Saturday, February 23, 2013

ปวดประจำเดือน


กินต้านปวดประจำเดือน : สุขภาพผู้หญิง - http://woman.teenee.com/health/2891.html

 อาหารมังสวิรัติไขมันต่ำไม่เพียงแต่จะช่วยลดอาการและความรุนแรงของอาการปวดเมนส์จาก 3.9 วันเหลือ 2.9 วัน ยังลดอาการก่อนมีประจำเดือนอื่นๆ เช่น ปวดหัว ปวดหลัง บวม หงุดหงุด ได้อย่างชัดเจน

กินอาหารแคลเชียมสูง โดยบริโภคแคลเซียมวันละ 1,200 มิลลิกรัมช่วยลดปัญหาการปวดเมนส์ ส่วนอาหารแคลเซียมสูงได้แก่ ผลิตภัณฑ์นมพร่องมันเนยหรือขาดไขมัน โยเกิร์ต เนยแข็ง ผักใบเขียวจัด เต้าหู้

1. อีพีโอหรือกรดแกมมาลิโนเลนิก เป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง ทำหน้าที่ยับยั้งการหลั่งไซโตไคน์ (cytokines) และพรอสตาแกลนดินส์ ซึ่งผลิตจากผนังมดลูกมีผลต่อการบีบตัวของกล้ามเนื้อมดลูก และการปวดเมนส์

2. น้ำสมุนไพรบางชนิด ปลอดภัยที่จะดื่มและช่วยให้รู้สึกสบายขึ้น น้ำขิงช่วยลดอาการคลื่นไส้ น้ำราสป์เบอร์รี่ และสมุนไพรคาโมมายล์ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย

3. ตังกุยสมุนไพรจีน มีสารที่ช่วยการขยายหลอดเลือดป้องกันการบีบเกร็งของหลอดเลือด แต่มีข้อเตือนว่า ไม่ควรกินในปริมาณมากเกินไป เพราะจะทำให้ผิวหนังมีความไวต่อแสงแดดได้ 
FW Mail : วิธีลดปวดประจำเดือน -
http://www.pukpik.com/fwmail_view.php?id=525

 สารสกัดที่อยู่ในตังกุยมีคุณสมบัติในการต้านการบีบตัวของกล้ามเนื้อมดลูก จึงทำให้สามารถบรรเทาอาการปวดประจำเดือน และอาการปวดเมื่อยตามเนื้อตัวได้ รวมทั้งสามารถช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ทำให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ และสม่ำเสมอ นอกจากนี้วิตามินบี 1 บี 6 บี 12 กรดโฟลิก และไบโอติน ที่มีอยู่ในตังกุยยังเป็นสารที่มีความสำคัญต่อการสร้างเลือด บำรุงเลือด และฟอกเลือด สำหรับสตรีอีกด้วย 
FW Mail : วิธีลดปวดประจำเดือน »
การมีประจำเดือน เป็นเครื่องหมายของสตรีที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ คือ ตั้งแต่อายุได้ ประมาณ 12 ปี จนถึงอายุเฉลี่ยประมาณ 55 ปี โดยการทำงานของฮอร์โมนเพศ เอสโตรเจน และโปรเจสเตอโรน ที่มีหน้าที่ในการควบคุมกระบ... 
ธรรมชาติบำบัดรักษาปวดประจำเดือน | Thaihealth.or.th -http://www.thaihealth.or.th/healthcontent/article/15572

ใช้กรดแกมมาไลโนเลนิก หรือ EPO หรือน้ำมันบอเรจ, น้ำมันแบล็กเคอร์แรนต์ วันละ 2 กรัม เพื่อให้ร่างกายใช้เป็นวัตถุดิบในการสร้างโพรสตาแกลนดินอี 1 (ฮอร์โมนที่ลดอาการปวด) แต่การเปลี่ยนกรดไขมันจำเป็นให้เป็นโพรสตาแกลนดินนั้นเป็นสิ่งที่ค่อนข้างยาก ดังนั้น จึงจำเป็นต้องงดของแสลง ที่จะห้ามกระบวนการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนนี้ เช่น ชา กาแฟ นมวัว เหล้า บุหรี่ รวมทั้งความเครียด ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการสร้างโพรสตาแกลนดิน
ธรรมชาติบำบัดรักษาปวดประจำเดือน | »
ปรับเปลี่ยนกิจกรรมชีวิตประจำวัน. อาจกล่าวได้ว่า อาการปวดประจำเดือนในผู้หญิงนั้นเป็นเรื่องที่สร้างความทรมานให้กับผู้หญิงเป็นอย่างมาก แต่ปัญหานี้กำลังจะหมดไป เพราะปัจจุบันได้มีการค้นพบวิธีธรรมชาติบำบัดเ... 
ใครเคยปวดประจำเดือนต้องอ่านแล้ว - วิชาการ.คอม -http://www.vcharkarn.com/vcafe/113697
ใครเคยปวดประจำเดือนต้องอ่านแล้ว - วิชาการ.คอม »
การมีประจำเดือน สิ่งที่คุณผู้หญิงต้องประสบทุกเดือนคือการมีประจำเดือนนั้นเอง แต่ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยมีความรู้ เรามาทบทวนกันว่าประจำเดือนมาได้อย่างไร อวัยวะสืบพันธ์ของคุณผู้หญิงประกอบไปด้วยมดลูก [uterus] ม... 
สมุนไพรแก้ปวดประจำเดือน -
http://www.n3k.in.th/สมุนไพร/สมุนไพรแก้ปวดประจำเดือน

