้น 3 เท่า ซึ่งจะทำให้เด็กมีปัญหาในการเรียน มองตัวหนังสือบนกระดานไม่ชัด จดข้อมูลและเรียนไม่ทันเพื่อน นอกจากนี้ จะทำให้เกิดอาการปวดตา ปวดศีรษะโดยไม่รู้สาเหตุ ซึ่งเกิดเนื่องมาจากการเพ่งสายตา
กลุ่มอายุเกิน 15 ปี จะไม่มีปัญหาสายตาสั้นเทียม แต่จะเกิดปัญหาเมื่อยล้า แสบตา ตาแห้ง มีอาการปวดศีรษะ หรือทำให้ไมเกรนกำเริบ
หากเป็นผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นวัยทำงาน ตามปกติสายตาจะเริ่มยาว หากใช้สายตามากกว่าปกติ จะเกิดอาการเมื่อยล้า ปวดตา ตาแดง แสบตามากขึ้น หากกลับไปบ้านและทำงานกับเครื่องคอมพิวเตอร์อีก จะทำให้อาการเมื่อยล้ามากขึ้น และเกิดสะสม เวียนศีรษะ
สำหรับวัยหลังเกษียณ การเล่นไลน์หรือคอมพิวเตอร์มาก จะมีอาการแสบตา ตาแห้ง ปวดตา อาการจะเป็นมากกว่าผู้ที่อายุน้อย เนื่องมาจากความเสื่อมการทำงานของอวัยวะที่เกิดตามวัย
http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000116341
การเล่นคอมพิวเตอร์ในเด็กวัยประถม คืออายุต่ำกว่า 15 ปี เด็กจะใช้สายตามาก ทำให้สายตาสั้นเร็วกว่าปกติ ซึ่งมีทั้งสั้นเทียม (สั้นชั่วคราว) และสั้นถาวร ซึ่งขณะนี้อัตราการเกิดสายตาสั้นเพิ่มขึ้น 3 เท่า ซึ่งจะทำให้เด็กมีปัญหาในการเรียน มองตัวหนังสือบนกระดานไม่ชัด จดข้อมูลและเรียนไม่ทันเพื่อน นอกจากนี้ จะทำให้เกิดอาการปวดตา ปวดศีรษะโดยไม่รู้สาเหตุ ซึ่งเกิดเนื่องมาจากการเพ่งสายตา
กลุ่มอายุเกิน 15 ปี จะไม่มีปัญหาสายตาสั้นเทียม แต่จะเกิดปัญหาเมื่อยล้า แสบตา ตาแห้ง มีอาการปวดศีรษะ หรือทำให้ไมเกรนกำเริบ
หากเป็นผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นวัยทำงาน ตามปกติสายตาจะเริ่มยาว หากใช้สายตามากกว่าปกติ จะเกิดอาการเมื่อยล้า ปวดตา ตาแดง แสบตามากขึ้น หากกลับไปบ้านและทำงานกับเครื่องคอมพิวเตอร์อีก จะทำให้อาการเมื่อยล้ามากขึ้น และเกิดสะสม เวียนศีรษะ
สำหรับวัยหลังเกษียณ การเล่นไลน์หรือคอมพิวเตอร์มาก จะมีอาการแสบตา ตาแห้ง ปวดตา อาการจะเป็นมากกว่าผู้ที่อายุน้อย เนื่องมาจากความเสื่อมการทำงานของอวัยวะที่เกิดตามวัย
http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000116341
1
Add a comment...
Better Pharmacy Chiang Mai
Shared publicly - 29 Feb 2016
ตัวหลักในการเร่งให้จอประสาทตาของคุณเสื่อมก่อนเวลาอันควร ได้แก่
1.การวางคอมพิวเตอร์ไม่เหมาะสม เพื่อลดแสงตกสะท้อนบนหน้าจอ ควรวางจอคอมพิวเตอร์ด้านข้างหน้าต่าง โดยมีระยะห่างระหว่างจอภาพกับตัวเราประมาณ 50-70 ซม. จัดระดับจอภาพจากจุดศูนย์กลางของจอคอมพิวเตอร์ให้อยู่ต่ำกว่าระดับสายตาประมาณ 4-9 นิ้ว ที่สำคัญ ไม่ควรให้จอภาพอยู่สูงหรือต่ำเกินไป
2.ไม่กล้ากำจัดแสงไฟที่รบกวน นอกจากวางคอมพิวเตอร์ถูกตำแหน่งแล้ว ควรปิดไฟบางดวงที่รบกวนการทำงาน เพราะความสว่างที่มากเกินไป มีผลต่อสายตา เพื่อป้องกันแสงที่เข้าตาโดยตรง ควรปิดหรือใช้มู่ลี่เพื่อปรับแสงให้ผ่านได้เพียงบางส่วน
3.เลือกใช้ขนาดตัวอักษรไม่เป็น ตามหลักการพิมพ์งานทุกครั้ง นอกจากเลือกใช้ขนาดของตัวอักษรที่ใหญ่พอแล้ว ควรปรับความเข้มของตัวอักษรให้เหมาะสม โดยสังเกตได้จากการสามารถอ่านตัวอักษรได้ในระยะห่างเป็น 3 เท่าของระยะที่นั่งทำงาน
4.สวมแว่นผิด สีเลนส์ที่ควรเลือกใช้ควรเป็นสีเขียวอ่อน เพราะช่วยให้รู้สึกสบายตาภายใต้แสงจากหลอดไฟฟ้า ฟลูออเรสเซนต์ รวมถึงช่วยลดแสงสะท้อนจากจอภาพ โดยเลือกแว่นตาที่มีกำลังขยายสำหรับระยะ 50-70 ซม. ซึ่งค่ากำลังของเลนส์จะแตกต่างจากเลนส์อ่านหนังสือหรือเลนส์มองใกล้ทั่วไป
