แพทย์เตือน 'โรคหลอดเลือดสมอง' พบแพทย์ไว ลดความพิการได้
สถาบันประสาทวิทยา กรมการแพทย์เตือนให้ประชาชนตื่นตัวป้องกัน หากพบอาการแขน ขาอ่อนแรงข้างใดข้างหนึ่ง สับสนพูดลำบาก พูดไม่รู้เรื่อง มองเห็นลดลง มีปัญหาการเดิน มึนงง ให้รีบไปพบแพทย์ด่วนที่สุดใน 3 ชั่วโมงครึ่ง เพราะอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคอัมพฤกษ์ – อัมพาต...
http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/810598
สถาบันประสาทวิทยา กรมการแพทย์เตือนให้ประชาชนตื่นตัวป้องกัน หากพบอาการแขน ขาอ่อนแรงข้างใดข้างหนึ่ง สับสนพูดลำบาก พูดไม่รู้เรื่อง มองเห็นลดลง มีปัญหาการเดิน มึนงง ให้รีบไปพบแพทย์ด่วนที่สุดใน 3 ชั่วโมงครึ่ง เพราะอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคอัมพฤกษ์ – อัมพาต...
http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/810598
no shares
หากคุณมีอาการปวดศีรษะเหล่านี้ อย่านิ่งนอนใจ ควรรีบเข้ามาพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยที่ถูกต้อง
.
ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหลอดเลือดสมองและระบบประสาท เพื่อรับการวินิจฉัยที่ถูกต้องได้ที่ >> https://goo.gl/ojMjSu
.
ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหลอดเลือดสมองและระบบประสาท เพื่อรับการวินิจฉัยที่ถูกต้องได้ที่ >> https://goo.gl/ojMjSu
Public
17 Nov 2014
โรคหลอดเลือดสมองมาจากพฤติกรรมสุขภาพที่ไม่ถูกต้องและไม่เหมาะสม เช่น รับประทานอาหาร เค็มจัด หวานจัด มันจัด ไม่รับประทานผัก ผลไม้ สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า ไม่ออกกำลังกาย และเครียด พฤติกรรมเสี่ยงเหล่านี้เมื่อปฏิบัติติดต่อกันเป็นเวลานานๆ จะทำให้เกิดภาวะความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่จะส่งผลให้เกิดโรคหลอดเลือดสมองตามมา
1 ใน 5 ของผู้หญิงเป็นโรคหลอดเลือดสมอง โดยในผู้หญิงอายุ 85 ปีขึ้นไป มีอัตราเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคหลอดเลือดสมองสูงกว่าประชากรกลุ่มอื่นๆ ผู้หญิงมีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองเพิ่มขึ้น เช่น โรคเบาหวาน ไมเกรน ผู้ป่วยภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ภาวะซึมเศร้า และความดันโลหิตสูง และมีอีกหลายปัจจัยเสี่ยง เช่น การตั้งครรภ์ ภาวะครรภ์เป็นพิษ การใช้ยาคุมกำเนิด การใช้ฮอร์โมนทดแทนหลังหมดประจำเดือน การเปลี่ยนแปลงของ ฮอร์โมน และการเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ เป็นผลให้ผู้หญิง 1 ใน 5 มีความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมอง
โรคหลอดเลือดสมองชนิดที่พบในผู้หญิง เช่น หลอดเลือดสมองอุดตัน และภาวะเลือดออกใต้เยื้อหุ้มสมองชั้นกลาง ผู้หญิงมีความเสี่ยงที่สูงขึ้นของภาวะซึมเศร้าหลังการเป็นโรคหลอดเลือดสมอง ผู้หญิงเป็นผู้ดูแลผู้ป่วยที่เป็นคู่สมรสที่เจ็บป่วยจากโรคหลอดเลือดสมอง มีแนวโน้มการรายงานด้านสุขภาพจิตที่แย่ลง
http://www.prdnorth.in.th/ct/news/viewnews.php?ID=141116155128
1 ใน 5 ของผู้หญิงเป็นโรคหลอดเลือดสมอง โดยในผู้หญิงอายุ 85 ปีขึ้นไป มีอัตราเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคหลอดเลือดสมองสูงกว่าประชากรกลุ่มอื่นๆ ผู้หญิงมีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองเพิ่มขึ้น เช่น โรคเบาหวาน ไมเกรน ผู้ป่วยภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ภาวะซึมเศร้า และความดันโลหิตสูง และมีอีกหลายปัจจัยเสี่ยง เช่น การตั้งครรภ์ ภาวะครรภ์เป็นพิษ การใช้ยาคุมกำเนิด การใช้ฮอร์โมนทดแทนหลังหมดประจำเดือน การเปลี่ยนแปลงของ ฮอร์โมน และการเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ เป็นผลให้ผู้หญิง 1 ใน 5 มีความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมอง
โรคหลอดเลือดสมองชนิดที่พบในผู้หญิง เช่น หลอดเลือดสมองอุดตัน และภาวะเลือดออกใต้เยื้อหุ้มสมองชั้นกลาง ผู้หญิงมีความเสี่ยงที่สูงขึ้นของภาวะซึมเศร้าหลังการเป็นโรคหลอดเลือดสมอง ผู้หญิงเป็นผู้ดูแลผู้ป่วยที่เป็นคู่สมรสที่เจ็บป่วยจากโรคหลอดเลือดสมอง มีแนวโน้มการรายงานด้านสุขภาพจิตที่แย่ลง
http://www.prdnorth.in.th/ct/news/viewnews.php?ID=141116155128
no plus ones
Public
5 Feb 2017
โรคหลอดเลือดสมองมีโอกาสเป็นได้ทุกเพศ ทุกวัย โดยเฉพาะช่วงอายุ 45 ปีขึ้นไป ยิ่งมีความเสี่ยงสูงขึ้น ซึ่งต้องคอยสังเกตตนเองอยู่ เสมอ โดยใช้หลัก FAST ที่ย่อมาจาก Face, Arm, Speech, Time คือ การสังเกต ความผิดปกติของใบหน้า แขน การพูด การสื่อสาร และเวลาที่เป็นทันทีทันใดหรือไม่ เช่น มีอาการชา แขน ขาอ่อนแรง การพูดผิดปกติ ตามองไม่เห็นชั่วขณะ ซึ่งอาการ เหล่านี้จะมีความเสี่ยงสูงหลังจากเกิดขึ้นในช่วง 7 วันแรก จึงต้องรับการรักษาอย่าง ทันท่วงที เพราะอาจมีการตีบหรือแตกของเส้นเลือดในสมอง บริเวณที่ควบคุมอวัยวะ ดังกล่าว
โรคที่ทำให้มีโอกาสเป็นโรคหลอดเลือดสมองมากขึ้น ได้แก่ กลุ่มอาการดาวน์ซินโดรม เบาหวาน โรคหัวใจชนิดต่าง ๆ เช่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ ลิ้นหัวใจรั่ว ความดันสูง โรคมะเร็งเม็ดเลือด แพ้ภูมิตนเอง เพราะอาการเหล่านี้จะทำให้ หลอดเลือดผิดปกติ หลอดเลือดแดงแข็งตัว หนา ผนังหลอดเลือดอักเสบ ฉีกขาด รวมถึงกลุ่มที่มีเม็ดเลือดแดงสูง จะทำให้เกิดลิ่มเลือดได้ง่าย จนเกิดการอุดตัน
ไม่ว่าจะเป็นคนที่มีรูปร่างผอม หรืออ้วน ก็มีโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดสมองทั้งสิ้น โดยเฉพาะความเสี่ยงเรื่องของ การบริโภคและกรรมพันธุ์ เช่น มีญาติเป็นโรค เบาหวาน ความดัน หัวใจ ดังนั้นจึงควร ตรวจร่างกายทุก ๆ 6 เดือน – 1 ปี เพื่อป้องกันและรักษาอย่างทันท่วงที
โรคที่ทำให้มีโอกาสเป็นโรคหลอดเลือดสมองมากขึ้น ได้แก่ กลุ่มอาการดาวน์ซินโดรม เบาหวาน โรคหัวใจชนิดต่าง ๆ เช่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ ลิ้นหัวใจรั่ว ความดันสูง โรคมะเร็งเม็ดเลือด แพ้ภูมิตนเอง เพราะอาการเหล่านี้จะทำให้ หลอดเลือดผิดปกติ หลอดเลือดแดงแข็งตัว หนา ผนังหลอดเลือดอักเสบ ฉีกขาด รวมถึงกลุ่มที่มีเม็ดเลือดแดงสูง จะทำให้เกิดลิ่มเลือดได้ง่าย จนเกิดการอุดตัน
ไม่ว่าจะเป็นคนที่มีรูปร่างผอม หรืออ้วน ก็มีโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดสมองทั้งสิ้น โดยเฉพาะความเสี่ยงเรื่องของ การบริโภคและกรรมพันธุ์ เช่น มีญาติเป็นโรค เบาหวาน ความดัน หัวใจ ดังนั้นจึงควร ตรวจร่างกายทุก ๆ 6 เดือน – 1 ปี เพื่อป้องกันและรักษาอย่างทันท่วงที
no shares
Public
14 Mar 2016
โรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน (Acute Stroke) หรือโรคอัมพาตเฉียบพลัน เป็นโรคที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในกลุ่มคนสูงอายุ สาเหตุหลักของโรคหลอดเลือดสมองส่วนหนึ่งเกิดจากความเสื่อมตามวัยของหลอดเลือดในร่างกาย ลักษณะอาการของโรคส่วนใหญ่มักไม่มีสัญญาณเตือนก่อนเกิดอาการ โดยมากมักเกิดในบุคคลที่มีปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ โรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง สูบบุหรี่ หรือเคยเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
โรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 แบบ คือ http://health.haijai.com/3840/
โรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 แบบ คือ http://health.haijai.com/3840/
no plus ones
Public
10 Aug 2016
#STROKE สัญญาณเตือน โรคหลอดเลือดสมอง สาเหตุของการ เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต
#FAST อย่าประมาท หากเกิดอาการเหล่านี้ ต้องถึงมือหมอภายใน 4 ชั่วโมงครึ่ง โอกาสพิการลดลง
ปัจจัยเสี่ยง #โรคหลอดเลือดสมอง
มีโรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน ความเครียด โรคอ้วน ขาดการออกกำลังกาย สูบบุหรี่ ดื่มสุรา เป็นต้น
https://www.facebook.com/Vejthani.Hospital/photos/a.421146350754.199237.167030900754/10153610014485755/
#FAST อย่าประมาท หากเกิดอาการเหล่านี้ ต้องถึงมือหมอภายใน 4 ชั่วโมงครึ่ง โอกาสพิการลดลง
ปัจจัยเสี่ยง #โรคหลอดเลือดสมอง
มีโรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน ความเครียด โรคอ้วน ขาดการออกกำลังกาย สูบบุหรี่ ดื่มสุรา เป็นต้น
https://www.facebook.com/Vejthani.Hospital/photos/a.421146350754.199237.167030900754/10153610014485755/
no shares
Public
11 Aug 2017
ทำความเข้าใจกับหลอดเลือดสมอง และสาเหตุของโรคหลอดเลือดสมองตีบ ปัจจัยกระตุ้นสำคัญที่ทำให้เกิดโรค เช่น คอเลสเตอรอลสูง ความดันโลหิตสูง เบาหวาน การสูบบุหรี่ อาการและสัญญาณเตือนของโรคนี้ การรักษา พร้อมชมขั้นตอนการตรวจหัวใจด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หรือ CTA (computed tomographic angiography) และภาพตัวอย่างของหลอดเลือดสมองตีบ โดย นพ.ฤกษ์ชัย ตุลยาภรณ์โชติ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญระบบประสาท
https://www.youtube.com/watch?v=PC-d46v1rpo
https://www.youtube.com/watch?v=PC-d46v1rpo
เข้าใจ-ป้องกัน หลอดเลือดสมองตีบ | โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กรุงเทพ
ขณะนี้ รพ.ศิริราช มีศูนย์ดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง (stroke) หน่วยรักษาอัมพาตเคลื่อนที่ สามารถดูแลผู้ป่วยที่มีอาการโรคหลอดเลือดสมอง (stroke) คือ ตาตก ปากเบี้ยว พูดไม่ชัด แขนขาอ่อนแรง แบบเบ็ดเสร็จในรถ ตั้งแต่เริ่มมีอาการ มีเครื่อง CT Scan ตลอดจนฉีดยา (RTPA) ได้ทันที และให้บริการในเขตกรุงเทพมหานคร โดยโทรแจ้ง 1669 ศูนย์เอราวัณ ทางศูนย์ฯ จะแจ้งมาที่รถเคลื่อนที่ แล้วส่งต่อข้อมูลให้หน่วย EMS ศิริราช เป็นผู้ประเมินและตามรถมาทันที และทุกอย่างจะรักษาจบในรถ โดยที่ รพ.ศิริราช เป็นโรงพยาบาลแห่งแรก และเป็นรถคันแรกของไทยที่เคลื่อนที่ไปหาผู้ป่วย
no shares
Public
1 Jun 2017
ทำไมต้องรู้จัก #โรคหลอดเลือดสมอง ?
โรคหลอดเลือดสมองเป็น สาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่ง ในหลายประเทศ สลับกับโรคหลอดเลือดหัวใจ แต่ทั้งสองโรคก็เป็นการเสียหายที่หลอดเลือดด้วยปัจจัยเสี่ยงเดียวกัน
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ https://goo.gl/q0X7yu
โรคหลอดเลือดสมองเป็น สาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่ง ในหลายประเทศ สลับกับโรคหลอดเลือดหัวใจ แต่ทั้งสองโรคก็เป็นการเสียหายที่หลอดเลือดด้วยปัจจัยเสี่ยงเดียวกัน
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ https://goo.gl/q0X7yu
no shares
Public
28 Nov 2016
โรคหลอดเลือดสมองเป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 ของคนไทย โดยสาเหตุมาจากพฤติกรรมสุขภาพที่ไม่ถูกต้องและไม่เหมาะสม เช่น การรับประทานอาหารเค็มจัด หวานจัด มันจัด
อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/796032
อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/796032
Add a comment...