1. ตังกุย
2. ใบตำลึง
3. น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส
เว็บของผู้หญิง / สุขภาพและความงาม / มุมความรักและที่พักใจของผู้หญิงทุกคน »
ผู้หญิงกับเคล็ดลับการดูแลสุขภาพ อาหาร ความสวยความงาม แฟชั่นเสื้อผ้า ทรงผม 
HealthInfoInThailand originally shared this post:
ฝังเข็มรักษาปวดประจำเดือน

อาการปวดประจำเดือนเป็นปัญหาที่คุณผู้หญิงจำนวนไม่น้อยประสบอยู่ คุณผู้อ่านที่เป็นคุณผู้หญิงท่านใดประสบปัญหานี้อยู่ล่ะก็ เมื่ออ่านจั่วหัวเรื่องที่หยิบมาฝากในตอนนี้แล้วคงจะถูกใจกันนะครับ
อาการปวดท้องในช่วงที่มีประจำเดือนนั้นพบได้บ่อยมากในผู้ป่วยสตรีทั่วไปผู้ป่วยจะมีประจำเดือนนั้นพบได้บ่อยมากในผู้ป่วยสตรีทั่วไปผู้ป่วยจะมีอาการปวดบริเวณท้องน้อย อาจปวดร้าวไปยังบริเวณบั้นเอว ส่วนใหญ่มักปวดในช่วงก่อนประจำเดือนจะมาสัก 1-2 วัน และปวดอยู่ตลอดในช่วงที่ยังมีประจำเดือนอยู่ จนกระทั่งประจำเดือนหยุด อาการปวดจึงค่อยทุเลาหายไป...
อ่านต่อ >> 
 
สุขสดใส แม้ถึงวันนั้นของผู้หญิง -
http://health.kapook.com/view3490.html

สมุนไพรแก้ปวดประจำเดือน
ว่านชักมดลูก
เอี๊ยะบ่อเช่า
เจงจูไฉ่
สุขสดใส แม้ถึงวันนั้นของผู้หญิง »
วันนี้เรามีวิธีการดูแลสุขภาพและรักษาตนเอง จากการปวดประจำเดือนมาฝากกัน 
ดี ยู บี  - ปวดประจำเดือน/ประจำเดือนมากผิดปกติ/ประจำเดือนไม่มา - http://www.thailabonline.com/sexualdysmen.htm#ดี%20ยู%20บี

ดียูบี เป็นภาวะที่มีเลือดออกผิดปกติจากโพรงมดลูกที่ไม่เกี่ยวกับเนื้องอก หรือการอักเสบของมดลูกหรือการตั้งครรภ์        พบได้ในผู้หญิงทุกวัย แต่จะพบมากในระยะเข้าสู่วัยสาวขณะที่มีประจำเดือนครั้งแรกและในระยะวัยกลางคน เมื่อใกล้จะหมดประจำเดือนอย่างถาวร เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยของภาวะมี เลือดออกทางช่องคลอดมาก หรือนานผิดปกติ

การรักษา
ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดผสมฮอร์โมนเอสโตรเจนและโพรเจสเตอโรน ซึ่งเป็นยี่ห้อใดก็ได้
ครั้งละ 1 เม็ด วันละ 4 ครั้ง นาน 5 วัน
แต่ถ้าให้ยาแล้วเลือดไม่หยุดไหล หรือ พบในผู้ป่วยอายุมากกว่า 35 ปี ควรทำการขูดมดลูก เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีสาเหตุร้ายแรง (เช่น มะเร็งปากมดลูก)
ปวดประจำเดือน/ประจำเดือนมากผิดปกติ/ประจำเดือนไม่มา »
ลักษณะทั่วไป ปวดประจำเดือน หมายถึง อาการปวดท้องขณะมีประจำเดือน พบได้ประมาณ 70 % ของผู้หญิง ในวัยที่มีประจำเดือน ส่วนใหญ่จะปวดไม่มากและสามารถทำงานได้ตามปกติ ส่วนน้อยเท่านั้น ที่อาจปวดรุนแรงจนต้องพักงาน... 
สาระดีดี originally shared this post:
9 สัญญาณ บอกโรคจากประจำเดือน

1. ประจำเดือนสีเข้มจัด ออกน้อย มีอาการเหนื่อยง่ายเวลาต้องออกแรง อ่อนเพลียกว่าปกติ เวียนศีรษะ อาจบ่งบอกว่าเป็นสัญญาณของโรคโลหิตจางได้