5.ลืมกะพริบตาและไม่ยอมลุกจากเก้าอี้ เมื่อมีสมาธิที่จดจ่อขณะทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ ทำให้อัตราการกะพริบตาลดลงจาก 20-22 ครั้งต่อนาที เหลือเพียง 6-8 ครั้งต่อนาที ถ้าไม่อยากตาแห้งหรือต้องใช้น้ำตาเทียมหยอดตาเพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น การกะพริบตาถี่ๆ หรือลุกยืดเส้นยืดสายช่วยได้
วิธีบริหารกล้ามเนื้อตาง่ายๆ ด้วยการกลอกตาขึ้น-ลงช้าๆ 6 ครั้ง โดยให้เหลือบตาขึ้นสูงสุดและลงต่ำสุดในระหว่างการบริหาร เมื่อทำครบแล้วให้กลอกตาไปข้างขวาและซ้ายสลับกัน โดยกลอกตาไปให้ขวาสุดและซ้ายสุด ทำซ้ำ 2-3 ครั้ง จากนั้นชูนิ้วขึ้นมาให้อยู่ในระดับสายตา ห่างจากสายตาประมาณ 8 นิ้ว แล้วจ้องมองไปที่ระยะไกลๆ ประมาณ 10 ฟุต สลับกับใช้ตามองระยะใกล้ที่นิ้วมือใช้เวลามองแต่ละที่ประมาณ 2-3 วินาที ทำสลับไปมา
และท่าบริหารสุดท้ายคือ กลอกตาเป็นวงกลมช้าๆ โดยเริ่มกลอกตาตามเข็มนาฬิกาก่อน แล้วกลอกตาทวนเข็มนาฬิกาสลับไปมา ที่สำคัญคือควรตรวจสุขภาพตาปีละ 1 ครั้ง เพื่อวัดความดันตา ตรวจเช็กจอประสาทตาและความผิดปกติของสายตา
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1456757373
1.การวางคอมพิวเตอร์ไม่เหมาะสม เพื่อลดแสงตกสะท้อนบนหน้าจอ ควรวางจอคอมพิวเตอร์ด้านข้างหน้าต่าง โดยมีระยะห่างระหว่างจอภาพกับตัวเราประมาณ 50-70 ซม. จัดระดับจอภาพจากจุดศูนย์กลางของจอคอมพิวเตอร์ให้อยู่ต่ำกว่าระดับสายตาประมาณ 4-9 นิ้ว ที่สำคัญ ไม่ควรให้จอภาพอยู่สูงหรือต่ำเกินไป
2.ไม่กล้ากำจัดแสงไฟที่รบกวน นอกจากวางคอมพิวเตอร์ถูกตำแหน่งแล้ว ควรปิดไฟบางดวงที่รบกวนการทำงาน เพราะความสว่างที่มากเกินไป มีผลต่อสายตา เพื่อป้องกันแสงที่เข้าตาโดยตรง ควรปิดหรือใช้มู่ลี่เพื่อปรับแสงให้ผ่านได้เพียงบางส่วน
3.เลือกใช้ขนาดตัวอักษรไม่เป็น ตามหลักการพิมพ์งานทุกครั้ง นอกจากเลือกใช้ขนาดของตัวอักษรที่ใหญ่พอแล้ว ควรปรับความเข้มของตัวอักษรให้เหมาะสม โดยสังเกตได้จากการสามารถอ่านตัวอักษรได้ในระยะห่างเป็น 3 เท่าของระยะที่นั่งทำงาน
4.สวมแว่นผิด สีเลนส์ที่ควรเลือกใช้ควรเป็นสีเขียวอ่อน เพราะช่วยให้รู้สึกสบายตาภายใต้แสงจากหลอดไฟฟ้า ฟลูออเรสเซนต์ รวมถึงช่วยลดแสงสะท้อนจากจอภาพ โดยเลือกแว่นตาที่มีกำลังขยายสำหรับระยะ 50-70 ซม. ซึ่งค่ากำลังของเลนส์จะแตกต่างจากเลนส์อ่านหนังสือหรือเลนส์มองใกล้ทั่วไป
5.ลืมกะพริบตาและไม่ยอมลุกจากเก้าอี้ เมื่อมีสมาธิที่จดจ่อขณะทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ ทำให้อัตราการกะพริบตาลดลงจาก 20-22 ครั้งต่อนาที เหลือเพียง 6-8 ครั้งต่อนาที ถ้าไม่อยากตาแห้งหรือต้องใช้น้ำตาเทียมหยอดตาเพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น การกะพริบตาถี่ๆ หรือลุกยืดเส้นยืดสายช่วยได้
วิธีบริหารกล้ามเนื้อตาง่ายๆ ด้วยการกลอกตาขึ้น-ลงช้าๆ 6 ครั้ง โดยให้เหลือบตาขึ้นสูงสุดและลงต่ำสุดในระหว่างการบริหาร เมื่อทำครบแล้วให้กลอกตาไปข้างขวาและซ้ายสลับกัน โดยกลอกตาไปให้ขวาสุดและซ้ายสุด ทำซ้ำ 2-3 ครั้ง จากนั้นชูนิ้วขึ้นมาให้อยู่ในระดับสายตา ห่างจากสายตาประมาณ 8 นิ้ว แล้วจ้องมองไปที่ระยะไกลๆ ประมาณ 10 ฟุต สลับกับใช้ตามองระยะใกล้ที่นิ้วมือใช้เวลามองแต่ละที่ประมาณ 2-3 วินาที ทำสลับไปมา
และท่าบริหารสุดท้ายคือ กลอกตาเป็นวงกลมช้าๆ โดยเริ่มกลอกตาตามเข็มนาฬิกาก่อน แล้วกลอกตาทวนเข็มนาฬิกาสลับไปมา ที่สำคัญคือควรตรวจสุขภาพตาปีละ 1 ครั้ง เพื่อวัดความดันตา ตรวจเช็กจอประสาทตาและความผิดปกติของสายตา
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1456757373
ข่าวไลฟ์สไตล์ต่อการใช้ชีวิตยุคใหม่ ทั้งเกร็ดสุขภาพ อาหาร กีฬา ท่องเที่ยว ศิลปวัฒนธรรม บทสัมภาษณ์คนดัง
1
Add a comment.