วิธีสังเกตอาการโรคหลอดเลือดสมองเบื้องต้นง่ายๆ ตามหลัก F.A.S.T. https://www.youtube.com/watch?v=O7MRB-dXjEc
วิธีสังเกตอาการโรคหลอดเลือดสมองเบื้องต้นง่ายๆ ตามหลัก F.A.S.T.
no shares
Public
8 May 2017
รู้จักโรคหลอดเลือดสมองกันไหม
Stroke Warning Sign
รักใครอยากให้เขารู้แชร์วนไปครับ
Stroke Warning Sign
รักใครอยากให้เขารู้แชร์วนไปครับ
1669 Stroke Warning Signs, รหัสพิทักษ์หลอดเลือดสมอง
Public
11 Aug 2017
โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) หรือ อัมพฤกษ์ อัมพาต เฉียบพลัน
https://www.youtube.com/watch?v=GhheTiUH0xQ
https://www.youtube.com/watch?v=DPezFi4E1Ts
https://www.youtube.com/watch?v=GhheTiUH0xQ
https://www.youtube.com/watch?v=DPezFi4E1Ts
โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) Part 1
no shares
Public
14 May 2017
แอสไพรินอาจไม่เจ๋ง เท่าที่คิดในโรคอัมพฤกษ์เส้นเลือดสมองตีบ
ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
มติชน talk of the town
เขียนมา 3 ปีแล้ว
เดี๋ยวนี้ ดูจะเป็นตามนี้มากชึ้นเรื่อยๆ
แอสไพรินเป็นที่ทราบและรู้จักกันดีในรูปของยาต้านเกร็ดเลือด แม้ทำให้เลือดออกง่ายขึ้นหรือหยุดยากขึ้นบ้าง แต่มีสรรพคุณสำคัญในการป้องกันเส้นเลือดตีบในหัวใจและในสมอง
โดยปริมาณที่ใช้ในขณะเกิดมีอัมพฤกษ์เส้นเลือดตีบในสมองจะอยู่ในขนาด 300 มก. ต่อวัน และในระยะหลังจะใช้ปริมาณลดลงตั้งแต่ 75-81 มก เพื่อป้องกันการเกิดซ้ำ
รายงานในวารสารสมาคมแพทย์สหรัฐด้านประสาทวิทยา (JAMA neurology) (กุมภาพันธ์ 2556) จากคณะผู้วิจัยในออสเตรเลียพบว่า เกือบ 30 % ของผู้ป่วยอัมพฤกษ์เส้นเลือดตีบเฉียบพลันที่ได้รับแอสไพรินอยู่แล้วในจำนวนทั้งหมด 90 ราย (อายุเฉลี่ย 75 ปี) มีภาวะดื้อต่อแอสไพรินจากการตรวจทางห้องปฏิบัติการและผู้ป่วยเหล่านี้จะมีอาการรุนแรงของโรคมากกว่า รวมทั้งมีเนื้อสมองตายหรือผิดปกติกว้างกว่าในผู้ป่วยที่ไม่มีภาวะดื้อยา เมื่อดูจากคอมพิวเตอร์สมอง
ผลจากรายงานนี้พ้องกับรายงานจากประเทศจีน (กุมภาพันธ์ 2556) ณ ที่ประชุมโรคหลอดเลือดสมองนานาชาติ ที่พบว่าในผู้ป่วยอัมพฤกษ์ 5,170 ราย การป้องกันไม่ไห้เกิดอัมพฤกษ์ซ้ำด้วยการให้แอสไพรินเดี่ยวๆ (ปริมาณ 75 มก.ต่อวัน) จะดีไม่เท่ากับการใช้แอสไพรินคู่กับยาคลอพิโดเกรล (Clopidogrel) ทั้งนี้โดยที่ใช้ยาคู่กันเป็นเวลา 3 สัปดาห์ จากนั้นต่อด้วยคลอพิโดเกรลตัวเดียว โดยในกลุ่มยาคู่ตามด้วยคลอพิโดเกรล (ซึ่งกลไกการออกฤทธ์ต่างจากแอสไพริน) จะสามารถลดความเสี่ยงสัมพันธ์ของการเกิดอัมพฤกษ์ โรคหัวใจหรือการตายที่เกี่ยวเนื่องกับโรคของเส้นเลือดได้ถึง 30% และถ้าเจาะจงสำหรับอัมพฤกษ์อย่างเดียวจะลดได้ 23% เมื่อประเมินที่ 3 เดือน โดยไม่มีตกเลือดแทรกซ้อนมากขึ้นแต่อย่างใด
ถึงแม้ว่ารายงานทั้งสองจะมีขนาดจำนวนของผู้ป่วยไม่มากนัก แต่เริ่มจะอธิบายปรากฏการณ์ของการเกิดโรคซ้ำซ้อนขึ้นมาอีกได้ แม้ว่าจะให้แอสไพรินตั้งแต่ต้นทันท่วงที โดยที่ทั้งนี้ อาจจะเกิดจากภาวะดื้อ หรือ เกิดจากการที่แอสไพรินอาจไม่เก่งเท่าคลอพิโดเกรล ดังที่มีการพิสูจน์ไปแล้วในโรคเส้นเลือดหัวใจตีบซึ่งได้รับการรักษาด้วยบอลลูน และใส่ขดลวดถ่างหลอดเลือดก็จะได้รับยาคู่ แอสไพรินร่วมกับคลอพิโดเกรลไปตลอดอย่างน้อยเป็นปี
ถึง ณ ขณะนี้คงไม่ผิดถ้าจะให้ยาคู่ในตอนแรกตามด้วยคลอพิโดเกรล ในการรักษาผู้ป่วยอัมพฤกษ์ไปถึงอย่างน้อย 3 เดือน แต่จะดีจริงเพียงใดและควรต้องเปลี่ยนจากคลอพิโดเกรลไปเป็นแอสไพรินหรือไม่ในระยะหลังหรือคงคลอพิโดเกรลไปตลอด หรือถ้าจะใช้แอสไพรินจะต้องตรวจภาวะดื้อแอสไพรินเป็นระยะหรือไม่ คงต้องเฝ้าตามดูอย่างใจจด ใจจ่อ แล้วครับ
จะอย่างไรก็ตามที่ทำได้ด้วยตัวเอง ขณะนี้คือทานผัก ผลไม้ ถั่ว น้ำมัน มะกอก เป็นประจำทุกวัน อย่าอ้วน เลิกกินแป้งมาก เลิกน้ำหวาน น้ำอัดลม เป็นที่พิสูจน์แล้วในปี 2556 (วารสารนิวอิงแลนด์) ว่าจะสามารถป้องกันโรคหัวใจและอัมพฤกษ์ มากกว่าที่จะลดอาหารไขมันอย่างเดียวได้อย่างมากมาย
ทำได้หรือไม่ได้แล้วแต่นะครับ
FB Thiravat H.
ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
มติชน talk of the town
เขียนมา 3 ปีแล้ว
เดี๋ยวนี้ ดูจะเป็นตามนี้มากชึ้นเรื่อยๆ
แอสไพรินเป็นที่ทราบและรู้จักกันดีในรูปของยาต้านเกร็ดเลือด แม้ทำให้เลือดออกง่ายขึ้นหรือหยุดยากขึ้นบ้าง แต่มีสรรพคุณสำคัญในการป้องกันเส้นเลือดตีบในหัวใจและในสมอง
โดยปริมาณที่ใช้ในขณะเกิดมีอัมพฤกษ์เส้นเลือดตีบในสมองจะอยู่ในขนาด 300 มก. ต่อวัน และในระยะหลังจะใช้ปริมาณลดลงตั้งแต่ 75-81 มก เพื่อป้องกันการเกิดซ้ำ
รายงานในวารสารสมาคมแพทย์สหรัฐด้านประสาทวิทยา (JAMA neurology) (กุมภาพันธ์ 2556) จากคณะผู้วิจัยในออสเตรเลียพบว่า เกือบ 30 % ของผู้ป่วยอัมพฤกษ์เส้นเลือดตีบเฉียบพลันที่ได้รับแอสไพรินอยู่แล้วในจำนวนทั้งหมด 90 ราย (อายุเฉลี่ย 75 ปี) มีภาวะดื้อต่อแอสไพรินจากการตรวจทางห้องปฏิบัติการและผู้ป่วยเหล่านี้จะมีอาการรุนแรงของโรคมากกว่า รวมทั้งมีเนื้อสมองตายหรือผิดปกติกว้างกว่าในผู้ป่วยที่ไม่มีภาวะดื้อยา เมื่อดูจากคอมพิวเตอร์สมอง
ผลจากรายงานนี้พ้องกับรายงานจากประเทศจีน (กุมภาพันธ์ 2556) ณ ที่ประชุมโรคหลอดเลือดสมองนานาชาติ ที่พบว่าในผู้ป่วยอัมพฤกษ์ 5,170 ราย การป้องกันไม่ไห้เกิดอัมพฤกษ์ซ้ำด้วยการให้แอสไพรินเดี่ยวๆ (ปริมาณ 75 มก.ต่อวัน) จะดีไม่เท่ากับการใช้แอสไพรินคู่กับยาคลอพิโดเกรล (Clopidogrel) ทั้งนี้โดยที่ใช้ยาคู่กันเป็นเวลา 3 สัปดาห์ จากนั้นต่อด้วยคลอพิโดเกรลตัวเดียว โดยในกลุ่มยาคู่ตามด้วยคลอพิโดเกรล (ซึ่งกลไกการออกฤทธ์ต่างจากแอสไพริน) จะสามารถลดความเสี่ยงสัมพันธ์ของการเกิดอัมพฤกษ์ โรคหัวใจหรือการตายที่เกี่ยวเนื่องกับโรคของเส้นเลือดได้ถึง 30% และถ้าเจาะจงสำหรับอัมพฤกษ์อย่างเดียวจะลดได้ 23% เมื่อประเมินที่ 3 เดือน โดยไม่มีตกเลือดแทรกซ้อนมากขึ้นแต่อย่างใด
ถึงแม้ว่ารายงานทั้งสองจะมีขนาดจำนวนของผู้ป่วยไม่มากนัก แต่เริ่มจะอธิบายปรากฏการณ์ของการเกิดโรคซ้ำซ้อนขึ้นมาอีกได้ แม้ว่าจะให้แอสไพรินตั้งแต่ต้นทันท่วงที โดยที่ทั้งนี้ อาจจะเกิดจากภาวะดื้อ หรือ เกิดจากการที่แอสไพรินอาจไม่เก่งเท่าคลอพิโดเกรล ดังที่มีการพิสูจน์ไปแล้วในโรคเส้นเลือดหัวใจตีบซึ่งได้รับการรักษาด้วยบอลลูน และใส่ขดลวดถ่างหลอดเลือดก็จะได้รับยาคู่ แอสไพรินร่วมกับคลอพิโดเกรลไปตลอดอย่างน้อยเป็นปี
