Wednesday, December 26, 2018

ยาที่เป็นพิษต่อตับ

ยาหรือสารเคมีที่เหนี่ยวนำให้เกิดความเป็นพิษต่อตับ
ที่เด่นชัดที่สุดคือ ยาสเตียรอยด์
รองลงมาก็คือยารักษาวัณโรค
ถัดมาก็คือยารักษาโรคลมชัก และยารักษาวัณโรค
ยาที่ทำให้ค่าตับขึ้นเมื่อกินยาในระยะสั้นๆ ก็ได้แก่ ยาฆ่าเชื้อบางชนิด ยารักษาวัณโรค (อีกแล้ว) รวมทั้งสารสกัดชาเขียว

มีรายงานกรณีโรคตับอักเสบเป็นพิษจากว่านหางจระเข้ชนิดกิน ตั้งแต่ ปีพ. ศ. 2548 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเยอรมนีตุรกีสหรัฐอเมริกา สวิสเซอร์แลนด์และเกาหลี

ผู้ป่วยที่เป็นโรคตับอักเสบซีเรื้อรังมักมีภาวะไขมันพอกตับอยู่แล้ว ดังนั้นการใช้กัญชาเป็นประจำอาจทำให้ภาวะไขมันพอกตับลุกลามและกลายเป็นพังผืดได้

หลังจากใช้โคเคนเพียงไม่กี่ชั่วโมงจะเกิดภาวะกล้ามเนื้อลายสลาย (rhabdomyolysis) และภาวะไตวายเฉียบพลัน

การเหนี่ยวนาให้เกิดพิษต่อตับจากยา สมุนไพร
คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม .
http://ccpe.pharmacycouncil.org/showfile.php?file=478
Photo

ผลข้างเคียงจากยาเคมีบำบัดที่พบได้บ่อยๆ ได้แก่
1. อาการอ่อนเพลีย
2. อาการคลื่นไส้ และอาเจียน
3. ปวดเมื่อยตามร่างกาย
4. ผมร่วง
5. การติดเชื้อ
6. การแข็งตัวของเลือดผิดปกติ
7. ภาวะซีด หรือเม็ดเลือดขาวต่ำ
8. แผลที่เยื่อบุภายในช่องปาก
9. ท้องผูก หรือถ่ายเหลว

ภาวะผมร่วงที่เกิดจากยาเคมีบำบัด มักจะเกิดหลังจากได้รับยาเคมี บำบัดประมาณ 2-3 สัปดาห์ แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ได้รับยาเคมีบำบัด ครบแล้ว ก็จะค่อยๆ เริ่มมีการกลับมาของเส้นผมได้อีกครั้งภายใน 2-3 เดือน

อาการท้องเดิน คือ อาการที่ผู้ป่วยถ่ายมีลักษณะเหลวหรือเป็นน้ำ ถ่ายบ่อยขึ้นมากกว่าหรือเท่ากับ 2 ครั้งต่อวัน อาการท้องเดินนอกจากจะ เกิดจากผลข้างเคียงของยาเคมีบำบัดแล้ว อาจมีสาเหตุเกี่ยวข้องกับโรคมะเร็ง ที่ท่านป่วยอยู่ได้ หรือเกิดการติดเชื้อทางเดินอาหาร

อาการอ่อนเพลียยังอาจเกิดจากภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ เช่น ภาวะโลหิตจางจากผลข้างเคียงของยาเคมีบำบัด อาการปวดจากโรคมะเร็ง ภาวะซึมเศร้าหรือกังวล ภาวะขาดสารอาหารโรคมะเร็งหรือยาเคมีบำบัด ยาที่ได้รับบางชนิดที่มีผลกระทบต่ออาการอ่อนเพลียได้ เช่น ยาแก้ปวด ยานอนหลับ ยาคลายกังวล ยาแก้คลื่นไส้อาเจียน ยากันชัก และยาสมุนไพร โรคประจำตัวเดิมของผู้ป่วย หรือโรคแทรกซ้อนที่เกิดระหว่างหรือภายหลัง จากการรักษาด้วยยาเคมีบำบัด เช่น โรคหัวใจ โรคปอดหรือภาวะการติดเชื้อ แทรกซ้อน และการขาดการออกกำลัง ทั้งหมดนี้ช่วยเสริมให้ผู้ป่วยมีอาการ อ่อนเพลียเพิ่มขึ้น