Better Pharmacy Chiang Mai
Shared publicly - 3 Oct 2014
ปัจจุบันมีผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับดวงตามากกว่าร้อยละ 80 สาเหตุมาจากการได้รับรังสียูวี (UV) 400, ยูวีเอ (UVA) 1 และแสงสีฟ้า จากการจ้องมองคอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน เป็นเวลานานเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 8 ชั่วโมงต่อวัน
พฤติกรรมที่พบส่วนใหญ่คือ ช่วงเวลาก่อนนอนจะหยิบสมาร์ทโฟนมาเล่นในขณะที่ปิดไฟแล้ว ซึ่งเป็นส่วนที่เร่งให้มีอาการทางสายตาเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ อันตรายจากแสงยูวี แสงสีฟ้าที่อยู่ในจอคอมพิวตอร์ สมาร์ทโฟน และแท็บเล็ต จะทำลายดวงตาเมื่อจ้องเป็นเวลานาน เนื่องการกะพริบตาจะน้อยลง
การเพ่งมองเป็นเวลานานจะทำให้ตาแห้ง แสบตา ส่งผลให้การมองเห็นเริ่มผิดปกติ เห็นภาพซ้อน ภาพไม่ชัด พร่ามัว ปวดเบ้าตา กล้ามเนื้อตาอ่อนล้า คลื่นไส้ อาเจียน ซึ่งเป็นอาการเริ่มต้นของโรคคอมพิวเตอร์วิชชั่นซินโดรม และเป็นส่วนที่ทำให้เกิดต้อเนื้อ ต้อลม และจอประสาทตาเสื่อม
ปรับค่าความสว่างให้เหมาะสมเมื่อต้องใช้คอมพิวเตอร์ ควรพักสายตาทุก 1-2 ชั่วโมง ประมาณ 5 นาที ใช้วิธีการมองไกล หรือเปลี่ยนอิริยาบถทำกิจกรรมอย่างอื่น
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1412316402
พฤติกรรมที่พบส่วนใหญ่คือ ช่วงเวลาก่อนนอนจะหยิบสมาร์ทโฟนมาเล่นในขณะที่ปิดไฟแล้ว ซึ่งเป็นส่วนที่เร่งให้มีอาการทางสายตาเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ อันตรายจากแสงยูวี แสงสีฟ้าที่อยู่ในจอคอมพิวตอร์ สมาร์ทโฟน และแท็บเล็ต จะทำลายดวงตาเมื่อจ้องเป็นเวลานาน เนื่องการกะพริบตาจะน้อยลง
การเพ่งมองเป็นเวลานานจะทำให้ตาแห้ง แสบตา ส่งผลให้การมองเห็นเริ่มผิดปกติ เห็นภาพซ้อน ภาพไม่ชัด พร่ามัว ปวดเบ้าตา กล้ามเนื้อตาอ่อนล้า คลื่นไส้ อาเจียน ซึ่งเป็นอาการเริ่มต้นของโรคคอมพิวเตอร์วิชชั่นซินโดรม และเป็นส่วนที่ทำให้เกิดต้อเนื้อ ต้อลม และจอประสาทตาเสื่อม
ปรับค่าความสว่างให้เหมาะสมเมื่อต้องใช้คอมพิวเตอร์ ควรพักสายตาทุก 1-2 ชั่วโมง ประมาณ 5 นาที ใช้วิธีการมองไกล หรือเปลี่ยนอิริยาบถทำกิจกรรมอย่างอื่น
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1412316402
1
Add a comment...
Better Pharmacy Chiang Mai
Shared publicly - 3 Jun 2015
การอยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนานๆ เช่น ทำงานหน้าโต๊ะ ก็มักทำให้กล้ามเนื้อบางส่วนอยู่ในสภาวะที่เกร็ง ทำให้เลือดลมไหลเวียนติดขัด เกิดอาการปวดเมื่อย หรือการใช้ความคิดมากเกินไป ก็จะกระทบการทำงานของม้าม ทำให้ระบบการย่อยและดูดซึมสารอาหารได้ไม่ดี เกิดอาการท้องอืด อาหารไม่ย่อย เวียนศีรษะ ปวดศีรษะ ใจสั่น นอนไม่หลับ เป็นต้น
อาหารที่บำรุงไต หัวใจและเลือด ล้วนแล้วช่วยบำรุงสมองได้ เช่น วอลนัท อัลมอนด์ ถั่วเหลือง ถั่วดำ งาดำ ข้าวหอมนิล แครอท ไข่ หอยทะเล ปลา อาหารทะเลต่างๆ ลำไยแห้ง พุทราจีน โสม ผลหม่อน ฯลฯ ส่วนบางท่านอาจทำงานที่ต้องใช้สายตามาก แพทย์จีนมองว่า การใช้สายตามากไปจะกระทบต่อเลือด มีอาการตาแห้ง ตามัวง่าย จึงควรรับประทานอาหารที่บำรุงเลือด บำรุงสายตาบ้าง เช่น ไข่แดง แครอท ข้าวโพด มันเทศ ถั่วลิสง เม็ดเก๋ากี๊ ผลหม่อน ดอกเก๊กฮวย
ใช้นิ้วมือของมือทั้งสองกดนวดเหมือนเสยผมจากหน้าผากไปท้ายทอย ใช้สองหัวแม่โป้งกดที่บริเวณขมับ นิ้วที่เหลือนวดศีรษะด้านข้างเป็นเส้นตรงจากบนลงล่าง และนวดคลึงที่ขมับตามเข็มหรือทวนเข็มนาฬิกาก็ได้หลายๆรอบ การผ่อนคลายสายตาทำได้โดยนำฝ่ามือทั้งสองถูกันจนร้อน ประคบที่ใบหน้า ถูขึ้นลง จากตรงกลางใบหน้าออกไปด้านข้าง ทำซ้ำหลายๆรอบ กดคลึงเบาๆบริเวณหัวคิ้วและหัวตาทั้งสองข้าง
การทำงานจึงควรมีการพักสมองอย่างน้อยทุกๆ 2ชม. ครั้งละ 10-15นาที โดยเคลื่อนไหวแขนขาตามร่างกาย หายใจเข้าออกลึกๆ หรือหลับตาทำจิตในสงบ หรือฟังเพลงเบาๆสบายๆ จะช่วยลดความตึงเครียด ทำให้การทำงานของสมองซีกซ้ายและขวาสมดุลกันด้วย
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1433301329
อาหารที่บำรุงไต หัวใจและเลือด ล้วนแล้วช่วยบำรุงสมองได้ เช่น วอลนัท อัลมอนด์ ถั่วเหลือง ถั่วดำ งาดำ ข้าวหอมนิล แครอท ไข่ หอยทะเล ปลา อาหารทะเลต่างๆ ลำไยแห้ง พุทราจีน โสม ผลหม่อน ฯลฯ ส่วนบางท่านอาจทำงานที่ต้องใช้สายตามาก แพทย์จีนมองว่า การใช้สายตามากไปจะกระทบต่อเลือด มีอาการตาแห้ง ตามัวง่าย จึงควรรับประทานอาหารที่บำรุงเลือด บำรุงสายตาบ้าง เช่น ไข่แดง แครอท ข้าวโพด มันเทศ ถั่วลิสง เม็ดเก๋ากี๊ ผลหม่อน ดอกเก๊กฮวย
ใช้นิ้วมือของมือทั้งสองกดนวดเหมือนเสยผมจากหน้าผากไปท้ายทอย ใช้สองหัวแม่โป้งกดที่บริเวณขมับ นิ้วที่เหลือนวดศีรษะด้านข้างเป็นเส้นตรงจากบนลงล่าง และนวดคลึงที่ขมับตามเข็มหรือทวนเข็มนาฬิกาก็ได้หลายๆรอบ การผ่อนคลายสายตาทำได้โดยนำฝ่ามือทั้งสองถูกันจนร้อน ประคบที่ใบหน้า ถูขึ้นลง จากตรงกลางใบหน้าออกไปด้านข้าง ทำซ้ำหลายๆรอบ กดคลึงเบาๆบริเวณหัวคิ้วและหัวตาทั้งสองข้าง
การทำงานจึงควรมีการพักสมองอย่างน้อยทุกๆ 2ชม. ครั้งละ 10-15นาที โดยเคลื่อนไหวแขนขาตามร่างกาย หายใจเข้าออกลึกๆ หรือหลับตาทำจิตในสงบ หรือฟังเพลงเบาๆสบายๆ จะช่วยลดความตึงเครียด ทำให้การทำงานของสมองซีกซ้ายและขวาสมดุลกันด้วย
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1433301329
1
Add a comment...