2. ประจำเดือนออกมาเป็นลิ่มเลือดคล้ายเลือดหมู มีเลือดออกภายในค่อนข้างมาก อาจเป็นสัญญาณเตือนว่า กำลังอุ้งเชิงกรานอักเสบ

3. มีกลิ่นผิดปกติ คัน เจ็บแสบในช่องคลอด ถ้าร่วมกับมีอาการตกขาว แสดงว่าตกขาวจากเชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา พยาธิในช่องคลอด หรือติดเชื้อในมดลูก มีอุ้งเชิงกรานอักเสบ

4. ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอไม่ปกติ ให้สังเกตว่า มีอาการปวดศีรษะเรื้อรัง ตามืดมัวลงเรื่อย ๆ มีหนวดและขนขึ้นผิดธรรมชาติ น้ำนมออกผิดปกติ ถ้ามีอาการเหล่านี้ควรพบแพทย์ เพื่อตรวจหาเนื้องอกของรังไข่ หรือตรวจหาความผิดปกติของต่อมหมวกไตหรือต่อมใต้สมอง

5. ประจำเดือนมาน้อยและมีอาการอ่อนเพลีย เฉื่อยเนือย เต้านมแฟบ ขนรักแร้และขนที่อวัยวะเพศร่วง อาจจะเคยตกเลือดอย่างรุนแรง หรือเป็นลมขณะคลอดบุตร ควรพบแพทย์ เพื่อตรวจหาโรคซีแฮน หรือโรคที่ต่อมใต้สมองขาดเลือด ทำให้ทำงานน้อยลงและทำให้รังไข่ทำงานน้อยลงด้วย

6. ประจำเดือนมามากจนมีอาการซีด ควรไปพบแพทย์ แต่ที่ไม่ควรนิ่งนอนใจ คือถ้าเลือดที่ออกมามีกลิ่นเหม็น และมีอาการปวดบริเวณท้องน้อย ต้องระวังเรื่องปีกมดลูกอักเสบ

7. ประจำเดือนมามากร่วมกับมีอาการปวดประจำเดือน หรือรู้สึกเจ็บเวลาร่วมเพศ และคลำพบก้อนที่ท้องน้อยอันนี้ไม่ควรนิ่งนอนใจ เพราะอาจจะเป็นเนื้องอกในมดลูกได้

8. ปวดประจำเดือนมากจนหน้าซีดหน้าเซียว หรือยิ่งในวันท้าย ๆ ยิ่งปวดมากขึ้น อย่างนี้ควรจะไปตรวจโรคเยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่ หรือถุงช็อกโกแลตซีสต์ได้แล้วค่ะ

9. ประจำเดือนมานานผิดปกติเกินกว่า 7 วัน อาจเป็นตอนหลังคลอดใหม่ ๆ หรือหลังใส่ห่วงคุมกำเนิดก็ถือเป็นเรื่องปกติ ทำนองเดียวกับประจำเดือนที่ขาด ๆ หาย ๆ แล้วพอมาก็มามาก แต่ก็ไม่มีผิดปกติอื่น ๆ และไม่ได้ตั้งครรภ์ มักจะเป็นในช่วงที่อ้วนเกินไป เครียด ออกกำลังกายมากเกินไป

         ประจำเดือนเป็นสิ่งที่ธรรมชาติสร้างมาเพื่อผู้หญิงทุกคน หากเราหมั่นสังเกตสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้อย่างสม่ำเสมอและหมั่นดูแลตัวเองให้ดี ก็จะสามารถช่วยป้องกันโรคได้เป็นอย่างดีค่ะ 
 
cha pink originally shared this post:
ปวดท้องตรงไหน เป็นอะไรกันแน่
เราสามารถแบ่งบริเวณที่ปวดท้องได้เป็น 9 ส่วน คือ

1. ชายโครงขวา คือ ตับและถุงน้ำดี อาการที่พบมักจะกดแล้วเจอก้อนแข็งร่วมกับอาการตัวเหล ือง ตาเหลือง ซึ่งสันนิษฐานเบื้องต้นได้ว่า อาจเป็นโรคเกี่ยวกับตับหรือถุงน้ำดี เช่น ตับอักเสบ ฝีในตับ ถุงน้ำดีอักเสบ

2. ใต้ลิ้นปี่ คือ กระเพาะอาหาร ตับอ่อน ตับ และกระดูกลิ้นปี่
- ปวดเป็นประจำเวลาหิวหรืออิ่ม อาจเป็นโรคเกี่ยวกับกระเพาะ
- ปวดรุนแรงร่วมกับคลื่นไส้อาเจียน อาจเป็นโรคตับอ่อนอักเสบ
- คลำเจอก้อนเนื้อค่อนข้างแข็งและมีขนาดใหญ่ อาจหมายถึงตับโต - คลำได้ก้อนสามเหลี่ยมแบนเล็กๆ มักเป็นกระดูกลิ้นปี่

