Monday, December 24, 2012

ผู้หญิงควรรู้


KP Wellness

12:06  -  Public
สาระดีดี originally shared this post:
ผู้หญิงควรรู้ "ไ ข้ ทั บ ร ะ ดู"
ผู้หญิงทั้งหลายคงเคยได้ยินคำว่า “ไข้ทับระดู” กันมาบ้างนะคะ หลายต่อหลายคนต้องเสียการเสียงาน หยุดเรียนกันให้วุ่นวายไปหมดเพราะเจ้าอาการไข้ในวันมามากนี้ สมัยก่อนนี่ผู้หญิงส่วนมากต่างก็พากันหวาดกลัวภาวะไข้ทับระดูหรืออาการเป็นไข้ระหว่างมีประจำเดือนค่ะ เพราะบางคนเป็นแล้วอาจถึงกับเสียชีวิตได้เลยทีเดียว

ร่างกายของผู้หญิงจะมีการเปลี่ยนแปลงมากมายหลากหลายประการค่ะ ผลก็เกิดมาจากฮอร์โมนเพศหญิงที่เปลี่ยนแปลงในระยะมีประจำเดือน เซลส์เม็ดเลือดขาวชนิดต่อสู้เชื้อโรคจะลดน้อยลงทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานน้อยลงและมีโอกาสเกิดการติดเชื้อได้ง่ายกว่าปกติ นี่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุของการเป็นไข้ในช่วงระหว่างที่มีประจำเดือนได้นะคะ

ไข้ทับระดูยังมีโอกาสเกิดได้จากการติดเชื้อในมดลูกและปีกมดลูกส่งผลให้เกิดภาวะมดลูกอักเสบและปีกมดลูกอักเสบได้อีกด้วย ปีกมดลูกอักเสบ หมายถึง การอักเสบของท่อรังไข่ ส่วนมดลูกอักเสบ หมายถึง การอักเสบของเยื่อบุภายในโพรงมดลูก ทั้งสองโรคพบได้บ่อยในหญิงวัย 15-45 ปี เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่ผ่านช่องคลอดเข้าไปทางปากมดลูก ขึ้นไปในโพรงมดลูก ทำให้เกิดโรคมดลูกอักเสบ และถ้าหากลุกลามต่อไปในท่อรังไข่ ก็ทำให้กลายเป็นปีกมดลูกอักเสบได้

ไข้ทับระดู จะเป็นในระหว่างที่มีระดูได้ครึ่งวัน หนึ่งวัน หรือสองวัน มักจะมีอาการปวดหัว ตัวร้อน ไข้สูง หนาวสั่น ปวดท้องน้อย ตกขาวออกเป็นหนอง มีกลิ่นเหม็น อาจมีอาการปวดหลัง คลื่นไส้ อาเจียน อาจมีประจำเดือนออกมาก และมีกลิ่นเหม็น หมอจะตรวจวินิจฉัยโรคจากอาการไข้สูงและกดเจ็บมากบริเวณท้องน้อยข้างเดียวหรือทั้ง 2 ข้าง บางครั้งพบอาการซีดหรือภาวะช็อกร่วมด้วย หมอจะหาสาเหตุด้วยการตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะเพื่อหาเชื้อหรืออาจมีการตรวจอัลตร้า ซาวน์ร่วมด้วยนะคะ

ไข้ทับระดูอาจเกิดจากสาเหตุอื่นก็ได้โดยที่ไม่มีสาเหตุเกี่ยวข้องกับประจำเดือนก็ได้ เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ มาลาเรีย ไข้เลือดออก และไทฟอยด์ เป็นต้น แต่มาเป็นในจังหวะเวลาเดียวกับช่วงที่มีประจำเดือนก็ได้ค่ะ 

KP Wellness

12:04  -  Public
สาระดีดี originally shared this post:
วิธีกำจัดภัย..ที่มาจากชุดชั้นใน
คงไม่มีอะไรจะดีที่สุดเท่าการป้องกันความอับอาย ด้วยการรู้จักโรคที่คาดไม่ถึงในที่ลับ กับวิธีสร้างสุขอนามัยในที่ซ่อนเร้น

1. สายบราที่รัดตึงเกินไปจะทำให้ปวดศีรษะ ไหล่ หลัง คอ และเป็นจุดเริ่มต้นของการปวดหัวเรื้อรัง หรือไมเกรน เนื่องจากกล้ามเนื้อช่วงไหล่ถูกดึงรั้ง จนเลือดบริเวณนั้นไหลเวียนไม่สะดวก

2. บราไซส์เล็กเกินไป ทำให้เกิดภาวะเครียดต่อระบบกล้ามเนื้อระบบหายใจ และระบบไหลเวียนเลือด ทำให้เหนื่อยง่าย บางรายมีอาการเจ็บหน้าอกเรื้อรัง

3. จากการศึกษาเรื่อง Bra and Breast Cancer Study ที่สหรัฐอเมริกา พบว่าการใส่บราที่รัดแน่นต่อเนื่องเป็นเวลานาน เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านม เพราะแรงกดทำให้เกิดการคั่งของเลือดและน้ำเหลือง และเกิดเป็นก้อนเนื้อที่บริเวณหน้าอก ซึ่งอาจกลายเป็นเนื้อร้ายในเวลาต่อมา

4. ควรเลือกขนาดของบราให้เหมาะสมกับบรากาวที่เสริมเข้าไป ก่อนใช้ควรทำความสะอาดผิวบริเวณที่สวมใส่ให้แห้ง และไม่ควรทาโลชั่น น้ำหอม แป้ง หรือผลิตภัณฑ์ดูแลผิวใด ๆ ถึงแม้ศูนย์ Women’s Health Boutique สหรัฐอเมริกา เชื่อว่าการใช้บรากาวปลอดภัยและไม่มีอันตรายต่อสุขภาพ แต่ถ้าเกิดการระคายเคืองหรือคันบริเวณเต้านม ควรให้เลิกใช้ทันที หลังใช้ควรทำความสะอาดบราด้วยน้ำสบู่อ่อนๆ หรือน้ำอุ่น ใช้ผ้าซับน้ำ ด้านที่เป็นกาว นำไปผึ่งในที่ร่มจนแห้งสนิท แล้วจึงเก็บไว้ในอุณหภูมิปกติ

5. การสวมสเตย์รัดหน้าท้องนาน ๆ จะทำให้กล้ามเนื้อหลังไม่แข็งแรงปวดหลังเป็นประจำ หรือปวดหลังเรื้อรัง เวลานั่ง ยืน หรือเดินอวัยวะภายในช่องท้องทำงานได้ไม่เต็มที่ เนื่องจากแรงบีบรัดของสเตย์ อวัยวะที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ กระเพาะอาหาร ลำไส้ ระบบขับถ่ายที่ทำให้ท้องผูก ระบบกล้ามเนื้อ ระบบไหลเวียนเลือดอุดตัน ทำให้เกิดความเครียด ระบบย่อยอาหารที่เป็นอุปสรรคต่อการย่อย จนเกิดโรคกระเพาะอาหารอักเสบหรือเป็นแผล

6. การใส่จีสตริงที่มีขนาดเล็ก หรือสายรัดตึงเกินไป ทำให้เกิดอาการระคายเคืองต่อเนื้อเยื่อบริเวณง่ามก้น หรือเกิดการเสียดสีจนอาจเป็นแผลผิวหนังถลอก หรืออักเสบที่บริเวณอวัยวะเพศหรือทวารหนักได้ หากรักษาความสะอาดไม่ดีพอ สายของจีสตริงจะเป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรียบริเวณรอบทวารหนักชื่อ Gardinerella Vaginalis เป็นเหตุให้แบคทีเรียดังกล่าวแพร่เข้าสู่ช่องคลอด เกิดปัญหาการติดเชื้อ มีอาการตกขาว กลิ่นเหม็น และคันที่บริเวณอวัยวะเพศ