Better Pharmacy Chiang Mai
Shared publicly - 4 Jun 2013
7 วิธีแย่ๆในการใช้คอมพิวเตอร์ที่ส่งผลเสียกับสุขภาพ
วิธีที่ 1 ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ จอ เพราะระยะห่างที่ปลอดภัยระหว่างดวงตา ของเรากับจอคอมพิวเตอร์อยู่ที่ 20-24 นิ้ว ดังนั้นถ้าเรายื่นหน้าเข้าไปให้ใกล้กว่านั้น ดวงตาเราก็จะได้รับทั้งรังสีปริมาณมาก และได้เพ่งจอใกล้ๆ ด้วย ผลที่จะได้ระยะสั้นคือปวดหัว ปวดตา ส่วนระยะยาวคืออาจจะเป็นต้อหินและตาบอดได้ในที่สุด
วิธีที่ 2 ตั้งจอให้แสงสะท้อนเข้าตา พยายามหันหน้าจอให้มีแสงจ้าๆ สะท้อนเข้าตาเรา เช่น วางจอไว้ใกล้หน้าต่างตอนกลางวัน หรือตั้งโคมไฟไว้ใกล้ๆ หน้าจอ เพราะแสงที่สะท้อนออกมาจากจอคอมพิวเตอร์สามารถทำให้ดวงตาของเราเมื่อยล้าได้ ง่ายๆ สมใจ
วิธีที่ 3 จ้องจอนานๆ พยายามจ้องจอคอมพิวเตอร์ให้มากกว่าครั้งละ 30 นาที ถ้าเริ่มรู้สึกปวดตาเมื่อไหร่แสดงว่าใช้ได้แล้ว เพราะนั่นหมายถึงดวงตาเริ่มล้าแล้ว ทำบ่อยๆ คุณภาพตาจะแย่ลงเรื่อยๆ ถ้าไม่กระพริบตาเลยจะยิ่งดี เพราะจะทำให้ตาแห้ง แล้วก็แสบตาในที่สุด ส่วนแผนกระจกกรองแสงถ้ามีก็ถอดออกเสีย เพราะจะเป็นการกรองรังสีจากจอ ดวงตาจะปลอดภัยเกินไป
วิธีที่ 4 นั่งให้ผิดท่า ชุดเก้าอี้และโต๊ะที่ใช้ถ้าหาแบบที่ต่างระดับกันได้มากๆ จะทำให้ท่านั่งผิดสุขลักษณะ ซึ่งจะส่งผลเสียโดยตรงต่อกล้ามเนื้อกับกระดูกที่แขน ไหล่ หลัง และคอ และเราสามารถเพิ่มระดับความอักเสบของกล้ามเนื้อให้มากขึ้นด้วยการนั่งที่ผิด ท่า นั่นก็คือเวลาใช้คอมพิวเตอร์อย่านั่งหลังตรง ให้นั่งค้อมไปข้างหน้าบ้าง แอ่นไปข้างหลังบ้าง
วิธีที่ 5 วางคีย์บอร์ดให้ผิดทาง เวลาพิมพ์งานลองหามุมวางคีย์บอร์ดแล้วทำให้ต้องวางมือยากๆ ควรวางข้อมือบนโต๊ะหน้าคีย์บอร์ดถ้าหากจำเป็น การพิมพ์ก็ให้กดแป้นพิมพ์ควรกดแป้นพิมพ์แรงๆ เพราะเมื่อทำต่อเนื่องไปนานๆ จะเมื่อยและเจ็บนิ้วและยังของแถมคือคีย์บอร์ดจะเจ๊งเร็วขึ้น เก้าอี้ที่ใช้ให้เลือกใช้แบบที่ไม่มีที่ให้วางแขน เพื่อที่แขนจะได้เกร็ง เมื่อเกร็งมากๆ ก็จะเมื่อยแขน ปวดไหล่ ปวดนิ้ว ลามไปถึงคอและหลังได้ด้วย
วิธีที่ 6 กินขนมหน้าคอมฯ ให้หาขนมมากินขณะที่ใช้คอมพิวเตอร์ไปด้วย เพราะมีโอกาสที่เศษขนมหรือเกล็ดน้ำตาลจะหล่นลงไปในแป้นคีย์บอร์ด แล้วกลายเป็นอาหารของแบคทีเรีย ซึ่งถ้าเราใช้คีย์บอร์ดสลับกับกินขนมครั้งแบบนี้อีก เราอาจจะโชคดีได้ท้องเสีย เพราะนิ้วของเราย่ำยีอยู่กับแหล่งเพาะเชื้อตลอดเวลานั่นเอง
วิธีที่ 7 แช่แข็งตัวเองอยู่หน้าจอ พยายามหาเรื่องอะไรมาทำให้ตัวเองเพลินๆ จะได้นั่งอยู่หน้าเครื่องนานๆ จะได้ลืมให้หมดว่าการที่ไม่เปลี่ยนอิริยาบถนานๆ จะทำให้กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ เครียดจนเมื่อยจนปวด จะได้ลืมว่าควรกินน้ำชั่วโมงละ 1 แก้ว จะได้ลืมว่าถ้าปวดฉี่แล้วไม่ยอมไปห้องน้ำจะทำให้กระเพาะปัสสาวะอักเสบ
แค่คุณทำตาม 7 วิธีนี้ก็เชื่อว่าสุขภาพคุณคงจะย่ำแย่ลงได้ถ้าอยากเจ็บป่วยแบบไหนก็เลือกกันตามอัธยาศัย เมื่อสุขภาพแย่ลงการทำงานก็จะแย่ลงไปด้วย และในที่สุดชีวิตคุณก็จะอับเฉาลงเรื่อยๆ ด้วย 7 วิธีนี้เราหวังว่าคุณจะสมหวัง