3. ชายโครงขวา คือ ม้าม ซึ่งมักจะคลำเจอก้อนเนื้อบริเวณนี้

4. บั้นเอวขวา คือท่อไต ไต ลำไส้ใหญ่
- ปวดร่วมกับถ่ายอุจจาระผิดปกติหรือถ่ายเป็นเลือด อาจเป็นเพราะลำไส้ใหญ่อักเสบ
- ปวดร้าวถึงต้นขา อาจเป็นนิ่วในท่อไต
- ปวดร่วมกับปวดหลัง มีไข้ หนาวสั่น ปัสสาวะขุ่น อาจเป็นกรวยไตอักเสบ
- คลำเจอก้อนเนื้อ อาจเป็นไตโตผิดปกติหรือเนื้องอกในลำไส้ใหญ่

5. รอบสะดือ คือ ลำไส้เล็ก มักพบในโรคท้องเดินหรือไส้ติ่งอักเสบ (ก่อนจะย้ายมาปวดท้องน้อยขวา) แต่ถ้าปวดแบบมีลมในท้อง ก็อาจเป็นเพราะกระเพาะลำไส้ทำงานผิดปกติ

6. บั้นเอวซ้าย คือ ท่อไต ไต ลำไส้ใหญ่ (เหมือนข้อ 4)

7. ท้องน้อยขวา คือ ไส้ติ่ง ท่อไต และปีกมดลูก
- ปวดเกร็งเป็นระยะ ร้าวมาที่ต้นขา อาจเป็นเพราะมีก้อนนิ่วในกรวยไต
- ปวดเสียดตลอดเวลา กดแล้วเจ็บมาก มักเป็นไส้ติ่งอักเสบ
- ปวดร่วมกับมีไข้สูง หนาวสั่น มีตกขาว มักเป็นเพราะปีกมดลูกอักเสบ
- คลำแล้วเจอก้อนเนื้อ อาจเป็นก้อนไส้ติ่งหรือรังไข่ผิดปกติ

8. ท้องน้อย คือ กระเพาะปัสสาวะและมดลูก
- ปวดเวลาถ่ายปัสสาวะหรือถ่ายกระปริบกระปรอย มักเป็นเพราะกระเพาะปัสสาวะอักเสบ หรือนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ
- ปวดเกร็งเวลามีประจำเดือน เป็นอาการปวดประจำเดือน แต่ในรายที่ปวดเรื้อรังในหญิงแต่งงานแล้วไม่มีบุตร อาจเป็นเนื้องอกในมดลูก

9. ท้องน้อยซ้าย คือ ปีกมดลูกและท่อไต
- ปวดเกร็งเป็นระยะและร้าวมาที่ต้นขา มักเป็นนิ่วในท่อไต
- ปวดร่วมกับมีไข้ หนาวสั่น ตกขาว เป็นเพราะมดลูกอักเสบ
- ปวดร่วมกับถ่ายอุจจาระผิดปกติ อาจเป็นเพราะลำไส้ใหญ่อักเสบ
- คลำพบก้อนร่วมกับอาการท้องผูกเป็นประจำ อาจเป็นเนื้องอกในลำไส้
http://board.postjung.com/645555.html    
สาระดีดี originally shared this post:
สรรพคุณ / ประโยชน์ของลูกพลับ
ลูกพลับ เป็นผลไม้ลูกเล็ก ๆ เปลือกมีสีเหลืองทองอร่าม เนื้อหวาน กรอบ อร่อย และทำให้หลาย ๆ คนหลงใหล แม้จะเป็นผลไม้ที่นำเข้ามาจากประเทศจีน แต่ปัจจุบันประเทศไทยก็มีปลูกบ้างแล้วอย่างจังหวัดเชีงราย แต่ผลที่ออกมาก็ยังไม่เป็นที่ถูกอกถูกใจเท่าลูกพลับจากจีนอยู่ดี

คุณประโยชน์ชองลูกพลับ ก็คือ ช่วยลดอาการปวดท้องที่เกิดจากความเย็น เช่น ปวดประจำเดือน ปวดโรคบิด ทั้งยังแก้ไอหรือเจ็บคอได้อีกด้วย

แต่ที่เป็นจุดเด่นที่สุดของลูกพลับก็คือ สรรพคุณของลูกพลับสามารถช่วยลดความดันโลหิตได้ เพียงแค่กินวันละลูกก็ช่วยให้สุขภาพดีขึ้นได้ และไม่เพียงลูกพลับสดเท่านั้นที่มีประโยชน์ ลูกพลับแห้งก็เช่นกันเพราะสามารถช่วยทำให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น และผู้ที่ท้องอืด จุกเสียด แน่นเฟ้อ ลูกพลับแห้งก็ช่วยบรรเทาอาการได้เป็นอย่างดี
 