7. อย่าใส่ซ้ำ หรือรีบเปลี่ยนชุดชั้นในที่อับชื้นทันที เพื่อป้องกันการติดเชื้อและราที่อาจทำให้เกิดโรคผื่นคันหรือสังคัง ซึ่งเกิดได้ทั้งในผิวหนังบริเวณเร้นลับทั้งของผู้ชายและผู้หญิง สาเหตุของสังคังเกิดจากเชื้อราลุกลามเป็นวงกว้าง ในเซลล์ที่ตายแล้วบริเวณขาหนีบซึ่งเป็นมุมอับ เมื่ออากาศระบายเข้า-ออกไม่ดีทำให้เกิดการหมักหมม เมื่อรู้ตัวว่าเริ่มมีอาการคันบริเวณขาหนีบ ให้รีบไปหาหมอเพื่อทำการรักษา การป้องกัน และการรักษาที่ดีที่สุดคือ รักษาความสะอาดของร่างกายโดยอาบน้ำทุกวัน วันละ 2 ครั้งเป็นอย่างน้อย หลังอาบน้ำเสร็จแล้วเช็ดตัวให้แห้ง อย่าให้ร่างกายมีความอับชื้นโดยเฉพาะที่ขาหนีบ

8. ควรหมั่นทำความสะอาดชุดชั้นในให้ปลอดเชื้อราเสมอ ๆ เริ่มจากแยกชุดชั้นในออกจากชุดชั้นนอกและแยกสีเข้ม สีอ่อน ซักด้วยน้ำยาซักผ้าหรือผงซักฟอกละลายในน้ำธรรมดา ไม่ควรใช้สารฟอกขาวทุกชนิด ไม่ควรขยี้หรือใช้แปรงขัดชุดชั้นในแรง ๆ (โดยเฉพาะยกทรง) เพราะจะทำให้เสียรูปทรงได้ง่าย ในบริเวณที่มีคราบสกปรกให้ใช้แปรงขนนุ่ม ๆ ถูเบาๆ ให้สะอาด จากนั้นให้ล้างชุดชั้นในด้วยน้ำสะอาดหลาย ๆ ครั้ง ไม่ควรบิดยกทรงโดยเฉพาะแบบมีโครง ควรบีบเบา ๆ เพื่อให้น้ำออก ตากในที่ร่ม มีลมโกรก ไม่ควรตากชุดชั้นในทุกชนิดให้ถูกแสงแดดโดยตรงเพราะจะทำให้เนื้อผ้าและสีเสื่อมสภาพเร็ว


KP Wellness

12:04  -  Public
สาระดีดี originally shared this post:
คันจุดซ่อนเร้น เกิดขึ้นได้เสมอ
อาการคันบริเวณจุดซ่อนเร้นเกิดขึ้นได้เสมอๆ บางคนเป็นๆ หายๆ ก่อความรำคาญ และทำให้เกิดความกังวลใจอย่างมาก สาเหตุของการคันระคายเคืองมีมากมาย ลองสำรวจทีละอย่างในชีวิตประจำวันของคุณดูว่ามีอะไรที่น่าจะเป็นสาเหตุได้บ้าง

ใส่เสื้อผ้า ชุดชั้นในคับเกินไป ทำให้อากาศถ่ายเทไม่ดี โดยเฉพาะชุดชั้นในที่คับที่เป้า ทำให้เกิดความอับชื้น และคับจนทำให้เกิดการเสียดสี ระคายเคืองคัน ถ้าเกาอาจเป็นแผลติดเชื้อ ควรเลือกเสื้อผ้าที่สวมใส่สบาย เนื้อผ้าระบายอากาศได้ดี ช่วยซับเหงื่อ แห้งเร็ว เช่น ผ้าฝ้าย หรือผ้าที่ผลิตจากเส้นใยธรรมชาติ

หลังเล่นกีฬา หรือออกกำลังกายควรรีบชำระร่างกายอย่าปล่อยไว้นานเพราะเหงื่อออกมากทำให้เกิดการหมักหมม

หากมีการระคายเคือง ตกขาวมีสี มีกลิ่น อาจเกิดจากเชื้อรา

หรือเกิดจาก โลน จะทำให้คันบริเวณหัวเหน่า โลนเป็นสัตว์เล็กๆ ประเภทเดียวกับเหา

เกิดจาก โรคเริม (Herpes Simplex) เป็นไวรัส ชนิดหนึ่ง ติดต่อได้ทางผิวสัมผัส และเพศสัมพันธ์ ทำให้มีตุ่มพุพอง มีไข้ ต่อมน้ำเหลืองโต

แพ้สารเคมีต่างๆ เช่น จากน้ำยาหรือผงซักฟอกที่ใช้ซักชุดชั้นใน แพ้สบู่อาบน้ำที่มีความเป็นด่างมากเกินไป แพ้น้ำหอมจากผ้าอนามัย แพ้น้ำหอมที่ฉีดพ่นตัว แพ้สารหล่อลื่นที่เคลือบถุงยางอนามัย เป็นต้น

ดังนั้นเมื่อเกิดอาการคันลองสังเกตหาสาเหตุว่ามาจากเรื่องใด ถ้าเกิดจากการแพ้สารต่างๆ ลองปรับเปลี่ยนไปใช้อย่างอื่นอาจดีขึ้น และหายได้เอง แต่ถ้าคันมาก ทางที่ดีควรปรึกษาแพทย์ รับการรักษาอย่างถูกต้อง และอย่าซื้อยามาใช้เอง ไม่ว่าจะเป็นยาเหน็บ ยาทา หรือยารับประทาน การรักษาสุขอนามัยในส่วนซ่อนเร้นของสตรีเป็นเรื่องต้องดูแลพิเศษ มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งก็จะเป็นการป้องกันได้ดีเยี่ยมอีกทางหนึ่ง


