Friday, September 21, 2012

น้ำผึ้งลดน้ำตาลในเลือดได้หรือ!


KP Wellness

Aug 27, 2012  -  Public
น้ำผึ้งลดน้ำตาลในเลือดได้หรือ!
by CHAYADA Farm on Saturday, July 2, 2011 at 5:49pm ·

แพทย์แผนไทยบางคนในภาคเหนือ เช่น พิจิตร พิษณุโลก และสุโขทัยในอดีตแนะนำให้ผู้ป่วยเบาหวานรับประทานน้ำผึ้งเพื่อลดน้ำตาลในเลือด แต่กระแสของการแพทย์ตะวันตกที่ทันสมัยกว่าได้กลบกลื่นความรู้พื้นบ้านนี้ไปจนหมดไปจากความทรงจำของสังคม
เช่นเดียวกับภูมิปัญญาทางการแพทย์อื่น ทำให้คนรุ่นเราไม่ทราบเอาเสียเลย
 แนวคิดความรู้ตะวันตก แยกส่วน ไม่ผสมผสานสร้างความชำนาญ ทำให้ผู้ป่วยต้องพึ่งหมอแต่ฝ่ายเดียว ทั้งที่ผู้ป่วยรู้จักตัวเองมากที่สุด ดีกว่าหมอเสียอีก เพราะว่าเราอยู่กับร่างกายนี้มาตั้งแต่เกิด แต่ไม่กล้ารักษาตัวเอง เนื่องจากขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคที่เพียงพอ และแน่นอนไม่มั่นใจ ต่างจากในอดีตที่พ่อแม่มักสอนลูกหลานเกี่ยวกับสมุนไพรและอาหารเพื่อสุขภาพ และรอดจากโรคร้ายบางชนิด

ความหวานเป็นส่วนหนึ่งของน้ำผึ้ง และเอกลักษณ์ที่คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าน้ำผึ้งมีน้ำหวานหรือน้ำตาลเป็นหลัก สังคมเราก็โหมประชาสัมพันธ์ว่าของหวานไม่ดี แต่ความจริงมีสมุนไพรที่ซ่อนตัวอยู่หลังความหวานของน้ำผึ้งหลากหลายชนิด ที่ทำให้คนมองข้ามหรือไม่เห็น ความหวานที่เข็มข้นของน้ำผึ้งเป็นเกาะกำบังคุณภาพสมุนไพรเหล่านี้ได้อย่างดี ไม่ให้เชื้อโรคเข้ามารบกวน

เพื่อนผมหลายคนถามผมว่าจะใช้ “น้ำตาลจิ้มน้ำตาลหรือ” เหมือนกับใช้เกลือจิ้มเกลือ รักษาเบาหวานหรือ ผมไม่ตอบดีกว่า อ่านข้อความต่อจากนี้ก็แล้วกัน คำตอบรอทุกท่านที่รักการอ่านอยู่บอกเสียก่อนอย่าเชื่อ ใช้ดุลพินิจนะครับ ดังคำสอนของพระพุทธองค์

จากข้อมูลงานวิจัยในต่างประเทศพบว่าน้ำผึ้งช่วยลดน้ำตาลในเลือดหนู และจากบทความหนึ่งที่เขียนลงในหนังสือของสมาคมผู้เลี้ยงผึ้งภาคเหนือของประเทศไทย ที่กล่าวว่าน้ำผึ้งช่วยลดน้ำตาลในเลือด จุดประกายให้ผมให้ความสนใจกับเรื่องนี้มาก เพราะว่าคนในครอบครัวผมหลายคน เช่น อาของผมสองคนที่ผมใกล้ชิดมากจากโลกนี้ไปด้วยโรคนี้