โภชนบำบัดกับโรคมะเร็ง (Nutrition therapy in cancer) - Med.CMU
http://www.med.cmu.ac.th/dept/nutrition/DATA/COMMON/cancer%20-%20nutrition%20therapy%20in%20cancer.pdf

Cancer Nutrition Guide - American Institute for Cancer Research
http://www.aicr.org/assets/docs/pdf/education/heal-well-guide.pdf

สาเหตุของโรคมะเร็งตับเกิดจากการเป็นพาหะของไวรัสตับอักเสบชนิดบี ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่สุดในการเกิดมะเร็งของเซลล์ตับของคนไทย
ส่วนมะเร็งท่อน้ำดีตับ เกิดจากพยาธิใบไม้ตับ เป็นสาเหตุสำคัญร่วมกับการรับประทานอาหารที่มีดินประสิวและไนไตรท์ เช่น ปลาร้า ปลาจ่อม ปลาส้ม แหนมไส้กรอก เบคอน การดื่มสุรา การเคี้ยวหมาก สารพิษอะฟลาทอกซิน ซึ่งเกิดจากเชื้อราบางชนิดที่พบในอาหารประเภทถั่ว ข้าวโพด พริกแห้ง รวมถึงไวรัสตับอักเสบชนิดซีก็เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญทำให้เกิดโรคมะเร็งตับได้อีกด้วย

โรคมะเร็งตับอาจแบ่งได้เป็นสองประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่ “มะเร็งที่จุดเริ่มต้นอยู่ที่ตัวตับเอง ซึ่งมักจะเป็นผลพวงของภาวะตับอักเสบเรื้อรังและตับแข็ง และมะเร็งตับที่มีจุดเริ่มต้นมาจากอวัยวะอื่น ๆ (เช่น ลำไส้ใหญ่ กระเพาะอาหาร ตับอ่อน เป็นต้น) แล้วจึงแพร่กระจายต่อไปยังตับ หรืออาจเรียกว่าเป็นมะเร็งตับแพร่กระจาย”

“ในอดีตมะเร็งตับเป็นกลุ่มโรคมะเร็งที่รักษาได้ยากมาก โอกาสรักษาหายขาดก็น้อยมาก ผู้ป่วยมักเสียชีวิตในเวลาอันสั้น ปัจจุบัน วิทยาการทางการแพทย์ได้พัฒนาไปมาก การรักษาโรคตับในระยะก่อนเป็นมะเร็ง หรือการรักษามะเร็งตับในระยะต่าง ๆ ได้ผลดีกว่าในอดีตมากโดยผู้ป่วยมีโอกาสที่จะมีชีวิตยืนยาว หรือแม้แต่หายขาดได้ในบางราย”

พฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน อาจส่งผลต่อตับมากกว่าที่เราคิด “โรคตับนั้นไม่ค่อยมีสัญญาณเตือนให้ทราบ กว่าจะรู้ตัว เนื้อเยื่อตับอาจถูกทำลายไปมากแล้ว การใส่ใจสุขภาพโดยการเลือกรับประทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะ หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงการเกิดโรคต่อตับ รวมทั้งการตรวจสุขภาพร่างกายเป็นประจำตามสมควร จึงเป็นสิ่งจำเป็นมากในการป้องกันโรคต่าง ๆ ของตับ”

ผู้ที่เป็นพาหะไวรัสตับอักเสบบี โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุเกิน 40 ปีขึ้นไปและมีอาการตับแข็งร่วมด้วยควรจะต้องตรวจร่างกายอย่างน้อยทุก 6 เดือน