KP Wellness

12:02  -  Public
สาระดีดี originally shared this post:
วิธีเอาชนะกลิ่นอับในจุดซ่อนเร้น
       เรื่องกลิ่นเป็นเรื่องที่สำคัญมากสำหรับสาวๆทุกท่านและยิ่งเป็นกลิ่นในที่ ซ่อนเร้นแล้วเราต้องรักษาสุขภาพและความงามอยู่เสมออย่าทำหน้าแดง หรือหันหน้าหนี ที่เอาเรื่องตรงนั้นมาบอกเล่าให้ฟัง เพราะความเป็นจริงแล้ว อวัยวะเพศก็คืออวัยวะหนึ่ง ของร่างกายที่ควรได้รับการดูแลไม่แพ้ใบหน้า
       ดังนั้นไม่ต้องอาย เพราะคนที่อายทำเมินเฉยต่ออวัยวะเพศจนเกิดปัญหา ติดโรคเพราะดูแลไม่ดีมาหลายรายแล้ว โดยเฉพาะเรื่องกลิ่น ถ้าใครมีล่ะก็ ฟังทางนี้เลย ปกติแล้ว อวัยวะเพศของเราจะไม่มีกลิ่นรุนแรงนะคะ จะมีก็แค่น้อยๆ เท่านั้น ถ้ามีกลิ่นรุนแรง ขอให้สังเกตต่อด้วยว่า…
         1. มีอาการตกขาวที่มีสีเหลืองอ่อนๆ หรือมีฟองเหนียวๆ ไหม
         2. มีอาการคันหรือเปล่า
         3. ก่อนหน้านี้เคยมีปัญหากลิ่นรุนแรงแบบนี้หรือเปล่า
       ถ้า เป็นไปตามที่บอกมา ขอให้รับรู้เลยว่า เรากำลังเกิดอาการผิดปกติค่ะ ต้องไปพบคุณหมอ เพราะอาจกำลังเกิดเชื้อราตรงบริเวณนั้นก็ได้นะจ๊ะนอกจากนี้แล้ว ขอแนะนำวิธีการดูแล ส่วนนั้นของเราให้สะอาด ปราศจากกลิ่นดังนี้เลยจ้า
      1. ไม่ต้องโกนขนตรงนั้น เพราะมีหน้าที่ป้องกันไม่ให้กลิ่นจากภายในออกมาเหม็นไปทั่ว นอกจากไม่โกนแล้ว ไม่ควรดึง ถอน หรือทำสีด้วยนะ เต็มที่ก็แค่ให้ตัดแต่งได้นิดๆ หน่อยๆ จ้า
      2. ล้างส่วนนั้นด้วยน้ำอุ่นสะอาด อาจใช้สำลีชุบน้ำอุ่นช่วยได้บ้าง
      3. สบู่สำหรับล้างตรงส่วนนั้น ให้ใช้ได้แต่ไม่บ่อยนัก เพราะสบู่จะไปฆ่าแบคทีเรียชนิดดีที่ ช่วยรักษาส่วนนั้นของเราจนตายไปหมด อาจจะทำให้ติดเชื้อง่าย หรือมีกลิ่นรุนแรงขึ้น
      4. หลังล้างตรงส่วนนั้นแล้วใช้ผ้าขนหนูซับเบาๆ ห้ามถูแรงๆ
      5. เมื่อมีประจำเดือน ควรเปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยๆ
      6. สวมกางเกงชั้นในที่สะอาด ผ้านุ่ม สบาย และไม่อับชื้น


KP Wellness

12:01  -  Public
สาระดีดี originally shared this post:
คุณประโยชน์ของขมิ้นชัน สมุนไพรไทย

กินขมิ้นชันตามเวลาต่อไปนี้จะได้ผลโดยตรงกับอวัยวะส่วนนั้น

เวลา 03.00 – 05.00 น. ช่วยบำรุปอด ป้องกันการเป็นมะเร็งปอด ช่วยทำให้ปอดแข็งแรง ช่วยเรื่องภูมิแพ้ของจมูกที่หายใจไม่สะดวก และช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันที่ผิวหนัง

เวลา 05.00 – 07.00 น. ช่วยแก้ปัญหาลำไส้ใหญ่ ถ้าเคยกินยาถ่ายมาเป็นเวลานาน ให้กินขมิ้นชันเวลานี้ ขมิ้นชันจะฟื้นฟูปลายประสาทของลำไส้ใหญ่ แต่ต้องกินเป็นประจำ ถึงจะทำให้ลำไส้ใหญ่บีบรัดตัวเพื่อขับถ่ายอย่างปกติ แก้ปัญหาลำไส้ใหญ่กลืนลำไส้เล็ก หรือลำไส้ใหญ่มีปัญหาถ่ายมากเกินไปหรือถ่ายน้อยเกินไป ถ้าลำไส้ใหญ่ไม่มีปัญหา ให้กินขมิ้นชันพร้อมกับสูตรโยเกิร์ต + นมสด + น้ำผึ้ง + มะนาว หรือน้ำอุ่นก็ได้ จะไปช่วยล้างผนังฃำไส้ที่มีหนวดเป็นขนเล็กๆ อยู่เป็นล้านๆ เส้น ซึ่งขนเหล่านี้มีหน้าที่ดูดซึมสารอาหารเพื่อไปสร้างเม็ดเลือด ขมิ้นชันจะช่วยล้างให้สะอาดได้ก็จะไม่ค่อยมีขยะตกค้าง จึงไม่เกิดแก๊สพิษที่ทำให้เกิดกลิ่นตัว และจะไม่ค่อยเป็นริดสีดวงทวาร ไม่เป็นมะเร็งลำไส้

เวลา 07.00 – 09.00 น. ช่วยแก้ปัญหาเรื่องกระเพาะอาหาร เกิดจากการกินข้าวไม่เป็นเวลา ท้องอืด จุกแน่น ปวดเข่า ขาตึง ช่วยบำรุง สมอง ป้องกันความจำเสื่อม

เวลา 09.00 – 11.00 น. ช่วยแก้ปัญหาน้ำเหลืองเสีย มีแผลที่ปาก อ้วนเกินไป ผอมเกินไปที่เกี่ยวกับม้าม ลดอาการของโรคเก๊าต์ ลดอาการเบาหวาน

เวลา 11.00 – 13.00 น. สำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคหัวใจ มีหรือไม่มี ถ้ากินขมิ้นชันเวลานี้ จะช่วยบำรุงหัวจให้แข็งแรง ถ้าเลย

เวลา 11.00 น. ไปแล้ว ขมิ้นชันจะไปทำงานที่ตับ แล้วตับจะส่งมาที่ปิด ปอดจะส่งไปยังผิวหนัง แต่ส่วนมากมาไม่ถึงเพราะกินขมิ้นชันน้อยเกินไป อวัยะส่วนอื่นจะดึงไปใช้งานก่อนเลยมาไม่ถึงผิวหนัง จึงต้องลงขมิ้นชันทางผิวหนังช่วยอีกทางหนึ่ง

เวลา 15.00 – 17.00 น. ช่วยดูแลหูรูดกระเพาะปัสสาวะให้แข็งแรง แก้ปัญหาเรื่องตกขาวของสตรี


KP Wellness

11:59  -  Public
HealthInfoInThailand originally shared this post:
"ลำไย" ไม่ได้มีดีแค่เนื้อ

ลำไยนอกจากจะเป็นผลไม้ที่มีรสชาติดี ยังมีสรรพคุณทางยาที่น่าสนใจ ในหนังสือพจนานุกรม สมุนไพรไทย ของ ศ.ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม กล่าวถึงสรรพคุณของลำไยที่น่าสนใจ อาทิใบสดของลำไย นำมาต้มดื่ม มีรสจืดและชุ่ม สุขุม เป็นยาแก้โรคมาลาเรีย ริดสีดวงทวาร และแก้ไข้หวัด , ดอกลำไย ใช้สดหรือตากแห้งเก็บไว้ต้มดื่มเป็นยา เกี่ยวกับหนองทั้งหลาย ,เมล็ดลำไย ต้มหรือบดเป็นผง จะมีรสฝาด ใช้ภายนอกรักษากลากเกลื้อน โดยใช้เมล็ดชุบน้ำส้มสายชูที่หมักจากข้าวทูทาตรงที่เป็น แต่ต้องลอกเอาเปลือกสีดำออกก่อน ,แผลมีหนอง หรือแผลเรื้อรัง ใช้เมล็ดลำไยเผาเป็นเถ้า ผสมกับน้ำมันมะพร้าวทาบริเวณที่เป็นแผล ,แก้ปวด สมานแผล ใช้ห้ามเลือด

          รากหรือเปลือกราก ต้มน้ำดื่มหรือเคี้ยวให้ข้นผสม จะมีรสฝาดแก้สตรีตกขาวมากผิดปกติ ขับพยาธิเส้นด้าย, เปลือกผล ใช้ที่แห้งนำมาต้มดื่ม แก้อาการวิงเวียนศีรษะและอ่อนเพลีย ทำให้สดชื้น จะมีรสชุ่ม หรือใช้ทาภายนอก โดยเผาเป็นถ่านหรือบด เป็น

          ผงโรยแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก , เนื้อหุ้มเมล็ด นำมาต้มน้ำดื่มหรือแช่เหล้าประมาณ 3 เดือน นำมาดื่มวันละแก้วจะช่วยบำรุงหัวใจ และช่วยบำรุงให้ร่างกายแข็งแรง เป็นยาบำรุงม้ามเลือดลมและหัวใจ บำรุงร่างกาย สงบประสาท แก้อ่อนเพลียจากการทำงานหนัก ลืมง่าย นอนไม่หลับประสาทอ่อน หรือจะบดเป็นยาผงผสมกับยาเม็ด ทั้งนี้มีข้อควรระวังในการใช้ คือในกรณีของผู้ที่มีอาการเจ็บคอ หรือไอมีเสมหะ หรือเป็นแผลอักเสบจนมีหนองไม่ครรทานเนื้อ หรือของผลลำไยเป็นอันขาด


KP Wellness

11:53  -  Public
HealthInfoInThailand originally shared this post:
"ใบย่านาง" เป็นพืชสมุนไพรฤทธิ์เย็น มีสรรพคุณในการดับพิษร้อนและปรับสมดุลร้อนเย็นในร่างกาย และช่วยบำบัดโรคต่างๆได้อีกมากมาย เช่น แก้ไข้ ปวดเมื่อยตามร่างกาย งูสวัด ตกขาว ตกเลือด บรรเทาอาการเบาหวาน และความดันโลหิตสูงให้ลดลงได้ แก้อาการท้องเสีย ท้องผูก โรคกระเพาะอาหาร ลำไส้อักเสบ โรคมะเร็ง เป็นต้น นอกจากนี้ย่านางยังมีเบต้าแคโรทีนในปริมาณสูง ที่ต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ต่างๆในร่างกาย

"ใบย่านาง" นอกจากจะนำมาประกอบอาหารให้มีรสชาติที่กลมกล่อมเเล้ว ยังน้ำมาทำเป็นน้ำสมุนไพรที่มีสรรพคุณมากมาย อย่าลืมหาน้ำย่านางมาทานกันซักแก้วนะค่ะ เพื่อดับกระหาย คลายความร้อนในตัวเราค่ะ " ^_____^"




KP Wellness

12:06  -  Public
Janya Suradanai originally shared this post:
ชื่ออื่น : จ้อยนาง (เชียงใหม่) เถาย่านาง เถาวัลย์เขียว (กลาง) ยาดนาง (สุราษฎร์ธานี)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้เถาเลื้อยพัน กิ่งอ่อนมีขนอ่อนปกคลุม เมื่อแก่แล้วผิวค่อนข้างเรียบ รากมีขนาดใหญ่ ใบเป็นใบเดี่ยว ออกติดกับลำต้นแบบสลับ รูปร่างใบคล้ายรูปไข่หรือรูปไข่ขอบขนานปลายใบเรียว ฐานใบมน ขนาดใบยาว 5 - 10 ซม. กว้าง 2 - 4 ซม. ขอบใบเรียบ ก้านใบยาว 1 ซม. ดอกออกตามซอกโคนก้านใบเป็นช่องยาว 2 - 5 ซม. ช่อหนึ่ง ๆ มีดอกขนาดเล็กสีเหลือง 3 - 5 ดอก ดอกแยกเพศอยู่คนละต้นไม่มีกลีบดอก ผลรูปร่างกลมรีขนาดเล็ก สีเขียว เมื่อแก่กลายเป็นสีเหลืองอมแดงและกลายเป็นสีดำ

สรรพคุณ :
? รากแห้ง - แก้ไข้ทุกชนิด
วิธีและปริมาณที่ใช้ :
1, ใช้รากแห้งครั้งละ 1 กำมือ (15 กรัม) ต้มกับน้ำ ดื่มก่อนอาหาร วันละ 3 ครั้ง
ย่านางมีต้นเป็นไม้เถานำมาสานตะกร้าเป็นของใช้ในบ้านได้อย่างดี ลักษณะใบสีเขียวเข้มเป็นวงรียาวประมาณ 7-10 ซม.
มีใยเหนียวสีเขียวอ่อน ชอบอากาศร้อนซื้นเกิดขึ้นทั่วไปตามพุ่มไม้ ของภูมิภาคเอเชีย
- การขยายพันธุ์โดยการแยกต้นที่มีลากแข็งแรงมาปลูกที่ดินร่วนซุยระบายน้ำได้ดีปลูกที่แนวรั้วบ้านได้ดี
ย่านาง สมุนไพลมหัศจรรย์ รักษาโรคได้หลายอย่าง โดยเฉพาะเบาหวาน
ย่านาง สมุนไพลมหัศจรรย์
คัดลอกจากหนังสือ " ย่านาง สมุนไพลมหัศจรรย์ " โดย
ใจพชร มีทรัพย์ ( หมอเขียว ) นักวิชาการสาธารณสุข
นักบำบัดสุขภาพทางเลือก
ครูฝึกแพทย์แผนไทย
Thanks: ฝากรูป จดโดเมน .co.th
ย่านาง เป็นพืชสมุนไพร ที่ใช้เป็นอาหาร และ เป็นยามาตั้งแต่โบราณ
หมอยาโบราณอีสาน เรียกชื่อทางยาของย่านางว่า
" หมื่นปี บ่ เฒ่า แปลเป็นภาษาภาคกลางว่า " หมื่นปีไม่แก่ "
ประสบการณ์ของผู้ป่วยที่ใช้ใบย่านางแก้ไขปัญหาสุขภาพ จนมีผลให้อาการเจ็บป่วยทุเลาเบาบางลง
- เนื้องอกในมดลูก มดลูกโต ตกเลือด ตกขาว ปวดตามร่ายกาย
- มะเร็งปอด
- มะเร็งตับ
- มะเร็งมดลูก
- โรคหัวใจ โรคไต โรคกระเพาะอาหารอักเสบ เนื้องอกในเต้านม
- เบาหวานและความดันโลหิตสูง
- ขับสารพิษ
- ภูมิแพ้ ไอ จาม
- เริ่ม งูสวัด
- ตุ่มผื่นคันที่แขน
- อาการปวดแสบขัด ออกร้อนในทางเดินปัสสาวะ
- นอนกรน ไตอักเสบ
- อาการปวดขาที่แขน
- เล็บมือผุ
- เก๊าต์