ถึง ณ ขณะนี้คงไม่ผิดถ้าจะให้ยาคู่ในตอนแรกตามด้วยคลอพิโดเกรล ในการรักษาผู้ป่วยอัมพฤกษ์ไปถึงอย่างน้อย 3 เดือน แต่จะดีจริงเพียงใดและควรต้องเปลี่ยนจากคลอพิโดเกรลไปเป็นแอสไพรินหรือไม่ในระยะหลังหรือคงคลอพิโดเกรลไปตลอด หรือถ้าจะใช้แอสไพรินจะต้องตรวจภาวะดื้อแอสไพรินเป็นระยะหรือไม่ คงต้องเฝ้าตามดูอย่างใจจด ใจจ่อ แล้วครับ
จะอย่างไรก็ตามที่ทำได้ด้วยตัวเอง ขณะนี้คือทานผัก ผลไม้ ถั่ว น้ำมัน มะกอก เป็นประจำทุกวัน อย่าอ้วน เลิกกินแป้งมาก เลิกน้ำหวาน น้ำอัดลม เป็นที่พิสูจน์แล้วในปี 2556 (วารสารนิวอิงแลนด์) ว่าจะสามารถป้องกันโรคหัวใจและอัมพฤกษ์ มากกว่าที่จะลดอาหารไขมันอย่างเดียวได้อย่างมากมาย
ทำได้หรือไม่ได้แล้วแต่นะครับ
FB Thiravat H.
2 ปีกว่าจะเขียนได้... แชร์ประสบการณ์เกือบตาย จากหลอดเลือดสมองแตกจนอัมพาต แต่วันนี้กลับมาดูแลครอบครัวได้
ก่อนอื่นต้องขอโทษก่อนนะครับ ถ้ารู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง เขียนตามลำดับความคิดที่พอจำเรื่องราวได้ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขียนเรื่องราวอะไรยาวๆต่อสาธารณะ โดยเฉพาะลงPANTIP
แค่ไม่อยากให้ใครต้องทนทุกข์กับร่างกายที่ไม่สามารถใช้งานได้เต็มที่เหมือนเดิม
จากที่ช่วยเหลือตัวเองได้ กลายเป็นภาระ
แต่อยากให้คนอื่นได้รับรู้และตระหนักถึงโรคเส้นเลือดสมอง และการดูแลผู้ป่วยที่อยู่ในอาการแบบนี้ รวมถึงใครที่แข็งแรงดีวันนี้ แต่หากมีพฤติกรรมเหมือนผมสมัยก่อน ผมอยากเตือนว่าอย่าประมาทเลยครับ เพราะช่วงเวลาความเป็นความตายนั้นแบบมันน่ากลัวจริงๆครับ
…
ผมสูง 174 น้ำหนัก 88 กิโลกรัม จัดว่าอ้วนมีพุง อ้วนกลม
มี 1 ภรรยา ลูก 2 คน ใช้ชีวิตปกติ กิน ดื่ม เที่ยวแบบคนทำงานทั่วไป
นัดเจอกันกับเพื่อนก็ตามร้านอาหาร ผมไม่สูบบุหรี่และไม่ดื่มเหล้าครับ
สายชาบู ปิ้งย่าง สุกี้ บุฟเฟต์ไม่ยั้ง…
…
ก่อนหน้าที่ร่างกายจะส่งสัญญาณเตือนผมมาว่า เส้นเลือดจะแตกแล้วนะ
ผมเคยป่วยเป็นโรคตะกอนหินปูนในหูร่วง คล้ายโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน
เกิดจากส่วนตัวชอบนอนเล่นมือถือ
จึงเป็นที่มาของอาการตะกอนหินปูนนี้ หลุดเข้าไปในรูหูที่มีกระดูกรูปค้อน ทั่ง โกลน
กระดูกชิ้นเล็กๆที่เรารู้กันว่า เป็นแหล่งรับเสียง
ตะกอนชิ้นเล็กๆนี้พอหลุดเข้าไปในกระดูก 3 ชิ้นที่ทำหน้าที่รับเสียง
ทำให้ดวงตาแกว่งขึ้นบนลงล่างตลอดเวลา ปวดหัว หูอื้อ
จนต้องนอนโรงพยาบาลรักษาตัว
...