ที่มา : วิชาการดอทคอม
วิธีที่ 1 ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ จอ เพราะระยะห่างที่ปลอดภัยระหว่างดวงตา ของเรากับจอคอมพิวเตอร์อยู่ที่ 20-24 นิ้ว ดังนั้นถ้าเรายื่นหน้าเข้าไปให้ใกล้กว่านั้น ดวงตาเราก็จะได้รับทั้งรังสีปริมาณมาก และได้เพ่งจอใกล้ๆ ด้วย ผลที่จะได้ระยะสั้นคือปวดหัว ปวดตา ส่วนระยะยาวคืออาจจะเป็นต้อหินและตาบอดได้ในที่สุด
วิธีที่ 2 ตั้งจอให้แสงสะท้อนเข้าตา พยายามหันหน้าจอให้มีแสงจ้าๆ สะท้อนเข้าตาเรา เช่น วางจอไว้ใกล้หน้าต่างตอนกลางวัน หรือตั้งโคมไฟไว้ใกล้ๆ หน้าจอ เพราะแสงที่สะท้อนออกมาจากจอคอมพิวเตอร์สามารถทำให้ดวงตาของเราเมื่อยล้าได้ ง่ายๆ สมใจ
วิธีที่ 3 จ้องจอนานๆ พยายามจ้องจอคอมพิวเตอร์ให้มากกว่าครั้งละ 30 นาที ถ้าเริ่มรู้สึกปวดตาเมื่อไหร่แสดงว่าใช้ได้แล้ว เพราะนั่นหมายถึงดวงตาเริ่มล้าแล้ว ทำบ่อยๆ คุณภาพตาจะแย่ลงเรื่อยๆ ถ้าไม่กระพริบตาเลยจะยิ่งดี เพราะจะทำให้ตาแห้ง แล้วก็แสบตาในที่สุด ส่วนแผนกระจกกรองแสงถ้ามีก็ถอดออกเสีย เพราะจะเป็นการกรองรังสีจากจอ ดวงตาจะปลอดภัยเกินไป
วิธีที่ 4 นั่งให้ผิดท่า ชุดเก้าอี้และโต๊ะที่ใช้ถ้าหาแบบที่ต่างระดับกันได้มากๆ จะทำให้ท่านั่งผิดสุขลักษณะ ซึ่งจะส่งผลเสียโดยตรงต่อกล้ามเนื้อกับกระดูกที่แขน ไหล่ หลัง และคอ และเราสามารถเพิ่มระดับความอักเสบของกล้ามเนื้อให้มากขึ้นด้วยการนั่งที่ผิด ท่า นั่นก็คือเวลาใช้คอมพิวเตอร์อย่านั่งหลังตรง ให้นั่งค้อมไปข้างหน้าบ้าง แอ่นไปข้างหลังบ้าง
วิธีที่ 5 วางคีย์บอร์ดให้ผิดทาง เวลาพิมพ์งานลองหามุมวางคีย์บอร์ดแล้วทำให้ต้องวางมือยากๆ ควรวางข้อมือบนโต๊ะหน้าคีย์บอร์ดถ้าหากจำเป็น การพิมพ์ก็ให้กดแป้นพิมพ์ควรกดแป้นพิมพ์แรงๆ เพราะเมื่อทำต่อเนื่องไปนานๆ จะเมื่อยและเจ็บนิ้วและยังของแถมคือคีย์บอร์ดจะเจ๊งเร็วขึ้น เก้าอี้ที่ใช้ให้เลือกใช้แบบที่ไม่มีที่ให้วางแขน เพื่อที่แขนจะได้เกร็ง เมื่อเกร็งมากๆ ก็จะเมื่อยแขน ปวดไหล่ ปวดนิ้ว ลามไปถึงคอและหลังได้ด้วย
วิธีที่ 6 กินขนมหน้าคอมฯ ให้หาขนมมากินขณะที่ใช้คอมพิวเตอร์ไปด้วย เพราะมีโอกาสที่เศษขนมหรือเกล็ดน้ำตาลจะหล่นลงไปในแป้นคีย์บอร์ด แล้วกลายเป็นอาหารของแบคทีเรีย ซึ่งถ้าเราใช้คีย์บอร์ดสลับกับกินขนมครั้งแบบนี้อีก เราอาจจะโชคดีได้ท้องเสีย เพราะนิ้วของเราย่ำยีอยู่กับแหล่งเพาะเชื้อตลอดเวลานั่นเอง
วิธีที่ 7 แช่แข็งตัวเองอยู่หน้าจอ พยายามหาเรื่องอะไรมาทำให้ตัวเองเพลินๆ จะได้นั่งอยู่หน้าเครื่องนานๆ จะได้ลืมให้หมดว่าการที่ไม่เปลี่ยนอิริยาบถนานๆ จะทำให้กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ เครียดจนเมื่อยจนปวด จะได้ลืมว่าควรกินน้ำชั่วโมงละ 1 แก้ว จะได้ลืมว่าถ้าปวดฉี่แล้วไม่ยอมไปห้องน้ำจะทำให้กระเพาะปัสสาวะอักเสบ
แค่คุณทำตาม 7 วิธีนี้ก็เชื่อว่าสุขภาพคุณคงจะย่ำแย่ลงได้ถ้าอยากเจ็บป่วยแบบไหนก็เลือกกันตามอัธยาศัย เมื่อสุขภาพแย่ลงการทำงานก็จะแย่ลงไปด้วย และในที่สุดชีวิตคุณก็จะอับเฉาลงเรื่อยๆ ด้วย 7 วิธีนี้เราหวังว่าคุณจะสมหวัง
ที่มา : วิชาการดอทคอม
1
Add a comment...