ผมจึงเขียนคำถามวิจัยนี้ลงบนเวบไซค์ถามผู้รู้ในโลกอินเทอเนต เพื่อขอคำตอบ และเป็นที่มาของการทำงานร่วมกันระหว่างชยาดาฟาร์มผึ้งร่วมกับ สาขาวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร คณะวิศวกรรมและอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้
ทดลองหาเหตุผลมาอธิบายเมื่อจะนำมาใช้กับมนุษย์ ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว) ซึ่งผลการทำงานดังกล่าว ซึ่งมาจากการเลี้ยงผึ้งที่เน้นคุณภาพ ห้องปฏิบัติการที่ทันสมัยของมหาวิทยาลัย และทีมงานนักวิจัยที่กระหายคำตอบ ทำให้ได้ผลการทำงานวิจัย ดังนี้ น้ำผึ้งชะลอการทำงานของเอนไซม์ α-amylase (เอ็นไซค์ย่อยแป้งให้เป็นน้ำตาลโมเลกุลเชิงซ้อน) และ α–glucosidase (เอ็นไซค์ย่อยต่อให้เป็นกูลโคส และเมื่อไม่มีอินซูลินนำเข้าไปกล้ามเนื้อและเซลล์ก็จึงตกค้างอยู่ในเลือด) โดยใช้น้ำผึ้งทั้งหมด 22 ตัวอย่าง จากชยาดาฟาร์มผึ้ง 4 ตัวอย่าง ซึ่งเป็นน้ำผึ้งคุณภาพสูงที่ได้รับรางวัลชนะเลิศการประกวดน้ำผึ้งแห่งชาติประจำปี 2552 และซื้อจากท้องตลาด 18 ตัวอย่าง ประกอบด้วยนํ้าผึ้งดอกลำไย 10 ตัวอย่าง ดอกไม้ป่า 3 ตัวอย่าง ดอกทานตะวัน
2 ตัวอย่าง ลิ้นจี่ 1 ตัวอย่าง และไม่ระบุแหล่งของดอกไม้ 6 ตัวอย่าง น้ำผึ้งทุกตัวอย่างสามารถยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ α- amylase และ α–glucosidase ได้ ดีกว่ายารักษาเบาหวาน 2 ชนิด ที่ใช้เป็นตัวเปรียบเทียบ โดยน้ำผึ้งดอกลำไยยับยั้งเอนไซม์ α-amylase และ α–glucosidase ได้มากที่สุดประมาณ 80% โดยมีค่าเฉลี่ยทั้งหมด 55%

นี่เป็นผลงานวิจัยเล็กๆของนักศึกษาปริญญาตรี 2 ท่าน คุณกัลยาณี จอมดวง และคุณรสสุคนธ์ การหมั่น เท่านั้น ภายใต้การแนะนำของ ดร วิจิตรา แดงปรก ถึงแม้จะเป็นงานวิจัยที่เล็กมาก แต่ช่างมีประโยชน์เหลือคณา เป็นความหวังใหม่เลยทีเดียว เพราะว่าเราอาจพาผู้ป่วยออกจากวังวนของเบาหวานก็ได้ เราอาจช่วยผู้ป่วยหายจากโรคก็ได้ ผู้ป่วยอาจไม่จำเป็นต้องกินยาเคมีมากนัก หรือไม่ต้องกินเลย
เปลี่ยนความคิดใหม่จากการที่บอกว่าเบาหวานไม่หาย เป็นรักษาได้เพราะว่าน้ำผึ้งมีสารอาหารและยามากมายที่พร้อมจะช่วยผู้ป่วย

ปริศนาหลังความหวานนี้รอนักวิจัยที่จะมาช่วยค้นหาและอธิบายให้กระจ่างมากขึ้น แต่น่าเสียดายเหลือเกินที่ สกว งดให้ทุนวิจัยในระดับปริญญาตรีเสียแล้ว กลับมาให้เถิดเพราะว่าทุนนี้สร้างนักวิจัยรุ่นใหม่ที่ดีมาก

ปีนี้ชยาดาฟาร์มผึ้ง และมหาวิทยาลัยแม่โจ้จะเน้นทดลองใช้น้ำผึ้งลำไยที่มีคุณภาพสูงมาทดลองซ้ำอีก ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยเช่นเคย แต่เป็นทุนระดับปริญญาโทเพื่อหาคำอธิบายเพิ่มเติม ในอนาคตผลงานนี้อาจเป็นแสงสว่างปลายอุโมงมืดให้กับผู้ป่วยได้ในอนาคตมากขึ้น และหากเป็นไปได้ทุนนี้น่าจะสนับสนุนระดับปริญญาเอกหรือหลังปริญญาเอก น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่งที่ไม่มีหมอแพทย์แผนใหม่ให้ความสนใจเลย คงต้องรอกันไประยะหนึ่ง