วิธีใช้
ใช้ใบย่านางในการเพิ่มคลอโรฟิล คุ้มครองเซลล์ ฟื้นฟูเซลล์ ปรับสมดุล
บำบัดหรือบรรเทาอาการที่เกิดจากภาวะไม่สมดุล แบบร้อนเกิน ดังนี้
เด็ก ใช้ใบย่านาง 1-5 ใบ ต่อน้ำ 1-3 แก้ว 200-600 ซีซี
ผู้ใหญ่ ที่รูปร่างผอม บางเล็ก ทำงานไม่ทน ใช้ 5-7 ใบ ต่อน้ำ 1-3 แก้ว
ผู้ใหญ่ที่รูปร่างผอม บาง เล็กทำงานทน ใช้ 7-10 ใบ ต่อน้ำ 1-3 แก้ว
ผู้ใหญ่ที่รูปร่างสมส่วน ตัวตัวโต ใช้ 10-20 ใบ ต่อน้ำ 1-3 แก้ว
โดยใช้ใบย่านางสดโขลกให้ละเอียดแล้วเติมน้ำ หรือ ขยี้ใบย่านางกับน้ำหรือปั่นในเครื่องปั่น
( แต่การปั่นในเครื่องปั่นไฟฟ้า จะทำให้ประสิทธิภาพลดลงบ้าง เนื่องจากความร้อนจะไปทำลายความเย็น
ของย่านาง ) แล้วกรองผ่านกระชอนเอาแต่น้ำ ดื่มครั้งละ 1/2 - 1 แก้ว วันละ 2-3 เวลาก่อนอาหารหรือตอนท้องว่างหรือผสมเจือจางดื่มแทนน้ำ เพราะถ้าเกิน 4 ชั่วโมง มักจะมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยว ไม่เหมาะที่จะดื่ม แต่ถ้าแช่ในตู้เย็น ควรใช้ภายใน 3-7 วัน โดยให้สังเกตุที่กลิ่นเปรี้ยวเป็นหลักนอกจากนี้แล้ว ยังสามารถใช้น้ำย่านางมาสระผม ช่วยให้ศีรษะเย็น ผมดกดำหรือชลอผมหงอกผสมดินสอพองหรือปูนเคี้ยวหมากให้เหลวพอประมาณ ทาสิว ฟ้า ตุ่ม ผื่นคัน พอกฝีหนองย่านาง สมุนไพรมหัศจรรย์ ย่านางเป็นพืชสมุนไพร ที่ใช้เป็นอาหารและยามาตั้งแต่โบราณหมอเขียว(ใจเพชร มีทรัพย์) นักวิชาการสาธารณสุข นักบำบัดสุขภาพทางเลือกมีประสบการณ์นำใบย่านางมารักษาผู้ป่วยหนัก หลายโรค พบว่าทุเลาเบาบางลง และหายป่วยบางครั้งใช้ร่วมกับยาตัวอื่น แต่ส่วนใหญ่ คนที่ดื่มน้ำย่านางทุกวัน จะเห็นผลได้ภายในเวลา ๓ เดือน
โรคที่มีรายงานว่า ดื่มน้ำย่านางหาย เช่น ลดน้ำตาลในเลือด ความดันโลหิตสูง
ตกเลือดจากมดลูก โรคเก๊าท์ และโรคเชื้อราทำลายเล็บ หรือเป็นผื่นคัน
เป็นอาการของโรคที่เกิดจากภาวะไม่สมดุลแบบร้อนเกิน
วิธีใช้ ใบย่านางตั้งแต่ ๓-๑๐ ใบ โดยพิจารณาจากลักษณะของผู้ป่วย นำมาโขลกให้ละเอียด ผสมน้ำ ๑-๓ แก้ว ดื่ม วันละ ๒-๓ เวลา
(จากหนังสือ ย่านาง สมุนไพรมหัศจรรย์ ของ หมอเขียว)
ตามที่ได้นำเรื่อง ย่านาง มาเขียนไว้เพื่อเผยแพร่สรรพคุณการรักษาโรคต่าง ๆ
หลังจากนั้น ก็มีผู้ซึ่งนำ ย่านาง ไปกินวันละ ๑ แก้ว
รายงานผลกลับมาว่า ริดสีดวงทวารที่เป็นอยู่นาน ได้หายไป
อีกรายหนึ่ง ประจำเดือนไม่มาเป็นเวลาสาม - สี่ เดือน ไปหาหมอและรับยามากินก็ ยังไม่มา หลังจากกิน น้ำใบย่านางได้ ๑๐ วัน ประจำเดือนก็มาตามปกติ
หากท่านผู้ใดได้รับผลของการกิน ใบย่านาง ก็ขอได้กรุณามารายงานผลให้ผู้อื่นได้ทราบด้วย ถือเป็นวิทยาทาน
หมายเหตุ ใครสนใจสุขภาพใบย่านางที่ชาวอีสานมาใส่หน่อไม้นี่แหละใช้10-20 (แล้วแต่น้ำหนักตัว)ใบนำมาโขลกหรือคั้นกับน้ำกินประมาณ 3 แก้ว ดื่มก่อนอาหาร 3 เวลา ถ้าจะไปปั่นด้วยเครื่องไฟฟ้ามันจะลดความเย็นลง ใบย่านางมีฤทธิ์เย็น ใช้บำบัดหรือบรรเทาอาการอันเกิดจากภาวะไม่สมดุลแบบร้อนเกิน เพราะคนส่วนใหญ่มีความเครียดสูง ถูกกดดันจากสภาพสังคมและเศรษฐกิจ ต้องแก่งแย่ง เร่งรีบฯ
สิ่งแวดล้อมก็มีมลพิษมากขึ้น โลกร้อนขึ้น อาหารและเครื่องดื่มก็ปนเปื้อนสารเคมีมากขึ้น คนอยู่กับเครื่องไฟฟ้า อิเล็คทรอนิกส์ สิ่งเหล่านี้เป็นเหตุปัจจัยหลัก ที่ทำให้คนเจ็บป่วยด้วยภาวะไม่สมดุลแบบร้อนเกิน
อาการหรือโรคที่เกิดจากภาวะไม่สมดุลแบบร้อนเกิน ซึ่งสามารถใช้ใบย่านางปรับสมดุล บำบัดหรือบรรเทาได้เช่น ตาแดง ตาแห้ง แสบตา ปวดตา ตามัว ขี้ตาข้น, มีตุ่มแผล ออกร้อนในช่องปาก เหงือกอักเสบ นอนกรน ปากแห้งแตกเป็นขุย ปวดหัว ตัวร้อน ไข้ขึ้น มีเส้นเลือดขอดตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ท้องผูก เริม งูสวัด อ่อนล้า เพลีย นอนพักก็ไม่หาย เจ็บปลายลิ้น เจ็บคอ เสียงแหบ ความดัน เบาหวาน เก๊าต์ เนื้องอก มะเร็ง ฯลฯ
พยายามเอาโรคเด็ด ๆ มาลงแต่มีอีก จริง ๆ แล้วภูมิปัญญาไทยแบบพื้นบ้าน ถ้าศึกษาให้ดีและนำมาทดลองปฏิบัติสุขภาพโดยองค์รวมจะดีขึ้น ของดี ๆ ยังมีอีกมาก ใครเป็นโรคไหน นำไปลองดู เราดื่มเป็นประจำ ไมเกรนที่เคยเป็นก็ไม่ค่อยมาเยือนแล้ว(ข้อมูลจากหนังสือ ย่านาง สมุนไพรมหัศจรรย์ )


KP Wellness

12:06  -  Public
สาระดีดี originally shared this post:
ประโยชน์ของกุยช่าย (ผักกุยช่าย)

- ต้นและใบ ใช้แก้โรคนิ่วโดยนำมาดตำให้ละเอียดผสมกับเหล้าและสารส้มเล็กน้อยกรองเอาน้ำดื่มครั้งละ 1 ถ้วยชา เป็นยาแก้หวัด บำรุงกระดูก ทาท้องเด็ก แก้ท้องอืด และแก้ลมพิษ สตรีหลังคลอด หากกินแกงเลียงใบกุยช่ายจะช่วยเพิ่มน้ำนม

- เมล็ด เป็นยาขับพยาธิเส้นด้ายและพยาธิแส้ม้า นอกจากนี้กุยช่ายยังให้กากอาหารช่วยสร้างสมดุลแก่ระบบย่อยอาหารช่วยให้ท้องไม่ผูก

- แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับลม และแก้ท้องผูก โดยใช้ใบสดตำให้ละเอียดคั้นเอาแต่น้ำดื่มหรือนำไปผัดรับประทาน เพราะกุยช่ายมีใยอาหารมากจึงช่วยกระตุ้นให้ลำไส้บีบตัวได้ดี