อาการการปวดท้องเรื้อรังหรืออาการปวดมดลูกอาจมีหลายสาเหตุ เช่น

-ภาวะปวดประจำเดือนDysmenorrheal ถึงแม้ว่าการปวดประจำเดือนจะเกิดได้กับทุกคนแต่บางคนจะมีอาการรุนแรงมากสาเหตุเกิดจากฮอร์โมนProstaglandinsซึ่งสร้างโดยเซลล์ที่ผนังมดลูกทำให้เกิดการเกร็งของมดลูกค่ะ

-ภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่Endometriosisเป็นภาวะที่เกิดจากการที่เนื้อเยื่อมดลูกไปอยู่บริเวณรังไข่ท่อรังไข่ หรือบริเวณช่องท้องน้อย ส่วนใหญ่ตัวมดลูกเองจะไม่กระตุ้นที่รังไข่ แต่ถ้าเป็นมะเร็งที่มดลูก ก็อาจลามไปที่รังไข่ได้ เนื่องจากฮอร์โมนจากรังไข่ส่งมาถึงตัวมดลูก ทำให้มันทำงานผิดปกติ แต่ถ้าปราศจากรังไข่ มดลูกก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย คือ มดลูกจะเหี่ยว ฉะนั้นการตัดมดลูกออก เก็บรังไข่ไว้ ก็ยังมีการสร้างฮอร์โมนต่อไป ผิวหนังของคนเราก็จะไม่เหี่ยว    สำหรับอาการปวดจะมีความรุนแรงและรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆทุกเดือนเนื่องจากเลือดที่ถูกสร้างโดยเยื่อบุโพรงมดลูกไม่สามารถขับออกมาได้บางครั้งทำให้เห็นเป็นถุงน้ำที่มีเลือดอยู่ภายในหรือที่เรียกว่าchocolate cyst

-เนื้องอกในโพรงมดลูก มะเร็งมดลูก อาการที่แสดงส่วนใหญ่แทบจะไม่มีอาการแต่อาจจะทำให้เกิดอาการปวดเนื่องจากมีการกดเบียดอวัยวะอื่นบางคนจะมีประจำเดือนมาผิดปกติส่วนหนึ่งจะสัมพันธ์กับฮอร์โมนEstrogen อัตราการโตขึ้นของ   เนื้องอกก็สำคัญ โดยทั่วไปเนื้องอกจะมีโอกาสกลายเป็นมะเร็งน้อย คือ ประมาณ 1% แต่ถ้าโตเร็วและมีเลือดออกมาผิดปกติก็อย่านิ่งนอนใจ ดังนั้น ถ้ารู้ตัวว่ามีเนื้องอกก็อย่ารอให้มีอาการ ควรไปพบแพทย์ตรวจเป็นระยะ เพื่อดูว่าโตขึ้นหรือไม่ เพราะเนื้องอกก็อาจกลายได้ ข้อสังเกตคือ ก้อนเนื้อโตเร็วผิดปกติ


Credit : womencenter 
 
"โรคช็อกโกแลตซีสต์" เพื่อสุขภาพของตัวคุณเอง
ซีส (Cyst) คือ ถุงน้ำ "ช็อกโกแลตซีสต์" หมายถึงถุงน้ำของรังไข่แบบหนึ่งที่มีของเหลวอยู่ภายในและมีลักษณะเหมือนช็อคโกแลตเหลว ซึ่งความจริงก็คือ ถุงเลือดนั่นเอง

สาเหตุของการเกิดโรคช็อกโกแลตซีสต์
ในทางการแพทย์เชื่อว่า เกิดจากเลือดระดูหรือเลือดประจำเดือนไหลย้อนกลับ อธิบายกันง่าย ๆ ก็คือ แทนที่เลือดจะออกมาทางช่องคลอดของผู้หญิงตามปกติอาจจะมีเลือดระดูส่วนหนึ่งมีการไหลย้อนกลับเข้าไปผ่านทางหลอดมดลูกแล้วก็เข้าไปในช่องท้องไปฝังตัวที่รังไข่จนทำให้เกิดเป็นถุงน้ำขึ้น

และเนื่องจากลักษณะเซลล์ของถุงน้ำในเนื้อเยื่อบุโพรงมดลูกอันหนึ่ง เมื่อผู้หญิงมีประจำเดือนเยื่อบุโพรงมดลูกก็จะลอกตัวออกมาถุงน้ำดังกล่าวก็จะมีเลือดออกในถุงด้วย เมื่อเลือดหยุดหรือหมดประจำเดือนในแต่ละเดือนแล้วนั้นระบบร่างกายก็จะทำการดูดซึมน้ำกลับมาที่ถุงทำให้เลือดในถุงเข้มข้นและเมื่อเลือดค้างอยู่ในถุงน้ำนาน ๆ จะกลายเป็นสีน้ำตาลมีลักษณะเหมือนช็อคโกแลตจึงเรียกว่า "ถุงน้ำช็อกโกแลต" ดังนั้น ในแต่ละเดือนที่ผ่านไปถุงน้ำก็จะมีเลือดออกเพิ่มขึ้น ๆ นั่นหมายถึง ถุงน้ำก็จะใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ แต่จะใหญ่เร็วมากน้อยแค่ไหนนั้นก็ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของคนคนนั้นว่า จะดูดน้ำกลับได้เร็วเท่าไหร่ ถ้าร่างกายดูดน้ำกลับได้เร็วถุงน้ำนั้นก็จะโตขึ้นแบบช้า ๆ