ภัยต่อเนื่องของโรคตับ
https://www.bumrungrad.com/th/health-blog/digestive-health/liver-diseases
มะเร็งตับ...ถึงไม่ดื่มเหล้าก็เป็นได้
https://health.kapook.com/view76.html
แฉชายไทยป่วยมะเร็งตับอื้อ
https://www.thairath.co.th/content/1454818

แนวทางการดูแลผู ป วยมะเร็งตับในประเทศไทย ป พ.ศ. 2558
http://www.gastrothai.net/source/content-file/178.Thailand%20Guideline%20for%20Hepatocellular%20Carcinoma.pdf


1) งดสุราและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
2) เลี่ยงของหมัก ของดอง
3) เลี่ยงการทานยามากเกินไป
4) เลี่ยงอาหารที่ปนเปื้อนสารแอฟลาทอกซิน
5) เลี่ยงอาหารที่มีไขมันทรานส์
6) ทานวิตามินรวมเสริมเพื่อช่วยบำรุงตับ
7) ควบคุมน้ำหนัก
8) ตรวจเลือดเพื่อดูว่ามีไวรัสตับอักเสบบีหรือซี


Common toxins to avoid
1 Large doses of iron
2 A word on supplements
3 Cigarettes
4 Cannabis
5 Illicit drugs
6 Some herbal remedies
7 Large doses of vitamin A
8 Some prescription medicines
9 About paracetamol
10 Some over-the-counter medications
11 Salt
http://loveyourliver.com.au/common-toxins-to-avoid/

กินวิตะมินอี ป้องกันมะเร็งตับ แต่ต้องเป็นวิตะมินอีคุณภาพดีๆหน่อยนะ เพราะบางยี่ห้อกินไปก็เท่านั้น เสียเงินเปล่า

High consumption of vitamin E either from diet or vitamin supplements may lower the risk of liver cancer, according to a study published in the Journal of the National Cancer Institute.

“We found a clear, inverse dose-response relation between vitamin E intake and liver cancer risk,”

Vitamin E and A, zinc, copper, and selenium in the diet are thought to reduce liver cancer rates by reducing hepatitis infections. Vitamin E has been previously shown to improve liver function in patients with a viral hepatitis infection,

The study found no association of vitamin B or calcium intake and risk of liver cancer.

Rich vitamin E foods include spinach, Swiss chard, peppers, and other dark green vegetables, almonds, sunflower seeds and other nuts, tropical fruits, and vegetable oil.

https://www.todaysdietitian.com/news/080812_news.shtml
http://www.cancernetwork.com/liver-gallbladder-and-biliary-tract-cancers/high-vitamin-e-intake-may-lower-liver-cancer-risk

Antioxidant supplements for liver disease | Cochrane
Beta-carotene, vitamin A, vitamin C, and vitamin E cannot be recommended for treatment of liver diseases.
Published: 16 March 2011
https://www.cochrane.org/CD007749/LIVER_antioxidant-supplements-for-liver-disease

Silymarin is a complex mixture of flavonolignans, including silybin, isosilybin, silychristin, silydianin, and taxifolin. It has been shown that its hepatoprotective effects are mainly contributed by its free radical scavenging property and antioxidant activity

the hepatoprotective activity of silymarin has been shown to act in different ways, such as through antioxidant and anti-inflammatory activities, regulation of permeability of the cell wall, stabilization of cellular membranes, stimulation of liver regeneration and anti-fibrotic, immunomodulatory, antiviral and anti-cancer activitie

Long-term use of this herb is considered to be safe and no incidence of significant abnormality has been reported

Cautiously using natural medicine to treat liver problems
https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC5442075/

หญิงอายุ 71 ปี กินขมิ้นชันติดต่อกัน 8 เดือน หลังจากหยุดขมิ้นชัน ค่าตับเป็นปกติ

ข้อเตือนใจ ยาแผนปัจจุบัน สมุนไพร และอาหารเสริมทุกอย่าง จะก่อให้เกิดผลข่้างเคียง ไม่มีตัวใดที่ปลอดภัย 100% จึงควรฉลาดในการใช้ อย่างเช่นคนญี่ปุ่นจะกินอาหารเสริม 5 วัน เฉพาะวันทำงาน หยุดเสาร์อาทิตย์ บางคนเข้าใจผิดว่า ยาแผนโบราณไม่เป็นอันตราย หรือ อาหารเสริมกินแล้วไม่เป็นอันตราย ถือว่าเป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง

71-year-old woman developed autoimmune hepatitis (i.e. liver disease) after taking turmeric supplements for her heart health.