คำถามว่าน้ำผึ้งมีอาวุธอะไรมาควบคุมการทำงานของเอนไซม์ คำตอบก็คือ จากงานวิจัยของ Bravo พบว่ามีสารประกอบฟีนอลิกซึ่งเป็นสารที่มีความสำคัญมากที่สุดชนิดหนึ่งที่พบในพืช ประกอบด้วยสารย่อยต่างๆมากมายเมื่ออยู่รวมกันสารนี้มีความสามารถในการยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง ต้านการอักเสบ ป้องกันภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง ต้านการเกิดลิ่มเลือด ช่วยเสริมสร้างการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย และ Vinson และคณะยังกล่าวว่าต้านอนุมูลอิสระด้วย ในขณะที่ Estevinho และคณะเสริมว่ายับยั้งจุลินทรีย์ได้อีกด้วย

Ferreira และคณะ พบว่าสารประกอบฟีนอลิกในน้ำผึ้งมีมากกว่า 150 ชนิด ตัวอย่างเช่น ฟลาโวนอยด์ กรดฟีนอลิก คะเทชิน และกรดซินนามิก นี่เป็นคำตอบว่าสารฟีนอลิกช่วยลดน้ำตาลในเลือดที่ทำหน้าที่คล้ายยารักษาเบาหวานบางชนิด แต่คุณภาพสูงกว่าเท่าตัว และไม่มีผลข้างเคียง ไม่ทำให้ตับอักเสบ เนื้องอกที่ไต ท้องอืด และปวดท้อง ผมจะอธิบายบทบาทของสารดังกล่าวในรายละเอียดที่เกี่ยวกับต้านมะเร็ง โรคหัวใจ และภูมิคุ้มกันภายหลัง

สารประกอบฟีนอลิกมีประสิทธิภาพในการทำงานสูงในต้านอนุมูลอิสระกว่าวิตามินซีที่เราเชื่อว่าเป็นสุดยอดวิตามินถึง 50
เท่า การค้นพบสารประกอบดังกล่าวในน้ำผึ้งนับว่าเป็นค้นพบที่สำคัญยิ่ง ทั้งนี้เพราะว่าสารดังกล่าวอยู่ในพืช โดยเฉพาะเกสรพืช และน้ำหวานในรังไข่ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการสืบพันธุ์ที่พืชทุกชนิดคัดสรรสิ่งที่เป็นสุดยอดเก็บไว้เพื่อการสืบลูกหลาน

น้ำผึ้งลำไยมีสารประกอบฟีนอลิกสูงสุดเมื่อเปรียบเทียบกับน้ำผึ้งชนิดอื่น นี่เป็นคำตอบว่าทำไมน้ำผึ้งชนิดนี้จึงมีราคาแพงที่สุด งานวิจัยของคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ยังพบว่าผล ใบ และเมล็ดลำไย พบกรดแอลาจิก มากที่สุดเมื่อเทียบกับพืชเบอรรีต่างๆ เสียอีก กรดดังกล่าวช่วยระงับมะเร็งลำไส้ และอาการปวดขา นี่เป็นอีกความหวังว่าน้ำผึ้งลำไยน่าจะมีกรดชนิดเช่นกัน

สารประกอบฟีนอลิกจะลดลงเมื่อระยะเวลาการเก็บน้ำผึ้งยาวนานขึ้น ดังนั้นน้ำผึ้งที่ดีที่สุดควรมีระยะเวลาในการเก็บที่ไม่นานนัก
ดังนั้นแนวคิดที่ว่าน้ำผึ้งยิ่งเก่ายิ่งดี เป็นแนวคิดที่ไม่ถูกนัก

น้ำผึ้งที่เข็มข้นนับว่ามีส่วนอย่างมากในการปกป้องสารประกอบฟีนอลิก ต่างจากพืชทั่วไปที่หลังจากถูกเก็บเกี่ยวแล้ว พืชเหล่านั้นกลับไม่สามารถปกป้องสารดังกล่าวได้เลย และจะสูญสลายไปอย่างรวดเร็ว และอาจจะไม่มีเลยในพืชผักและผลไม้ที่เก็บเกี่ยว และต้องขนถ่ายที่ใช้เวลานาน และเป็นระยะทางไกล