- แก้อาการฟกช้ำ โดยใช้ใบสดตำละเอียดแล้วพอกบริเวณที่มีอาการเพื่อบรรเทาปวดและแก้อาการห้อเลือดได้

- แก้อาการปัสสาวะกะปริบกะปรอย โดยใช้เมล็ดแห้งต้มรับประทานหรือจะทำเป็นยาเม็ดรับประทานก็ได้

- รักษาโรคหูน้ำหนวก โดยใช้น้ำที่คั้นได้จากใบสดทาในรูหู

- บำรุงน้ำนม คนไทยโบราณเชื่อว่า แม่ลูกอ่อนกินแกงเลียงใส่ผักกุยช่ายจะช่วยบำรุงน้ำนมได้ดี

ตำรับยาที่ใช้ได้แก่ หากถูกตีฟกช้ำเอากุยช่ายสดตำให้แหลกพอกบริเวณที่เป็นจะสามารถแก้อาการฟกช้ำ ห้อเลือดและแก้ปวดได้ หรือเวลาที่เป็นแผลมีหนองเรื้อรัง ใช้ใบสด ๆ ล้างให้สะอาดพอกที่แผลหรืออาจผสมดินสอพองในอัตราส่วนใบกุยช่าย 3 ส่วน ดินสองพอง 1 ส่วน บดให้ละเอียดจนเหลวข้นแล้วทาบริเวณที่เป็นวันละ 2 ครั้ง ในกรณีที่บวมฟกช้ำเนื่องจากถูกกระแทก

ส่วนคนที่เป็นแผลริดสีดวงทวารก็แนะนำให้ใช้ใบกุยช่ายสด ๆ ใส่น้ำต้มให้ร้อน จากนั้นนั่งเหนือภาชนะเพื่อให้ไอรมจนน้ำอุ่นหรือใช้น้ำต้มล้างที่แผลวันละ 2 ครั้ง หรือจะใช้ใบหั่นฝอยคั่วให้ร้อนใช้ผ้าห่อมาประคบบริเวณที่เป็นจะทำให้หัวริดสีดวงหดเข้า

นอกจากฤทธิ์ลดการอักเสบและฆ่าเชื้อแล้วยังเชื่อว่า ถ้าแมลงหรือตัวเห็บเข้าหูให้เอาน้ำคั้นกุยช่ายหยอดเข้าไปในหูจะทำให้แมลงหรือเห็บไต่ออกมาเองในกรณีนี้ห้ามใช้นิ้วหรือของแข็งแคะออก

กุยช่ายยังเป็นสมุนไพรที่ผู้หญิงควรรู้จักสรรพคุณในการใช้เป็นอย่างยิ่ง คือ ถ้าเมื่อใดมีอาการตกขาวคนจีนแนะนำให้เอาต้นกุยช่าย ไข่ไก่ น้ำตาลอ้อย ต้มรับประทาน เมื่อผู้หญิงเริ่มท้องก็ควรรับประทานใบกุยช่ายผัดกับตับหมู เมื่อท้องมีอาการคลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหาร เอาน้ำคั้นกุยช่ายครึ่งถ้วยและน้ำขิงอีกครึ่งถ้วยผสมกันและนำไปต้มจนเดือดแล้วเติมน้ำตาลตามใจชอบดื่นน้ำยาที่ได้

ถึงตอนคลอดมีอาการหมดสติเขาจะใช้ใบกุยช่ายสดสับให้ละเอียดใส่ในเหล้าที่ต้มเดือดแล้วกรอกเข้าไปในปาก หรือเมื่อหลังคลอดมีอาการวิงเวียนจะใช้ใบกุยช่ายสับละเอียดเอาใส่ขวดเติมน้ำส้มสายชูร้อน ๆ ลงไปแล้วใช้สูดดมแก้วิงเวียน

คนไทยเราเองเมื่อคลอดลูกแล้วคนโบราณว่า แม่ลูกอ่อนรับประทานผักหอมแป้น (กุยช่าย) แกงเลียงจะช่วยบำรุงน้ำนม ในกรณีที่มดลูกหย่อนหลังมีลูกก็ให้ใช้ใบสด ๆ ประคบหรือเอามาล้างที่อวัยวะเพศภายนอก

จะเห็นว่าสรรพคุณของกุยช่ายมีมากมายเหมาะกับทั้งท่านชายและท่านหญิง ท่านชายที่มีปัญหาหมดสมรรถภาพทางเพศหรือหลั่งเร็วกำลังเตรียมจะหาซื้อยาไวอากราก็น่าลองใช้สมุนไพรกุยช่ายดูบ้าง ไม่มีผลข้างเคียงอะไรทั้งยังมีประโยชน์อื่น ๆ อีกมากมาย

หรือท่านหญิงที่กำลังท้องกำลังไส้ มีอาการคลื่นไส้อาเจียน ลองหันมาทำยาแก้แพ้ท้องที่แสนจะปลอดภัยและให้ประโยชน์กันดูบ้าง 


KP Wellness

12:04  -  Public
+ สุดยอด 5 ผลไม้บำรุงเลือด +


"ผลไม้ช่วยดูแลผิวพรรณ" ประโยชน์ของผลไม้อาจไม่ใช่เพียงบำรุงผิวพรรณ แต่ยังช่วยบำรุงเนื้อเยื่อและเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายของเราให้แข็งแรงอีกด้วย ซึ่งความจริงแล้วอาหารหมวดผลไม้ก็สามารถให้สารอาหารหลัก เช่น โปรตีน ธาตุเหล็ก รวมถึงกรดอะมิโนจำเป็นต่าง ๆ ได้เช่นเดียวกับอาหารในหมวดข้าว แป้ง และไขมัน สำหรับ Fruitful Tips ฉบับนี้ขอเน้นผลไม้ที่ดีต่อเซลล์เม็ดเลือดแดงของเรา ซึ่งเป็นปัจจัยภายในที่ทำให้สาว ๆ ดูเปล่งปลั่งจากภายในสู่ภายนอก

"ฮีโมโกลบิน" มาจากการรวมตัวกันของธาตุเหล็ก และโปรตีน

ฮีม คือ องค์ประกอบของธาตุเหล็ก ทำหน้าที่ดักจับออกซิเจนจากส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
โกลบิน คือ โปรตีน ทำหน้าที่ผลิตเลือดจากสายพันธุกรรมของเรา

ธาตุเหล็กสำคัญต่อเลือด

เลือดที่ไหลเวียนอยู่ภายในร่างกายของเราขึ้นอยู่กับปริมาณฮีโมโกลบิน ซึ่งฮีโมโกลบินเป็นส่วนประกอบหลักของเซลล์เม็ดเลือดแดง สาเหตุที่เลือดเป็นสีแดงก็เพราะในฮีโมโกลบิน (Hemoglobin) มีสารประกอบสีแดงอยู่เป็นส่วนใหญ่ และมีองค์ประกอบของธาตุเหล็กอยู่ประมาณร้อยละ 65-67

ดังนั้นจึงถือได้ว่าร่างกายของเราสามารถสร้างธาตุเหล็กขึ้นมาเองตามธรรมชาติ และจะถูกร่างกายนำไปสร้างเป็นโปรตีนเพื่อไปหล่อเลี้ยงเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายเราควรมีประมาณฮีโมโกลบินประมาณ 20-30 ล้านล้านเซลล์จึงจะถือว่าอยู่ในระดับปกติ ดังนั้นหากจะกระตุ้นร่างกายให้ผลิตฮีโมโกลบินก็ควรบำรุงร่างกายด้วยอาหารที่ มีธาตุเหล็กในปริมาณที่เหมาะสมนั่นคือประมาณ 15 มิลลิกรัมต่อวัน