Eight months after she began taking the supplements, a blood test revealed that she had elevated levels of liver enzymes, which usually suggest that there’s a problem with the liver. She was diagnosed with autoimmune hepatitis, a condition indicating that the liver is inflamed, but her doctors didn’t know what was causing it.

They monitored her for three months before she told her doctor that she stopped taking turmeric supplements after reading online that they could cause liver problems. (She didn’t tell her doctors about the supplements before this point, the report says.) After she stopped the supplements, her liver enzymes went down,

IS TURMERIC SAFE? SUPPLEMENT MAY HAVE CAUSED AUTOIMMUNE HEPATITIS IN WOMAN
BY ABBEY INTERRANTE ON 9/17/18 AT 1:21 PM
https://www.newsweek.com/turmeric-supplement-caused-autoimmune-hepatitis-woman-1124768

สมุนไพรทางเลือกบำรุงตับ และสามารถใช้ในภาวะไขมันพอกตับได้ ได้แก่
-ขมิ้นชัน โดยรับประทานครั้งละ 2 แคปซูล หลังอาหาร 3 มื้อ
-มะขามป้อม หรือ ตรีผลา (สมอไทย สมอพิเภก มะขามป้อม) รับประทานครั้งละ 1 แก้ว 3 มื้อ โดยให้รับประทานต่อเนื่องอย่างน้อย 1 เดือนขึ้นไป
-ลูกใต้ใบ ให้ต้มดื่มครั้งละ 1 แก้ว ก่อนอาหารเช้า เย็น
-รางจืด ให้รับประทาน 2 แคปซูล ก่อนอาหาร 3 มื้อ โดยรับประทาน 7 วัน เว้น 4 วัน และหากรับประทานร่วมกับยาแผนปัจจุบัน ต้องรับประทานห่างกันอย่างน้อย 2 ชั่วโมง

http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/690339

สารสกัดจากชาเขียว ห้ามกินเกินกว่าวันละ 800 มิลลิกรัม มากกว่านี้จะทำให้เป็นพิษต่อตับ ส่วนชาเขียวดื่มได้ไม่เป็นไร ยกเว้นชาเขียวใส่น้ำตาลในร้าน 8-12 กินมากเบาหวานถามหา

He had been taking the green tea supplement for two to three months when he became ill.

supplements consisting of its concentrated form are regulated in the US and Europe as foods, not medicines. That means that specific safety testing has not been required, so the scientific picture of how green tea supplements might affect our health is incomplete.

"If you are drinking modest amounts of green tea you're very safe," "The greater risk comes in people who are taking these more concentrated extracts."

"Usually people are taking these green tea extracts trying to lose weight, so they're often not eating," . "We know from animal studies that fasted animals absorb a much higher percentage of the catechins than do fat animals. There may well be other factors of other drugs, other chemicals, use of alcohol that are also important as modifying factors."

A recent investigation by the European Food Safety Authority into the safety of green tea concluded that catechins from green tea drinks are "generally safe", but when taken as supplements catechin doses at or above 800mg per day "may pose health concerns". The EFSA could not identify a safe dose on the basis of available data and called for more research to be carried out.

The liver transplant saved Jim's life. But four years later he still has serious health problems including kidney disease that may require dialysis and a transplant in the future. He sees his liver and kidney doctors twice a year, and lives with chronic abdominal pain.

Liver Damage From Supplements Is on the Rise
https://www.consumerreports.org/health/liver-damage-from-supplements-is-on-the-rise/
https://www.bbc.com/news/stories-45971416

A 300mg daily coenzyme Q10 supplement significantly increased antioxidant capacity and reduced oxidative stress and inflammation levels post-surgery for patients with hepatocellular carcinoma (HCC) – the most common type of liver cancer.