น้ำผึ้งที่มีความเข็มข้นไม่เพียงพอและต้องผ่านการอบด้วยความร้อนสูง จะทำให้สารประกอบฟีนอลิกสูญเสียไปหมด
ทั้งนี้เพราะว่าสารดังกล่าวไม่สามารถทนต่อความร้อนที่สูงเกิน 60 องศา ดังนั้นการดื่มน้ำผึ้งกับกาแฟหรือน้ำร้อนเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้สารประกอบดังกล่าวสูญเสียไป ดื่มน้ำผึ้งกับน้ำอุณหภูมิปกติจึงเป็นการถูกต้องที่สุดในการรักษาเบาหวาน

ไม่ควรเก็บน้ำผึ้งในที่มีแสงแดดรวมทั้งในรถยนต์ที่จอดตากแดดทิ้งไว้นานๆ เพราะว่าแสงแดดทำลายประสิทธิภาพของสารประกอบฟีนอลิกควรเก็บน้ำผึ้งไว้ในกล่องก่อนนำมาใช้ หรือเก็บในขวดสีดำหรือทึบและการใช้น้ำผึ้งขวดเล็กและให้หมดเร็ว จะได้ไม่โดนแสงมากเกิน ดีกว่ากว่าใช้น้ำผึ้งขวดใหญ่ใช้เวลานานในการบริโภคและมีโอกาสโดนแสงมากกว่า

ผู้ป่วยเบาหวานหลายคนสนใจและทดลองใช้น้ำผึ้งบำบัดตัวเองผลที่ผ่านมาเป็นที่พอใจอย่างยิ่ง มีอาการดีขึ้นมาก ทั้งที่เป็นหนักมาก และไม่มากทุกคนสดชื่นขึ้น บางคนมีแผลก็หายดีขึ้น น้ำตาลเริ่มลดลง หลายคนเลิกใช้ยาบางส่วน
บางคนเลิกยาทุกชนิด

ผมได้พบกับผู้ป่วยรายแรกเป็นผู้ชายเป็นเบาหวานหนักมากที่เชียงใหม่มีแผลเต็มตัว แผลลึกที่เดียว มีอาการนอนไม่หลับ และเป็นอัมพฤกษ์ ผมไม่เคยเห็นใครที่เป็นเบาหวานมากขนาดนี้ผู้ป่วยรายนี้ใช้น้ำผึ้งทั้งรับประทานและทาจากคำแนะนำของหลาน
ทำให้แผลหายอย่างรวดเร็วภายในหนึ่งเดือน และน้ำตาลลดลง มีหน้าตาที่แจ่มใสขึ้น แผลลดลงจนเกือบหาย
เริ่มนอนหลับดีขึ้น และอาการอัมพฤกษ์ดีขึ้น ก็นึกอยู่ในใจว่าได้ทำบุญมากเลและจะมากยิ่งกว่านี้ถ้าสามารถช่วยเขาให้หายจากโรคนี้ได้

รายที่สองผมไปพบที่พิจิตร บ้านเกิดเมืองนอนผมเอง จากมาเสียนาน ไม่ค่อยได้ไปเท่าไร ผู้ป่วยรายนี้ หมอบอกว่าจะตัดนิ้วก็เลยไม่กล้าไปหาหมออีก ถ้าเป็นผมก็คงไม่กล้าไปเช่นกันพยาบาลที่ทำหน้าเยี่ยมคนไข้ ไม่รู้จะทำอย่างไรผมก็เคยบอกไปหลายครั้งแล้วว่าน้ำผึ้งรักษาเบาหวานได้ แต่ก็ดูเหมือนพยาบาลไม่ค่อยจะเชื่อเท่าไรแต่คราวนี้เป็นหนทางสุดท้าย หากไม่รักษาคนไข้ก็ต้องตายแน่ ประกอบกับสามีพยาบาลซึ่งเป็นเพื่อนผมเองบอกว่าให้ทดลองช่วยคนไข้โดยน้ำผึ้ง จะออกเงินซื้อให้เอง เมื่อคนไข้ดื่มและใช้น้ำผึ้งทาก็มีอาการที่ดีขึ้นฝาเท้าเป็นแผลที่โดนฤทธิ์ของน้ำตาลกินไปหมดไม่มีหนังหุ้ม เห็นแต่แผลแดงเต็มไปหมดค่อยๆหายมีอาการดีขึ้นมาก คนไข้ก็มีกำลังใจ และแผลหายในที่สุด