Better Pharmacy Chiang Mai
Shared publicly - 16 Nov 2015
การใส่คอนแทคเลนส์ที่มีความโค้ง ที่รัดมากเกินไป หรือหลวมเกินไป เป็นสิ่งไม่ดี เนื่องจากคอนแทคเลนส์ที่รัดเกินไป จะไปรัดกระจกตาทำให้ออกซิเจนผ่านได้ไม่ดี ทำให้เกิดอาการตาแดง แต่หากสวมใส่คอนแทคเลนส์ที่หลวมเกินไป จะมีอาการรู้สึกไม่สบายตา เพราะคอนแทคเลนส์จะมีการขยับใส่แล้ว ทำให้คอนแทคเลนส์หลุดออกจากดวงตาได้ง่าย
บิ๊กอาย ตัวเลนส์ที่จะมีขนาดค่อนข้างใหญ่จะเข้าไปครอบทำให้ออกซิเจนเข้าไปในกระจกตาได้ไม่ดี เกิดปัญหาได้ระคายเคืองตาได้ ถ้าคราบโปรตีนไปจับมากๆ เข้า จะส่งผลให้เกิดการอักเสบ ติดเชื้อได้
ถ้าตาแห้งเกินไปก็ไม่เหมาะสมกับการใส่คอนแทคเลนส์ อาจจะทำให้คอนแทคเลนส์ครูดกับกระจกตาได้
เสริมสวยดวงตาด้วย คอนแทคเลนส์ ระวังตาบอด
http://women.haijai.com/3324/
บิ๊กอาย ตัวเลนส์ที่จะมีขนาดค่อนข้างใหญ่จะเข้าไปครอบทำให้ออกซิเจนเข้าไปในกระจกตาได้ไม่ดี เกิดปัญหาได้ระคายเคืองตาได้ ถ้าคราบโปรตีนไปจับมากๆ เข้า จะส่งผลให้เกิดการอักเสบ ติดเชื้อได้
ถ้าตาแห้งเกินไปก็ไม่เหมาะสมกับการใส่คอนแทคเลนส์ อาจจะทำให้คอนแทคเลนส์ครูดกับกระจกตาได้
เสริมสวยดวงตาด้วย คอนแทคเลนส์ ระวังตาบอด
http://women.haijai.com/3324/
เสริมสวยดวงตาด้วย คอนแทคเลนส์ ระวังตาบอด การเสริมสวยให้ดวงตารูปแบบต่างๆ จึงต้องระมัดระวัง หากอยากให้ดวงตาคู่สวยปลอดภัยไร้ปัญหา และมีสายตาที่ดีให้เราได้มองไปนานๆ ก็ต้องเริ่มคิดใหม่ และดูแลใหม่ เพราะดวงตาเป็นอวัยวะที่สำคัญของชีวิต
1
Add a comment...
Better Pharmacy Chiang Mai
Shared publicly - 23 Jun 2016
“โอเมก้า6 & โอเมก้า3 จากน้ำมันดอกโบราจและน้ำมันปลา
ความลงตัว เพื่อการฟื้นฟูสุขภาพดวงตา”
อาการตาแห้ง(Dry eye syndrome) ผู้ที่มีอาการตาแห้งจะมีอาการระคายเคืองตา มีความรู้สึกฝืดเคืองเมื่อกระพริบตา ดวงตาขาดความชุ่มชื้น สายตาพร่ามัว อาจมีปัจจัยกระตุ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น การดูจออุปกรณ์อิเลคทรอนิค ต่างๆนานๆ การสวมใส่เลนส์สัมผัส(contact lens)เป็นระยะเวลานาน ,การสร้างน้ำตาผิดปกติ, โรคเรื้อรัง หรือการใช้ยาบางชนิด เป็นต้น
มีการศึกษาถึงประโยชน์ของการใช้ โอเมก้า6 ในผู้ที่มีอาการตาแห้ง พบว่า ช่วยบรรเทาอาการตาแห้งให้ดีขึ้น ลดการอักเสบของผิวดวงตา ช่วยลดอาการตาแห้งจากสาเหตุต่าง ๆ ในขณที่ โอเมก้า-3 จะช่วยบำรุงสุขภาพของดวงตาให้คงความสดใสแข็งแรง
Omega 6 from borage flowers has been found to relieve dry eye syndrome and helps to relieve symptoms of those wearing contact lenses and Omega 3 from fish oil is essential to eye function at all ages.
EPA Glandin - A Natural Solution to Stress Injuries
Physical activity is good for you, as long as you don’t overdo it. Many of us, however, push ourselves beyond the limits of what is considered healthy, and this increases the risk of so-called overuse injuries (or stress injuries).
Rowing, bicycling and tennis are sports disciplines with a high prevalence of stress injuries, but these injuries also seem to be associated with occupations that involve monotonously repeated motions. Librarians, carpenters and assembly workers are good examples, just like those who work in front of a computer and operate a mouse throughout the day are at increased risk of inflammation.
A natural solution
EPA Glandin is a food supplement that provides the body with a combination of omega-3 and omega-6 fatty acids taken together with Bio Selenium Zinc. This specific combination of nutrients, which is 100% natural, has been shown to have anti-inflammatory properties and is highly useful in the treatment and prevention of typical stress injuries
Read about how Omega-3 fatty acids prevents poor eyesight here :
http://pharmanordsea.co.th/interesting-facts/26-omega-3-fatty-acids-prevents-poor-eyesight
https://www.facebook.com/pharmanordsea/posts/825219784167166
ความลงตัว เพื่อการฟื้นฟูสุขภาพดวงตา”
อาการตาแห้ง(Dry eye syndrome) ผู้ที่มีอาการตาแห้งจะมีอาการระคายเคืองตา มีความรู้สึกฝืดเคืองเมื่อกระพริบตา ดวงตาขาดความชุ่มชื้น สายตาพร่ามัว อาจมีปัจจัยกระตุ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น การดูจออุปกรณ์อิเลคทรอนิค ต่างๆนานๆ การสวมใส่เลนส์สัมผัส(contact lens)เป็นระยะเวลานาน ,การสร้างน้ำตาผิดปกติ, โรคเรื้อรัง หรือการใช้ยาบางชนิด เป็นต้น
มีการศึกษาถึงประโยชน์ของการใช้ โอเมก้า6 ในผู้ที่มีอาการตาแห้ง พบว่า ช่วยบรรเทาอาการตาแห้งให้ดีขึ้น ลดการอักเสบของผิวดวงตา ช่วยลดอาการตาแห้งจากสาเหตุต่าง ๆ ในขณที่ โอเมก้า-3 จะช่วยบำรุงสุขภาพของดวงตาให้คงความสดใสแข็งแรง
Omega 6 from borage flowers has been found to relieve dry eye syndrome and helps to relieve symptoms of those wearing contact lenses and Omega 3 from fish oil is essential to eye function at all ages.
EPA Glandin - A Natural Solution to Stress Injuries
Physical activity is good for you, as long as you don’t overdo it. Many of us, however, push ourselves beyond the limits of what is considered healthy, and this increases the risk of so-called overuse injuries (or stress injuries).