กินน้ำมันปลาเป็นประจำนานเกิน 2 ปี พบว่าทำให้เกิดไขมันพอกตับ เช่นเดียวกับการกินน้ำมันเมล็ดคำฝอย

FISH oil can increase the risk of serious liver disease, a study suggests.

Scientists fed the popular health supplement to rats daily for two years and found a dangerous build-up of fat in their livers. The condition, called non-alcoholic steatohepatitis, can lead to cirrhosis and liver cancer.

The researchers similarly tested sunflower oil on rats — and found it even worse. But virgin olive oil caused no such problems.

https://www.thesun.co.uk/uncategorized/5473385/fish-oil-can-increase-the-risk-of-serious-liver-disease-study-suggests/

>>>>>>>>>>>>>>>>>>

Fish oil is hailed for its plentiful health benefits. But new research suggests that the long-term consumption of fish oil or sunflower oil may increase the risk of fatty liver disease later in life.

Lifelong sunflower oil intake was found to trigger liver fibrosis, and it also altered the structure of the organ, led to changes in gene expression, and increased oxidation in liver cells.

Rats that had a lifelong intake of fish oil demonstrated an increase in age-related cell oxidation in their livers, the team reports, and they also experienced a decrease in electron transport chain activity in the mitochondria — the "powerhouses" of the cell — which impairs cell function.

Fish oil also led to an increase in relative telomere length in the liver, the researchers report. Olive oil, however, was found to cause the least damage to the liver.

Taken together, the team says these findings indicate that virgin olive oil might be the best dietary fat for later-life liver health.

https://www.medicalnewstoday.com/articles/320795.php


8 best supplements for cancer
1. Ground flax seed
2. Garlic
3. Ginger
4. Green tea
5. Selenium
6. Turmeric
7. Vitamin D
8. Vitamin E

เราต้องถนอมตับที่สุด เพราะตับเป็น อวัยวะที่เป็นฐานทัพใหญ่ ถ้าตับเราไม่ดี เสร็จเลย ร่างกายจะฟื้นไม่ได้ ตับสำคัญที่สุด วิธีถนอมตับคืออย่ากินมาก อย่าสะสมพิษให้ตับทำงานหนัก อย่าท้องผูก
กินอาหาร โปรตีนเข้าไปเยอะ ๆ ตับก็ทำงานหนัก
เมื่อตับเราดี มันสามารถช่วยอย่างอื่นหมด ไตก็ผลพลอยได้ประโยชน์ด้วย

วิทยายุทธ์ที่เราจะสู้กับ มะเร็งอันดับแรก คือ หยุดการขยายตัว ของมะเร็งด้วยการควบคุมอาหาร อย่างแรกคือ
ลดไขมันให้น้อยที่ สุด เพราะ ไขมันเป็นอาหารอันดับหนึ่งที่ มะเร็งชอบที่สุด ตามปรกติในข้าว พืชผัก ทุกชนิด มีไขมันเพียงพออยู่แล้ว ที่เราเกิดโรคภัย ไข้เจ็บทุกวันนี้เพราะไขมันเกิน ไขมันที่เรากินทุก วันมันเกิด ออกซิได ซ์ เป็นอนุมูลอิสระหมดแล้ว เพราะการสกัดไขมันเราใช้ความร้อน พอ ถูกความร้อน ไขมันมันเสีย และไขมันที่ใช้แล้วใช้อีกยิ่งหนักเข้าไปอีก อย่างพวก ปาท่องโก๋ กล้วยแขก พวกนี้เป็นสารก่อมะเร็ง คน อ้วน เวลาเป็นมะเร็งจะลามเร็วมากเพราะมันได้อาหาร มะเร็งเหมือนต้นไม้เรา อยากให้ ต้นไม้หยุดการเจริญเติบโต เราต้องหยุดให้น้ำหยุดให้ปุ๋ย มันจะชะงัก ใบร่วงเลย แต่ต้นไม่ก็ยังไม่ตาย มนุษย์เราเหมือนกัน อย่าให้ อาหารที่มะเร็งชอบ