อาการเมื่อปริมาณฮีโมโกลบินในร่างกายต่ำ

สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กรณีคือ

กรณีไม่ร้ายแรง อาการกรณีนี้สามารถดีขึ้นจนหายไปเอง หากได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ หรือบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะเข้าสู่ร่างกาย เช่น เหนื่อยล้า หายใจถี่ ใจสั่น ปวดศีรษะ มึนงง เป็นลม มือเท้าเย็นเจ็บบริเวณหน้าอก ไม่มีสมาธิ เบื่ออาหาร และสีผิวเปลี่ยนไปเป็นขาวซีด จนม่วงคล้ำดูไม่มีน้ำมีนวล

กรณีเป็นโรคทางพันธุกรรม กรณีนี้ควรปรึกษาแพทย์ เนื่องจากมีระยะการเจริญพันธุ์ของโรคและอาการแฝง เช่น โรคธาลัสซีเมีย (โรคเลือดจาง) อาจมีอาการแฝงคือ อะเนเมีย (Anemia) หรือภาวะร่างกายสร้างฮีโมโกลบินผิดปกติ เป็นต้น

5 ผลไม้ที่ดีต่อระบบการไหลเวียนโลหิต


1.ทับทิม

ผลการวิจัยในสหรัฐพบว่า ทับทิมสามารถรักษาผู้ป่วยเบาหวานได้ด้วยคุณสมบัติช่วยกักเก็บเซลล์เม็ดเลือด แดง โดยให้ผู้ป่วยเบาหวานจำนวน 10 คนดื่มน้ำทับทิมคั้นสดวันละ 1 แก้ว (6 ออนซ์) เป็นเวลา 3 เดือน ผลคือร่างกายมีระดับอินซูลินในกระแสเลือดลดลง ระบบไหลเวียนโลหิตเป็นปกติขึ้น อาการมึนงง อ่อนเพลีย และผมร่วงลดลง อีกทั้งผิวพรรณก็สดใสขึ้นกว่าเดิม



2.แก้วมังกร

อุดมด้วยโปรตีนจึงช่วยเติมร่องรอยผิวให้ดูเรียบตึง ผลการวิจัยพบว่า แก้วมังกรเนื้อแดงดีต่อระบบไหลเวียนโลหิต และมีธาตุเหล็กอยู่ในปริมาณที่เหมาะสมสำหรับการสร้างเซลล์เม็ดเลือด นอกจากนี้ไฟเบอร์ในผลแก้วมังกรยังช่วยฟื้นฟูความแข็งแรงบริเวณช่องคลอด บรรเทาอาการตกขาวที่ผิดปกติ (มีสีเหลืองปนหนอง ปนเลือดและมีกลิ่นเหม็น)


3.สตรอว์เบอร์รี่

ด้วยคุณสมบัติของวิตามินซีที่อุดมอยู่ในผลสตรอว์เบอร์รี ช่วยบำรุงเซลล์เม็ดเลือดแดง เมล็ดเล็ก ๆ ที่อยู่ในเนื้อสตรอว์เบอร์รีช่วยลำเลียงออกซิเจนในกระบวนการขจัดเลือดเสีย จากผลการวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Food Chemistry พบว่าอาสาสมัครผู้บริโภคสตรอว์เบอร์รีสดทุกวันประมาณ 2 ถ้วยตวงติดต่อกันนาน 1 เดือน มีผลการตรวจเลือดพบว่าเซลล์เม็ดเลือดแดงเพิ่มขึ้นอย่างเป็นปกติมากขึ้นคือ 4, 8, 12, 16 เซลล์จึงส่งผลให้ผิวพรรณภายนอกดูเรียบเนียนเปล่งปลั่งขึ้น



4.กล้วย

ด้วยคุณสมบัติของแร่ธาตุแมกนีเซียมที่อุดมอยู่ในกล้วย ช่วยบำรุงผิวที่ขาวซีดให้กลับมาเปล่งปลั่งดูมีเลือดฝาด จากผลการวิจัยที่ถูกตีพิมพ์ใน American Journal of Epidemiology เผยว่าการบริโภคกล้วยเป็นประจำทุกวันส่งผลต่อสุขภาพเลือดคือ ช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคลูคีเมีย (มะเร็งเม็ดเลือดขาว) โดยเฉพาะในเด็กช่วงอายุ 0-2 ปี



5.แตงโม

จากผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยเนราดาในสหรัฐเผยว่า หากบริโภคแตงโมเพียงครึ่งผลต่อวันดีต่อระบบไหลเวียนโลหิต เพราะกรดอะมิโนอาร์จีโนน์ (Arginine) ที่ร่างกายเปลี่ยนให้เป็นสารในตริกออกไซด์ (Nitric oxide) ทำให้เลือดสมบูรณ์ขึ้นถึงร้อยละ 22 จึงช่วยป้องกันภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตาย และภาวะหลอดเลือดแข็งตัว

ไม่ใช่แค่ธาตุเหล็กและโปรตีนเพียงเท่านั้นที่จะช่วยให้อวัยวะภายในของเราผลิต เลือดได้อย่างเป็นปกติ แต่ยังมีวิธีที่ง่าย ๆ อีกสองสิ่งคือ การดื่มน้ำเปล่าให้บ่อยครั้งในแต่ละวัน ซึ่งจะช่วยให้เลือดของเราไม่ มีลักษณะข้นเหนียวจนเกินไปด้วย นอกจากนี้ยังต้องทำกายบริหารทุกวัน เพื่อกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนอยู่ตลอด เพียงเท่านี้ก็ช่วยปกป้องร่างกายของเราให้ห่างไกลปัญหาสุขภาพทั้งในระยะสั้น และระยะยาวได้แล้ว

ขอขอบคุณข้อมูลจาก (สุขกายสบายใจ)Collapse this post


KP Wellness

12:02  -  Public
สิรภพ วงศ์กูล originally shared this post:
สมุนไพรที่หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม เมตตาแนะนำแก่ญาติโยม



๑. ชาตะไคร้
สรรพคุณแก้ปวดกระดูก ปวดหลัง ปวดแข้ง ปวดขาป้องกันกระดูกผุ นั่งดูหนังสือแล้วตาลาย ลุกขึ้นแล้วหน้ามืด ป้องกันโรคไต เบาหวานคอเลสเตอรอล
วิธีทำเอาต้นตะไคร้ล้างให้สะอาด (ตะไคร้ที่ใช้ทำอาหาร) ใช้ส่วนที่เป็นต้น ใบกับรากไม่เอา หั่นตากแดดให้แห้งสนิทแล้วนำมาคั่วให้เหลืองหอม เก็บไว้ชง หรือ ต้มกินต่างน้ำเหมือนน้ำชา

๒. ยาอายุวัฒนะ
สรรพคุณแก้มะเร็งเม็ดเลือด เสกด้วยนวหรคุณ ๙ รักษาโรคมะเร็งระยะเป็นใหม่ ๆ รักษาเอดส์ต้องเสกด้วยพุทธคุณ ๑๐๘ แก้ท้องเฟ้อ มดลูกเสียกินทุกวันทำให้ร่างกายแข็งแรง
วิธีทำเกลือทะเลเม็ด ๓ส่วน บอระเพ็ดสดหั่น ๕ ส่วน มะขามเปียกเอาเม็ดและซางออก สับ ๗ ส่วน นำมาโขลกผสมกันกินเช้า-เย็น หรือก่อนนอน ครั้งละก้อนเท่าหัวแม่มือ ถ้าต้องการให้ถ่ายกินตามธาตุหนัก-เบา แล้วดื่มน้ำตามมาก ๆ