จนกลางปี 58
คราวนี้สัญญาณเส้นเลือดสมองจะแตกส่งมาจริงๆละ
ก็คิดว่ามก็ไม่ได้เอะใจอะไร คิดว่า เกิดจากโรคตะกอนหินปูนร่วงอีก
อาการมีดังนี้
เริ่มขาชา
ขาชาครั้งละ 4 – 5 วัน ประมาณ 2 – 3 อาทิตย์ก็เป็นครั้งนึงสลับกันไป
อาการมึนหัวบ่อยๆ
อาการวูบภาพตัด เหมือนเครื่องคอมชัตดาวน์ประมาณ 1 วินาที แล้วกลับมาสู่สภาพปกติ
จนหนักๆเข้าก่อนที่จะเจอเส้นเลือดสมองแตก
ถึงขั้นลิ้นแห้ง ไม่มีน้ำลายจนลิ้นกลายเป็นเกล็ด
...
จนมาวันที่ 30 ธ.ค. 58
ไปทำงานกลับมา นัดแฟนกับพี่ชายแฟนกินข้าวกันเหมือนเดิม
แต่วันนี้รู้สึกปวดหัว อาจเพราะเหนื่อยและเครียดเรื่องงานด้วย
พอกลับบ้าน ก็รีบกินยาความดันและรีบนอนตั้งแต่ 4 ทุ่ม
เพราะช่วงนั้นขายของเล่น กะว่าวันสิ้นปีจะต้องขายดีแน่ๆ
...
จนเวลาตี 2 หรือเช้าตรู่ของวันที่ 31 ธ.ค.58
ลุกมาเข้าห้องน้ำ ปวดหัวเหมือนตอนป่วยเป็นตะกอนหินที่หู
ก็พยายามหมุนหัว ท่ากายบริหารที่คุณหมอแนะนำให้ทำตอนหลังจากป่วยโรคตะกอนหินนี้
แต่อาการไม่ดีขึ้นเลย แฟนก็ให้ไปหาหมอ
จนตี 4 อาเจียนอีกรอบ คราวนี้อ้วกจนไม่มีอะไรให้ออกแล้ว
พอลุกขึ้นยืนแค่นั้น คราวนี้ยืนพิงกำแพงห้องน้ำ
อยู่ๆมือและขาซ้ายก็ไม่มีแรง
จากที่ยันกำแพงไว้ด้วยมือซ้าย ก็ไม่มีแรงจนล้มในห้องน้ำ
จากนั้นก็น็อคไม่รู้สึกตัวไปเลย
…
ตอนหลังแฟนเล่าให้ฟังว่า ได้โทรเรียกรถพยาบาลมารับ
โชคดีที่วันนั้นไม่ใช่วันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่
ถ้าเป็นวันปีใหม่คงมีรถพยาบาลไม่มากเท่ากับวันนั้น
เพราะเจ้าหน้าที่ก็ต้องหยุดบ้าง
สภาพตอนนั้นที่แฟนเล่าบอกว่า
ต้องเรียกให้ลูกมาช่วยพยุงลงจากชั้นบน
ลงมารถพยาบาลที่จอดชั้นล่าง
ตอนที่หมอมาปากด้านซ้ายเริ่มเบี้ยว
หมอวัดน้ำตาล บอกว่า ขึ้นไป 350 ความดันก็สูง
ไม่ใช่ตะกอนหินแล้วอาการแบบนี้ แต่เป็นเส้นเลือดสมองแตก!!!
…
(นี่ครับ สภาพผมจากล้องมือถือของแฟน ตอนนี้เรียกว่าหมดสภาพจริงๆครับ)
ตอนมาถึงโรงพยาบาลก็สแกนสมอง แต่กลับไม่เจอจุดที่เลือดออกในสมอง จนหมอเฉพาะทางมาอ่านฟิล์มเอกซเรย์อีกครั้ง และขยายรายละเอียดดูบอกว่า
เส้นเลือดฝอยที่ก้านสมองเส้นที่ 5,6,7 มีจุดเล็กๆเหมือนปากกาจุดไว้
นั่นแหละปัญหาเลย
ประมาณ 10 โมงเช้าของวันที่ 31 ธ.ค. 58
ผมมารู้สึกตัวแบบงงๆอีกทีนอนอยู่บนเตียง
ไม่มีแรง ยกแขนขาด้านซ้ายไม่ได้ พูดอะไรมากไม่ได้ ทำไรก็เหนื่อย หายใจไม่ทัน และตาด้านซ้ายมองเห็นภาพซ้อนตลอดเวลา เหมือนมีใครเอานิ้วมาบัง
...