อาหารอย่าง ต่อมาที่ต้องลด คือโปรตีนจากเนื้อสัตว์ เมื่อเรากินเข้าไปมาก และร่างกายนำโปรตีนไปเผาผลาญเป็นพลังงานแล้ว จะเกิดของเสียคือแอมโมเนีย ตัวนี้เป็นตัวร้าย มันเวียนกลับไปทำให้ ตับต้องทำงานหนักเพื่อเปลี่ยนเป็นยูเรีย ออกมาทางไตเป็นส่วนมากและออกมาทางลำ ไส้ใหญ่ ทำให้อุจจาระมีกลิ่นเหม็น พิษจากลำไส้ใหญ่ จะถูกดูดซึมกลับเข้าไปในกระแสเลือด ทำให้ระบบทุกอย่างในร่างกายขัดข้องหมด เลย คนท้องผูกจะหงุดหงิดอารมณ์ไม่ดี ดังนั้น ตับกับไตทำงานหนักเพราะกินโปรตีนเข้าไป โดยเฉพาะคนที่เป็นมะเร็งในตับ ต้องระวังที่สุด

อาหารอย่าง ที่ต้องลดคือแป้งขัดขาว น้ำตาล ของ หวาน อย่างข้าวขาวนี่เวลาย่อยแล้ว เปลี่ยนเป็นน้ำตาลได้เร็วมาก หากเราใช้ไม่หมดมันจะ ถูกส่งไปเก็บไว้ในตับหรือในกล้ามเนื้อ เวลาร่างกาย ต้องการจะดึงกลับมาใช้อีก พอเหลือมันกลับไปเป็นไขมัน บางคนบอกว่าฉันไม่ได้กินไขมันเลย ทำไมฉันยังอ้วนก็ไม่ รู้ ก็เล่นกินขนมขบเคี้ยวไม่หยุดของพวกนี้มัน เปลี่ยนเป็นไขมัน ได้ ตับเปลี่ยนไขมัน หรือน้ำตาลเป็นโปรตีน และยังเปลี่ยนน้ำตาลกลับมาเป็นโปรตีนและ ไขมัน

เกลือต้องลดลงให้มาก ในร่างกายเราประกอบด้วย โซเดียมสูงมากอยู่แล้ว แต่ถ้าเรากินเข้าไปมาก พอมันเข้าไปในกระแสเลือดมาก มันจะ ดูดน้ำในตัวเรา สังเกตพวกกินเค็มหรือไตไม่ดี เท้าจะบวม เกลือมันจะทำให้เลือดเราเป็น กรด คนที่สุขภาพดี เลือดต้องเป็นด่างนิด หน่อย แต่ถ้ากินเค็มเข้าไป เลือดจะเป็นกรดภูมิต้านทาน จะไม่มีเพราะกินเกลือเข้าไปจะไปขับ โปแตสเซียมทำให้เลือดไม่เป็น ด่าง การแก้เลือดเป็นกรด แก้ได้สองอย่าง กินพืชผักผลไม้ให้มากๆเพื่อเพิ่มโปแตสเซียม อีกอย่างคือ หายใจเอาออกซิเจนเข้ามามากๆเพราะยิ่งออกซิเจนเข้าไปในเลือดมากเท่าไหร่ ยิ่งทำ ให้เลือดเราเป็นด่าง

รำลึกพระคุณครู
คิดถึงอาจารย์ณรงค์​ สุภาวิตา ที่สอนให้รู้จักวิชา​ BOTANY และ​ PHARMACOG

>>>>>>

ฉลองวันเกิดอาจารย์ถนอมจิต วันเดียวกับวันเกิดคณะเภสัช ม.อ. ขออราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยอำนวยพรให้อาจารย์มีสุขภาพที่แข็งแรงค่ะ








ด้วยความห่วงใย
.....................
BETTER PHARMACY เจ็ดยอด เชียงใหม่
เราคัดสรรสิ่งที่ดี มีคุณภาพ เพื่อคุณ


FACEBOOK / BetterPharmacyCMG
LINE ID - BETTERCM
.....................




UPDATE  -  2018.12.26