Rowing, bicycling and tennis are sports disciplines with a high prevalence of stress injuries, but these injuries also seem to be associated with occupations that involve monotonously repeated motions. Librarians, carpenters and assembly workers are good examples, just like those who work in front of a computer and operate a mouse throughout the day are at increased risk of inflammation.
A natural solution
EPA Glandin is a food supplement that provides the body with a combination of omega-3 and omega-6 fatty acids taken together with Bio Selenium Zinc. This specific combination of nutrients, which is 100% natural, has been shown to have anti-inflammatory properties and is highly useful in the treatment and prevention of typical stress injuries
Read about how Omega-3 fatty acids prevents poor eyesight here :
http://pharmanordsea.co.th/interesting-facts/26-omega-3-fatty-acids-prevents-poor-eyesight
https://www.facebook.com/pharmanordsea/posts/825219784167166
1
Add a comment...
Better Pharmacy Chiang Mai
Shared publicly - 15 Sep 2016
If you have intermediate AMD
500 mg Vitamin C
400 IU Vitamin E
15 mg Betacarotene
80 mg zinc
2 mg copper
>>>>>>>>>.
AREDS 2
500 mg Vitamin C
400 IU Vitamin E
80 mg zinc
2 mg copper
10 mg lutein
2 mg zeaxanthin
“While zinc is an important component of the AREDS formulation, based on evidence from AREDS2 it is unclear how much zinc is necessary. Omega-3 fatty acids and beta-carotene clearly do not reduce the risk of progression to advanced AMD; however, adding lutein and zeaxanthin in place of beta-carotene may further improve the formulation.”
Diet And Vitamins For AMD
http://www.amd.org/can-diet-and-vitamins-help-macular-degeneration/
NIH study provides clarity on supplements for protection against blinding eye disease
https://nei.nih.gov/news/pressreleases/050513 AREDS2: The Bottom Line on Supplements for AMD
http://www.medscape.com/viewarticle/805429
500 mg Vitamin C
400 IU Vitamin E
15 mg Betacarotene
80 mg zinc
2 mg copper
>>>>>>>>>.
AREDS 2
500 mg Vitamin C
400 IU Vitamin E
80 mg zinc
2 mg copper
10 mg lutein
2 mg zeaxanthin
“While zinc is an important component of the AREDS formulation, based on evidence from AREDS2 it is unclear how much zinc is necessary. Omega-3 fatty acids and beta-carotene clearly do not reduce the risk of progression to advanced AMD; however, adding lutein and zeaxanthin in place of beta-carotene may further improve the formulation.”
Diet And Vitamins For AMD
http://www.amd.org/can-diet-and-vitamins-help-macular-degeneration/
NIH study provides clarity on supplements for protection against blinding eye disease
https://nei.nih.gov/news/pressreleases/050513 AREDS2: The Bottom Line on Supplements for AMD
http://www.medscape.com/viewarticle/805429
1
Add a comment...
Better Pharmacy Chiang Mai
Shared publicly - 11 Apr 2014
มันม่วง...ป้องกันความชราค่ะ
มันเทศสีม่วง เนื้อมันเทศมีสีม่วงเข้ม เป็นมันเทศที่มีสาร “แอนโทไซยานิน” (Anthocyanin) อยู่สูง ซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์ในการต่อต้านอนุมูลอิสระ มีส่วนช่วยในการชะลอความเสื่อมของเซลล์ ช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและเส้นเลือดอุดตันได้ ช่วยชะลอความเสื่อมของดวงตา
และพบว่าสารชนิดนี้ช่วยยับยั้งเชื้ออีโคไลซึ่งเป็นสาเหตุของโรคท้องร่วง ในธรรมชาติผักและผลไม้ที่มีสารแอนโทไซยานินมากมักจะสีม่วง เช่นองุ่นแดง บลูเบอรี่ ฯลฯ สำหรับพืชหัวจะมีมากในหัวมันเทศเนื้อสีม่วง โดยเฉพาะมันเทศเนื้อสีม่วงจากประเทศญี่ปุ่นได้มีการปรับปรุงสายพันธุ์ได้เนื้อมันเทศที่มีสีม่วงเข้มตลอดทั้งหัว มันเทศ เป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรตชั้นดีที่ให้พลังงานโดยไม่ก่อพิษต่อร่างกายแบบอาหารแปรรูปจากแป้งและน้ำตาลแบบอื่น ๆ
ส่วนใบและยอดอ่อนของมันเทศ (Sweet potato) สามารถนำมาปรุงเป็นอาหารได้ และยังมีวิตามินเอ วิตามินซี สารอาหารลูทิน (Lutein) ที่ช่วยบำรุงสายตา ผัดยอดมันเทศเป็นอาหารที่คนมาเลเซียรับประทานกันเป็นประจำ
ส่วนมันเทศเนื้อสีส้มมีสารเบต้าแคโรทีนสูง ซึ่งช่วยลดอัตราการกลายพันธ์ของเซลล์และทำลายเซลล์มะเร็ง การนำยอดมันเทศมาปรุงอาหารพบว่ามีในประเทศญี่ปุ่น จีน และเกาหลีด้วย
ทางด้านคุณค่าทางโภชนาการของมันเทศมีสูงกว่ามันฝรั่งด้วยซ้ำไป ในเนื้อมันเทศนอกจากจะมีปริมาณแป้งสูงแล้ว ยังมีวิตามินและแร่ธาตุมาก มันเทศเนื้อสีส้ม จะมีสารเบต้าแคโรทีนสูงไม่แพ้แครอทและสาหร่ายทะเล