นอกจากจะเรียกว่า ช็อกโกแลตซีสต์หรือถุงน้ำช็อกโกแลตแล้วทางการแพทย์ยังเรียกว่า "เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญเติบโตผิดที่" (Endometriosis) ด้วยเช่นกัน ฉะนั้นก็ไม่ต้องสงสัยกันอีกต่อไปว่ามันเป็นโรคดียวกันหรือเปล่า

อาการของโรคช็อกโกแลตซีสต์
สำหรับอาการเจ็บปวดหรืออาการอย่างไรที่ทำให้สงสัยว่าจะเป็นนั้นเป็นอีกประเด็นที่หลายคนยังสงสัยอยู่ เนื่องจากหลายคนอาจไม่สามารถแยกแยะออกได้ว่า การปวดท้องนั้นมาจากการปวดประจำเดือนแบบปกติหรือปวดเพราะเป็นโรคนี้กันแน่ ทางการแพทย์กล่าวว่า ประเด็นหลักที่ต้องพิจารณาคืออายุหากอายุไม่มากแล้วปวดท้องส่วนใหญ่จะเป็นการปวดท้องแบบธรรมดา แต่กรณีที่ไม่เคยปวดประจำเดือนมาก่อนพออายุ 30 ปีขึ้นไปก็มีอาการปวดประจำเดือนขึ้นมาและปวดมากขึ้นเรื่อย ๆ ในแต่ละเดือนที่ผ่านไปก็มีโอกาสที่จะเป็นข้อบ่งชี้ที่ชวนให้สงสัยว่า อาจเป็นถุงน้ำช็อกโกแลตได้ เช่นกัน

เอาล่ะ...มาถึงคำตอบที่ว่า หากเป็นโรคช็อกโกแลตซีสต์เมื่อแต่งงานแล้วทำไมจึงหาย ก็เพราะว่าเมื่อผู้หญิงแต่งงานและมีการตั้งครรภ์ช่วงเวลาที่ตั้งครรภ์ 9 เดือนจนถึงหลังคลอดอีก 3-6 เดือน จะเป็นช่วงที่ไม่มีประจำเดือน การที่ไม่มีประจำเดือนนี้เอง ที่ทางการแพทย์ถือว่าเป็นการรักษาได้ทางหนึ่งเพราะถุงน้ำจะฝ่อตัวไปเอง

เรื่องของการผ่าตัดนั้นแพทย์จะทำการพิจารณาถึงความมากน้อยของอาการ เช่น ถุงน้ำใหญ่มากจนเกิดอาการปวดรุนแรงหรือไปกดอวัยวะข้างเคียงส่งผลไปถึงส่วนอื่น ๆ ก็อาจจะตัดสินใจให้ผ่าตัด

เอาเป็นว่าหากมีช็อกโกแลตซีสในตัวคุณเมื่อไหร่ก็ขออย่าได้ไว้วางใจเป็นอันขาดควรเข้ารับการตรวจภายในกันบ้าง 
 
" 3 ปวด" ช็อกโกแลตซีสต์

ศาสตราจารย์ นายแพทย์สมบูรณ์ คุณาธิคม เลขาธิการราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย แนะนำข้อสังเกตเบื้อต้นจาก 3 อาการปวด ดังนี้

1. ปวดประจำเดือนมาก หรือทุกวันที่มีประจำเดือน และมักจะปวดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
2. ปวดท้องน้อยเรื้อรัง ทั้งช่วงที่มีและไม่มีประจำเดือน เนื่องจากเกิดการสร้างพังผืดบริเวณนอกโพรงมดลูก
3. ปวดเวลามีเพศสัมพันธ์ เพราะอาจไปโดนบริเวณเยื่อบุหรือรอยโรคจนทำให้มีอาการเจ็บปวดได้

..... นอกจากนี้อาจมีความผิดปกติอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น มีบุตรยาก ประจำเดือนผิดปกติ (ทั้งเลือดออกกะปริบกะปรอยและเลือดออกมากขึ้นจนเป็นก้อนลิ่มเลือด)

อย่างไรก็ตาม ในบางคนที่มีช็อกโกแลตซีสต์อาจไม่มีอาการผิดปกติ เหล่านี้ ทางที่ดีหากมีข้อสงสัยควรปรึกษาแพทย์เพื่อวินิจฉัยอาการตั้งแต่เนิ่นๆ ค่ะ