ผมคิดตลอดเส้นทางที่เดินทางกลับเชียงใหม่ว่าพยาบาลและสามีทำไมช่างใจบุญขนาดนี้ ดีกว่าไปทอดกฐินบางวัดเสียอีก
แล้วผมจะมีส่วนในความช่วยเหลือนี้ได้บ้างและเป็นที่มาที่ผมต้องเข้าไปช่วยโดยผมออกเงินครึ่งหนึ่งเพื่อซื้อน้ำผึ้งไปช่วยกันรักษาคนป่วยที่เป็นคนยากคนจน ผมคิดในใจว่าคราวนี้ผู้ป่วยคงช่วยตัวเองได้เพราะว่าจะใช้น้ำผึ้งเพียงวันละ 10 บาท เท่านั้น ไม่แพงนัก อย่าไปเปรียบกับน้ำผึ้งทั่วไปนะเดียวจะไม่กล้าบริโภค หากผู้อ่านท่านใดจะร่วมทำบุญก็บอกได้นะครับนึกเสียว่าช่วยเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ผมกำลังจะตั้งเป็นมูลนิธิเพื่อบริจาคน้ำผึ้งเพื่อคนจนและพระภิกขุ

น้ำผึ้งยังมีสารอื่นที่ช่วยคนที่เป็นเบาหวานอีก เช่นฟรุตโตส ที่ทำให้สดชื่นขึ้นในเวลาที่รวดเร็ว กรดกลูโคลิกที่ล้างพิษจากยาสารเคมีในตับกรดอะมิโน โปรลีนที่สร้างคอลลาเจนที่ช่วยซ่อมแซมอวัยวะที่ถูกทำลายเพราะฤทธิ์ของน้ำตาลในเลือดและสารอื่นในน้ำผึ้งอีกมากมายที่ช่วยกันรักษาเบาหวานแบบองค์รวม จากอาหารชนิดเดียวแต่ทำหน้าที่หลายอย่างพร้อมกัน ผมจะเล่าให้ฟังเพิ่มเติมในเดือนหน้า
หากใจร้อนอีเมล์มาหาผมนะ ผมเขียนบทคัดย่อให้แล้วจะได้อ่านแบบรวบรัด

https://www.facebook.com/notes/chayada-farm/น้ำผึ้งลดน้ำตาลในเลือดได้หรือ/238347426193678

KP Wellness

Aug 24, 2012  -  Public
Beer Still Most Popular Alcoholic Beverage in U.S. | Moneyland | TIME.com -http://moneyland.time.com/2012/08/24/booze-caffeine-latest-revelations-about-your-drinking-habits/
Beer Still Most Popular Alcoholic Beverage in U.S. | Moneyland | TIME.com »
Do happier people binge drink more often? When comparing teens and adults, who drinks more soda? Recent surveys and studies reveal all—and the findings may be surprising.
Is Rinsing Your Sinuses Safe? -
http://www.fda.gov/ForConsumers/ConsumerUpdates/ucm316375.htm

FDA has concerns about the risk of infection tied to the improper use of neti pots and other nasal rinsing devices. The agency is informing consumers, manufacturers and health care professionals about safe practices for using all nasal rinsing devices, which include bulb syringes, squeeze bottles, and battery-operated pulsed water devices.

Most important is the source of water that is used with nasal rinsing devices. Some tap water contains low levels of organisms, such as bacteria and protozoa, including amoebas, which may be safe to swallow because stomach acid kills them.  But these “bugs” can stay alive in nasal passages and cause potentially serious infections.

Is Chagas Disease the New AIDS? - Ask Dr. Weil -
http://www.drweil.com/drw/u/QAA401161/Is-Chagas-Disease-the-New-AIDS.html

Chagas disease is an infectious illness spread by bloodsucking cone-nosed bugs, also known as "kissing bugs." Chagas disease has an acute and a chronic phase. If untreated, infection is lifelong. Chagas was likened to AIDS by infectious disease researchers because it is impossible to cure. In Latin America this disease is a very serious problem, taking an estimated 20,000 lives each year.

Coconut Oil Is Superior for Nutrient Absorption -
http://coconutoil.com/coconut-oil-is-superior-for-nutrient-absorption/

may be due to coconut oil’s medium chain fatty acids (MCFAs). MCFAs are smaller than LCFAs, which means they permeate cell membranes easily, and do not require lipoproteins or special enzymes to be utilized effectively by your body. 

MCFAs are easily digested
MCFAs are sent directly to your liver
MCFAs in coconut oil can actually help stimulate your body’s metabolism





No comments:

Post a Comment