ในขณะที่มันเทศเนื้อสีม่วงจะมีสารแอนโทไซยานินสูง สารแอนโทไซยานินจะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจได้ และยังทำหน้าที่เป็นตัวล้างพิษและช่วยชะลอความแก่ชราได้ มีข้อมูลว่าในบางประเทศมีการใช้เนื้อมันเทศสีม่วงเป็นคาร์โบไฮเดรตแทนข้าวสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า ทำไม ในปัจจุบันมันเทศเนื้อสีม่วงที่มีวางขายในทั่วโลกจึงมีราคาค่อนข้างแพง ขายถึงผู้บริโภคไม่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ 100 บาท
โดย ทางแพทย์สายพุทธ
เครดิต: นานาสาระเพื่อสุขภาพที่ดี
ภาพ: จากอินเตอร์เน็ต
BY ทางแพทย์สายพุทธ
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=603717699719025&set=a.491823914241738.1073741826.491812030909593
มันเทศสีม่วง เนื้อมันเทศมีสีม่วงเข้ม เป็นมันเทศที่มีสาร “แอนโทไซยานิน” (Anthocyanin) อยู่สูง ซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์ในการต่อต้านอนุมูลอิสระ มีส่วนช่วยในการชะลอความเสื่อมของเซลล์ ช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและเส้นเลือดอุดตันได้ ช่วยชะลอความเสื่อมของดวงตา
และพบว่าสารชนิดนี้ช่วยยับยั้งเชื้ออีโคไลซึ่งเป็นสาเหตุของโรคท้องร่วง ในธรรมชาติผักและผลไม้ที่มีสารแอนโทไซยานินมากมักจะสีม่วง เช่นองุ่นแดง บลูเบอรี่ ฯลฯ สำหรับพืชหัวจะมีมากในหัวมันเทศเนื้อสีม่วง โดยเฉพาะมันเทศเนื้อสีม่วงจากประเทศญี่ปุ่นได้มีการปรับปรุงสายพันธุ์ได้เนื้อมันเทศที่มีสีม่วงเข้มตลอดทั้งหัว มันเทศ เป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรตชั้นดีที่ให้พลังงานโดยไม่ก่อพิษต่อร่างกายแบบอาหารแปรรูปจากแป้งและน้ำตาลแบบอื่น ๆ
ส่วนใบและยอดอ่อนของมันเทศ (Sweet potato) สามารถนำมาปรุงเป็นอาหารได้ และยังมีวิตามินเอ วิตามินซี สารอาหารลูทิน (Lutein) ที่ช่วยบำรุงสายตา ผัดยอดมันเทศเป็นอาหารที่คนมาเลเซียรับประทานกันเป็นประจำ
ส่วนมันเทศเนื้อสีส้มมีสารเบต้าแคโรทีนสูง ซึ่งช่วยลดอัตราการกลายพันธ์ของเซลล์และทำลายเซลล์มะเร็ง การนำยอดมันเทศมาปรุงอาหารพบว่ามีในประเทศญี่ปุ่น จีน และเกาหลีด้วย
ทางด้านคุณค่าทางโภชนาการของมันเทศมีสูงกว่ามันฝรั่งด้วยซ้ำไป ในเนื้อมันเทศนอกจากจะมีปริมาณแป้งสูงแล้ว ยังมีวิตามินและแร่ธาตุมาก มันเทศเนื้อสีส้ม จะมีสารเบต้าแคโรทีนสูงไม่แพ้แครอทและสาหร่ายทะเล
ในขณะที่มันเทศเนื้อสีม่วงจะมีสารแอนโทไซยานินสูง สารแอนโทไซยานินจะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจได้ และยังทำหน้าที่เป็นตัวล้างพิษและช่วยชะลอความแก่ชราได้ มีข้อมูลว่าในบางประเทศมีการใช้เนื้อมันเทศสีม่วงเป็นคาร์โบไฮเดรตแทนข้าวสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า ทำไม ในปัจจุบันมันเทศเนื้อสีม่วงที่มีวางขายในทั่วโลกจึงมีราคาค่อนข้างแพง ขายถึงผู้บริโภคไม่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ 100 บาท
โดย ทางแพทย์สายพุทธ
เครดิต: นานาสาระเพื่อสุขภาพที่ดี
ภาพ: จากอินเตอร์เน็ต
BY ทางแพทย์สายพุทธ
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=603717699719025&set=a.491823914241738.1073741826.491812030909593
1
Add a comment...
Better Pharmacy Chiang Mai
Shared publicly - 29 Sep 2015
มีงานวิจัยตีพิมพ์ใน JAMA บอกว่า น้ำมันปลา รวมทั้ง Lutein และ zeaxanthin ไม่ได้มีส่วนช่วยในการป้องกันภาวะสมองเสื่อมในผู้สูงอายุ
................................
ในปัจจุบัน มีการใช้อาหารเสริมเป็นจำนวนมาก และมีงานวิจัยออกมามากด้วยเช่นกัน จึงต้องติดตามงานวิจัยใหม่ๆ อยู่ตลอด เพราะบางครั้ง ข้อมูลเก่าจะค้านกับข้อมูลใหม่อย่างสิ้นเชิง .... สุดท้ายก็อยู่ที่วิจารณญาณของแต่ละบุคคล ว่าจะยอมเสียเงินเพื่อซื้ออาหารเสริมมากิน และคุ้มค่ากับเงินที่เสียไปหรือไม่
http://www.starminenews.com/how-this-new-omega-3-research-is-an-upsetting-news-for-old-age-patients-and-industry/6219/
http://www.smh.com.au/technology/sci-tech/omega3-supplements-dont-stave-off-cognitive-decline-study-finds-20150901-gjc907.html
................................
ในปัจจุบัน มีการใช้อาหารเสริมเป็นจำนวนมาก และมีงานวิจัยออกมามากด้วยเช่นกัน จึงต้องติดตามงานวิจัยใหม่ๆ อยู่ตลอด เพราะบางครั้ง ข้อมูลเก่าจะค้านกับข้อมูลใหม่อย่างสิ้นเชิง .... สุดท้ายก็อยู่ที่วิจารณญาณของแต่ละบุคคล ว่าจะยอมเสียเงินเพื่อซื้ออาหารเสริมมากิน และคุ้มค่ากับเงินที่เสียไปหรือไม่
http://www.starminenews.com/how-this-new-omega-3-research-is-an-upsetting-news-for-old-age-patients-and-industry/6219/
http://www.smh.com.au/technology/sci-tech/omega3-supplements-dont-stave-off-cognitive-decline-study-finds-20150901-gjc907.html
1
Add a comment...
Better Pharmacy Chiang Mai
Shared publicly - 11:21
Better Pharmacy Chiang Mai Shared publicly - 10:52 โรคจอประสาทตาเสื่อม (Aged-related macular degeneration : AMD) คืออะไร ขนาดของสารทดแทนที่แนะนำให้รับประทานต่อวัน คือ - วิตามิน C 500 mg - วิตามิน E 400 IU - Beta ca...
1
Add a comment...
ด้วยความห่วงใย
.....................
BETTER PHARMACY เจ็ดยอด เชียงใหม่
เราคัดสรรสิ่งที่ดี มีคุณภาพ เพื่อคุณ
FACEBOOK / BetterPharmacyCMG
LINE ID - BETTERCM
.....................
UPDATE - 2016.10.30
No comments:
Post a Comment