๓. โรคไตวาย
วิธีทำให้ไปถากเปลือกงิ้วแดง ถากขึ้น ๒ ถากลง ๑ มาต้มดื่มต่างน้ำ (ต้มสด ๆ เลย) (เวลาถากเปลือก อย่าถากรอบต้น ต้นไม้จะตาย)

๔.เสียงแหบแห้ง
วิธีทำให้นำกระเทียม พริกไทยโขลกให้ละเอียด ละลายด้วยน้ำผึ้งกิน
๕.ตกขาว
วิธีทำนำสับปะรดทั้งหัวหมกปูนขาว ๓ วัน (ถ้ายังไม่สุก หรือฉ่ำให้หมกต่อ) แล้วนำมาปอกกินตามปกติ

๖. โรคชักเส้นเลือดหัวใจตีบ โรคป่วง
วิธีทำนำพริกไทยเม็ดโขลกให้ละเอียด ใส่แคปซูลไว้ นำพริกขี้หนูป่นใส่แคปซูลกินพร้อมกันอย่างละ ๑ แคปซูล (ของยาแผนปัจจุบัน)กินก่อนอาหารเช้า-เย็น

๗.โรคกระเพาะ
วิธีทำให้เอากล้วยน้ำว้าดิบฝานบางๆ ตากแดดให้แห้งสนิท แล้วป่นให้เป็นแป้ง เวลากินตักครั้งละ ๑ ช้อนคาว ใส่น้ำสุกอุ่นๆ แล้วดื่ม

๘.เลือดกำเดาออก
วิธีทำเอาใบพุทรา ๓ กำมือยาข้าวเย็นเหนือ หนัก ๔ บาท ยาข้าวเย็นใต้ หนัก ๔ บาทมาต้มดื่มต่างน้ำ

๙. มะเร็ง
วิธีทำนำลูกใต้ใบทั้ง ๕ กับต้นไมยราบทั้ง ๕ มาต้มกินต่างน้ำ (ทั้ง ๕ หมายถึงราก, ต้น, ใบ, ดอก และผล)

๑๐.โรคตับแข็ง
วิธีทำกินบอระเพ็ด วันละ ๕ แว่น (ยาวประมาณ ๒ ซ.ม. หรือ องคุลี) โดยเฉพาะคุณแม่ที่กินยาดองหลังคลอดบุตรและรักษามะเร็ง หรือ โรคท้องมานต้องลงด้วย “นะโม พุทธายะ”
โรคตับอีกขนานบอระเพ็ดสด ๑ ช้อนคาว เคี้ยว ๆ แล้วตามด้วย น้ำผึ้งเดือนห้า

๑๑.ร้อนใน อาเจียน
วิธีทำใบตำลึงต้มกินหายอีกขนานให้เอายอดกะทกรก และยอดตำลึงต้มกิน หรือคั้นเอาน้ำกิน

๑๒.โรคภูมิแพ้
วิธีทำให้กินบอระเพ็ด

๑๓.โรคหอบ-หืด
วิธีทำนำต้นตำแยแมวมาโขลกใส่น้ำซาวข้าว กรองเอาแต่น้ำกิน

๑๔.โรคหัวใจโต
วิธีทำกินกระถินแล้วเอาเปลือกกับรากมาต้มน้ำดื่ม

๑๕. นมหลง (ปวดนมหรือนมคัด)
วิธีทำเอานุ่นมาจุดไฟแล้วใส่ไหกระเทียม อย่าให้ควันออก เอาปากไหกดครอบเต้านม ไม่นาน น้ำนมจะไหลหายปวด

๑๖. กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ปัสสาวะเป็นเลือดนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ
วิธีทำข้าวเย็นเหนือ.ข้าวเย็นใต้ หนัก ๔ บาท ฟ้าทะลายโจร (สด) ๑ กำมือ หญ้าหนวดแมว (สด) ๑ กำมือรากหญ้าคา (สด) ๑ กำมือ นำตัวยาทั้งสี่อย่าง นำมาต้มดื่มแทนน้ำ

๑๗.ไข้ทับระดู (เป็นไข้ระหว่างมีประจำเดือน)
วิธีทำหญ้าเจ้าชู้ ๓ กำมือ ยาข้าวเย็นเหนือ, ข้าวเย็นใต้ หนัก ๔ บาทนำตัวยาทั้งหมดมาต้มดื่มต่างน้ำ

๑๘. บิดหัวลูก (เป็นโรคบิดระหว่างตั้งครรภ์ ลูกขี้ มักตายในท้องหรือไม่ก็คลอดออกมาแล้วตาย)
วิธีทำ
๑.นำเปลือกมะพร้าวอ่อน (ปอกผิวสีเขียวออกเอาเฉพาะส่วนที่กาบอ่อน) บิดเอาน้ำ ๑แก้ว
๒. น้ำปูนใส (ปูนกินหมาก) ๑/๒ แก้ว
๓. เปาะหอม ทั้งสามสิ่งนำมาโขลกกรองเอาแต่น้ำมากิน

๑๙. โรคลำไส้เน่าเป็นยาเทวดา
ท่านผู้พิพากษา หัวหน้าศาลจังหวัดสิงห์บุรี ชื่อ มหาเทียบนองบุญนาค เปรียญธรรม ๖ ประโยค (เสียชีวิตไปตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๐)เป็นคนทำถวาย
วิธีทำใช้หม้อดิน เอาเกลือมา ๓ กำให้กลั้นใจหยิบ ๓ จับ แล้วเทใส่หม้อ ท่านสอนให้ท่อง “พุทธัง ปัจจักขามิ ๑ กำ ธัมมังปัจจักขามิ อีก ๑ กำ สังฆัง ปัจจักขามิ อีก ๑ กำ” ใส่หม้อ สตุเกลือ (โดยไม่ต้องใส่น้ำ) จนละเอียดไปหมดแล้ว ปลงลงมา เอาไข่ขาว (ไข่ไก่ ๕ ฟองไม่เอาไข่แดง) ใส่แล้วคนให้เข้ากัน ท่อง “พุทธัง ปัจจักขามิ, ธัมมัง ปัจจักขามิ, สังฆัง ปัจจักขามิ” กินครั้งละ ๑ ช้อนคาว

๒๐.รักษาผิวหน้าไม่ให้เหี่ยวย่น
วิธีทำขนาน ๑ใช้น้ำผึ้ง กับ ผิวมะนาว ทาหน้าเป็นประจำ หรือขนาน ๒ใช้ไส้ตะเกียงเจ้าพายุที่ใช้แล้ว ผสมน้ำมะนาวทาหน้าเป็นประจำก็ได้

๒๑.ผมอ่อนสลวย
วิธีทำใช้น้ำส้มมะขาม (มะขามเปียก) สระผม

๒๒. ตื่นเช้าแกว่งแขน ๑๐๐ ครั้ง เตะขาขึ้น ๑๐๐ ครั้งแล้วอย่าเพิ่งไปล้างหน้า ดื่มน้ำสะอาดบริสุทธิ์ ๕ แก้ว (ถ้าอายุเกิน ๔๕ ปีกินน้ำต้ม ถ้ายังไม่ถึง ๔๕ ปีไม่ต้องต้ม) รับรองอุจจาระดี หูตึงหายปวดศีรษะซีกหนึ่ง น้ำตาไหล ปวดลูกตาหายเลยทีเดียว

ขออานิสงส์จงปราศจากโรคภัยทั้งปวงเทอญ





No comments:

Post a Comment