Credit : ศรีสุภา
 
อาหารแสลง..ที่ไม่ควรกินเมื่อป่วย
         เรามักได้ยินคนเฒ่าคนแก่พูดถึงข้อห้ามมากมายเกี่ยวกับการกินและข้อควรปฏิบัติ เช่น คนที่ร้อนในง่ายห้ามกินของร้อน (คุณสมบัติหยาง) ของทอดๆ มันๆ ของเผ็ด เช่น
          - กินทุเรียนแล้วห้ามกินเหล้า
          - กินทุเรียนแล้วควรกินมังคุดหรือกินน้ำเกลือตาม
          - กินลำไยมากระวังตาจะแฉะ
          - เวลาเริ่มเป็นหวัด เจ็บคอ ควรกินพวกยาขม
          - เวลาร้อนใน ให้กินน้ำจับเลี้ยง หรือกินน้ำเก๊กฮวย
          - หญิงปวดประจำเดือนห้ามกินของเย็น (ลักษณะยิน) เช่น แตงโม น้ำมะพร้าว
          - คนที่กินยาบำรุงจีน ห้ามกินผักกาดขาว หัวไชเท่า ฯลฯ เพราะจะล้างยา (ทำไมฤทธิ์ของยาน้อยลง) ฯลฯ
         คำกล่าวเหล่านี้ก็มีในทัศนะทางการแพทย์แผนจีนมาจากพื้นฐานที่ว่า “อาหารคือยา อาหารและยามีแหล่งที่มาเดียวกัน” การเลือกกินอาหารให้เหมาะสมเป็นศาสตร์และศิลป์ที่ต้องประยุกต์เปลี่ยนแปลงให้สอดคล้องกับภาวะที่เป็นจริงของบุคคล เงื่อนไขของเวลา และสภาพภูมิประเทศ (สิ่งแวดล้อม) จึงจะเกิดผลที่ดีต่อสุขภาพ
        ในแง่ของคนไข้ การเลือกกินอาหารให้เหมาะสม จะทำให้โรคร้ายทุเลาลง ช่วยเสริมการรักษาและฟื้นฟูร่างกาย ในทางกลับกันการเลือกอาหารไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสม ย่อมทำให้โรคร้ายรุนแรง กำเริบและบั่นทอนสุขภาพมากขึ้น

        หลักการหลีกเลี่ยงอาหารในขณะเจ็บไข้ได้ป่วยด้วยโรคต่างๆ หรือภายหลังการฟื้นจากการเจ็บป่วย
      1. คนที่เป็นไข้หวัด ไข้สูง ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่สุก อาหารที่เย็นมาก หรืออาหารทอด อาหารมัน ซึ่งล้วนแต่ทำให้ย่อยยาก ซึ่งจะทำให้เกิดความร้อนสะสม เปรียบเสมือน “อาหารเชื้อเพลิง” หรือการเติมน้ำมันเข้าไปในกองไฟ

      2. คนที่เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ กระเพาะอาหารเป็นแผล หรือระบบการย่อยไม่ดี ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ ชาแก่ กาแฟ ของเผ็ด ของทอด ของมัน เพราะอาหารเหล่านี้ทำให้เกิดการสะสมความร้อนในร่างกายทำให้โรคหายยาก แนะนำให้กินอาหารปริมาณน้อยแต่บ่อยครั้ง กินอาหารตามเวลา และเป็นอาหารอ่อนย่อยง่าย

      3. คนที่เป็นโรคความดันเลือดสูง โดยเฉพาะในผู้สูงอายุที่มักมีปัญหาหลอดเลือดแข็งตัว (ตามภาวะความเสื่อมของร่างกาย) ทำให้หลอดเลือดเสียความยืดหยุ่น ควรหลีกเลี่ยงอาหารมัน อาหารที่มีโคเลสเตอรอลสูง เช่น หมูสามชั้น ตับ สมอง ถั่ว น้ำมันหมู ไขกระดูก ไข่ปลา โกโก้ น้ำมันเนย รวมทั้งเหล้า เพราะอาหารเหล่านี้จะทำให้เกิดความร้อนชื้นสะสมในร่างกาย(ความชื้นมีผลให้เกิดความหนืดของการไหลเวียนต่อร่างกายทุกระบบ ความร้อนทำให้ภาวะร่างกายถูกกระตุ้น ทำให้ความดันสูง) นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเผ็ด (ฤทธิ์กระตุ้น) หรืออาหารหวานมาก เช่น ลำไย ขนุน ทุเรียน ฯลฯ (คุณสมบัติร้อน) เราคงได้ยินบ่อยๆว่า มีคนที่เป็นโรคความดันสูง แล้วไปกินทุเรียนร่วมกับเหล้า แล้วหมดสติ เสียชีวิต จากภาวะเส้นเลือดในสมองแตกก็สามารถอธิบายได้ด้วยเหตุผลดังกล่าว

      4. คนที่เป็นโรคตับหรือโรคเกี่ยวกับถุงน้ำดี ควรหลีกเลี่ยงอาหารพวกเหล้า เครื่องดื่มแอลกอฮอล์อาหารมัน เนื้อติดมัน เครื่องในสัตว์ อาหารทอดๆ มันๆ อาหารหวานจัด เพราะแผนแพทย์จีนถือว่าตับ ถุงน้ำดี มีความสัมพันธ์กับระบบย่อยอาหาร ซึ่งเป็นระบบพื้นฐานของการรับสารอาหารเพื่อบำรุงเลี้ยงร่างกาย ให้เกิดเลือด พลัง การได้อาหารประเภทดังกล่าวมากเกินไปจะทำให้เกิดความร้อนความชื้น ทำให้สมรรถภาพของการย่อยอาหารอ่อนแอ ซึ่งจะทำให้เกิดโทษต่อตับและถุงน้ำดีอีกต่อหนึ่ง

      5. คนที่เป็นโรคหัวใจ โรคไต หลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มจัด เพราะรสเค็มทำให้มีการเก็บกักน้ำ การไหลเวียนเลือดจะช้า เป็นภาระต่อหัวใจในการทำงานหนักเพิ่มขึ้น ทำให้ไตต้องทำงานขับเกลือแร่มากขึ้น ขณะเดียวกัน อาหารที่มีรสเผ็ดก็ควรหลีกเลี่ยง เพราะมีฤทธิ์กระตุ้นการไหลเวียนทำให้ต้องสูญพลังงานมาก และหัวใจก็ต้องทำงานหนักขึ้น โดยสรุปคือ ต้องลดการทำงานของหัวใจและไต โดยไม่เพิ่มปัจจัยต่างๆที่เป็นโทษเข้าไป

      6. คนที่เป็นโรคเบาหวาน ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสหวาน หรืออาหารประเภทแป้งที่มีแคลอรีสูง เช่น มันฝรั่ง มันเทศ ฯลฯ แนะนำอาหารพวกถั่ว เช่น เต้าหู้ นมวัว เนื้อสันไม่ติดมัน ปลา ผักสด ฯลฯ

      7. คนที่นอนหลับไม่สนิท ควรหลีกเลี่ยงอาหารพวกชา กาแฟ หรือการสูบบุหรี่ โดยเฉพาะเวลาก่อนนอน เพราอาหารเหล่านี้มีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาท ทำให้ไม่ง่วงนอน หรือทำให้หลับไม่สนิท

      8. คนที่เป็นโรคริดสีดวงทวารหรือท้องผูก ต้องหลีกเลี่ยงอาหารประเภท กระเทียม หอม ขิงสด พริกไทย พริก ซึ่งมีฤทธิ์กระตุ้นการไหลเวียนเลือด ทำให้มีความร้อนในตัวสะสมมาก ทำให้ท้องผูก ทำให้เส้นเลือดแตกและอาการริดสีดวงทวารกำเริบ

      9. คนที่มีอาการลมพิษ ผิวหนังอักเสบเรื้อรัง หรือเป็นโรคหอบหืด ควรเลี่ยงเนื้อแพะ เนื้อปลา กุ้ง หอย ปู ไข่ ผลิตภัณฑ์นมหรือสิ่งกระตุ้นอื่นๆ รวมทั้งรสเผ็ด เพราะสารเหล่านี้มีฤทธิ์กระตุ้นและทำให้มีอาการผื่น ผิวหนังกำเริบ

      10. คนที่เป็นสิว หรือมีการอักเสบของต่อมไขมัน ควรงดอาหารเผ็ดและอาหารมัน เพราะทำให้สะสมความร้อนชื้นของกระเพาะอาหาร ม้าม มีผลต่อความร้อนชื้นไปอุดตันพลังของปอด (ควบคุมผิวหนัง ขนตามร่างกาย) ทำให้เกิดสิว

       อาหารดิบ ไม่สุก : ทำให้ระบบย่อยทำงานหนัก ทำให้เสียสมรรถภาพการย่อยดูดซึมอาหารตกค้าง คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องอืด ขาดสารอาหาร

       อาหารร้อนเกินไป : ทำให้ระบบย่อยทำงานหนัก มีความร้อนความชื้นสะสม เกิดความร้อนในร่างกายมากเกินไป ไปกระทบกระเทือนอวัยวะอื่นๆ เช่น กระทบปอด ลำไส้ ทำให้ท้องผูก เจ็บคอ ปากเป็นแผล กระทบตับ ทำให้ความดันสูง ตาแฉะ อารมณ์หงุดหงิด กระทบไต ทำให้ปวดเมื่อยเอว ผมร่วง ฯลฯ

       อาหารที่ผ่านการปรุงแต่งน้อยที่สุด : จะได้สารและพลังจากธรรมชาติมากที่สุด อย่างไรก็ตาม ความเห็นในทางการแพทย์แผนปัจจุบัน แนะนำให้กินผักสด ผลไม้สด การเลือกกินอาหารที่ผ่านกระบวนการหลายขั้นตอนและมีการปรุงแต่งที่มากเกินไปจะทำให้อาหารฮ่องเต้กลายเป็นอาหารชั้นเลวในแง่หลักโภชนาการ 





No comments:

Post a Comment