แว็บแรกคือ เราเป็นอะไร ห่วงลูกเมีย ห่วงแม่ ห่วงครอบครัว ห่วงลูกน้อง ห่วงกิจการ
เราจะเป็นแบบนี้ไม่ได้
ถ้าเราล้ม มันเป็นโดมิโน่ที่ล้มตามแน่ๆเลย
สิ่งหนึ่งที่คิดได้คือ
แม้เราจะโชคร้ายที่เป็นแบบนี้
แต่ยังโชคดีที่พระเจ้ายังไม่ได้เอาสมองของเราไปด้วย
เรายังมีรับรู้ ยังมีสติสัมปัญชัญญะ
ยังมองเห็นและได้ยินเสียง
…
“สามีคุณอยู่ในภาวะเสี่ยง หากพ้น 72 ชั่วโมงนี้ไปได้ถือว่ารอด
ตอนนี้ถือว่า สามารถตายได้ทุกเมื่อ”
นี่คือเสียงแรกที่ผมได้ยิน
จากหมอคุยกับแฟนผมที่หน้าห้องพัก
ตอนผมได้ยินแบบนี้ บอกตัวเองอย่างเดียวเลยครับว่า
จะตายไม่ได้
เท่ากับว่า ถ้าผมมีชีวิตอยู่ถึงวันที่ 2 ม.ค.59 เท่ากับว่า ผมจะมีชีวิตอยู่ ผมพยายามทำทุกอย่างที่ทำได้ ฝึกขยับไหล่ ขยับแขนขาทันทีเลย
บอกตรงๆเลยนะครับ
“กลัวตาย”
…
ผมนอนโรงพยาบาล 11 คืน จนออกจากรพ.วันที่ 12 ม.ค.59
ในช่วงนั้นผมทั้งฝึกกายภาพ และช่วงนั้นทำให้ผมคิดอะไรได้หลายอย่าง
จากที่ไม่เคยให้ความสำคัญกับร่างกาย กับการกิน กับการใช้ชีวิต
การเฉียดตายครั้งนี้ของผม
…
เรื่องความเครียด ก็มีบ้างแหละครับ ทำงานมันก็ต้องมีบ้าง
มีบริษัท มีลูกน้องต้องรับผิดชอบพวกเค้า
เครียดมากหากไม่มีอะไรทำ ดังนั้นชีวิตผมกับแฟนต้องหาอะไรทำตลอด
ถ้าไม่ทำอยู่ว่างๆจะเครียดมาก
ด้วยความเป็นคนไม่ฉลาด แต่อาศัยอดทนมุ่งมั่น
ทำอะไรต้องเอาให้สุด จะได้ไม่เสียใจทีหลังว่าไม่ได้ทำ
ชอบความท้าทาย ไม่กลัวเจ๊ง ลุยให้สุดก่อน ถ้ามันไม่ใช่ค่อยว่ากัน
เคยทำมาทั้งบริษัทออแกไนซ์ ร้านอาหาร
ร้านรับส่งไปรษณีย์ ร้านขายของเล่น บริษัทตกแต่งภายใน
แต่มาถึงที่เครียดหนักคือ โรงงานทำเฟอร์นิเจอร์ เพื่อรองรับบริษัทตกแต่งภายในของเรา ที่เครียดเพราะ การบริหารงานที่นั่นมีปัญหาบ่อยครั้ง
แต่ทุกกิจการที่ดูแลผมสนุกไปกับมัน
หรืออาจเป็นความเครียดที่สะสมไม่รู้ตัว
แต่ทุกวันนี้จะรู้ตัว และเตือนตัวเองให้มีลิมิต จบงานคือจบ
ไม่เครียดกับมันเหมือนเมื่อก่อน
ห้องนอนคือห้องปลอดความเครียด
ความเครียดทำร้ายเราได้ ถ้าเราอนุญาตให้มันเข้ามาในสมองเรา
…
แต่ความเครียดมันเป็นต้นเหตุแค่ 10%
แต่อีก 90% คือเรื่องกินครับ
หมอบอกผมว่า
ความเครียดเป็นศัตรู แค่หัวไม้ขีดที่เผาเรา
แต่อาหารที่เรากินเข้าไป มันเผาไหม้ร่างเรายิ่งกว่าไม้ขีดอีกครับ
พวกเรารู้แหละว่าอะไรดีไม่ดี แต่ก็ไม่กินไงครับจริงไหม
เหมือนผมแหละ ตอนนี้เกือบเห็นโลงศพแล้ว
ก็หลั่งน้ำตาแล้ว เลยอยากบอกต่อคนอื่นครับ
มันน่ากลัวจริง
ส่วนตัวผมมีโรคประจำตัวแบบคนทั่วไปคือ เบาหวานเป็นกรรมพันธุ์
แต่ผมกลับไม่เชื่อว่ามันเกี่ยวกับกรรมพันธ์ุ
จนถึงตอนนี้ผมว่า ที่ผมเจอเกิดจากปากผมเองครับ
เพราะเป็นคนกินทุกอย่างที่ขวางหน้า
ความดันโลหิตสูง คลอเลสเตอรอลพุ่งก็ตามมาด้วยเช่นกัน
คลอเลสเตอรอลเคยพุ่งถึง 400 (จำหน่วยไม่ได้)
ไปหาหมอครั้งนึง ก็ให้ยามาทาน
ส่วนตัวก็ดื้อไม่ทานยา เพราะคิดว่า ยาไม่ใช่ทางแก้ปัญหา แถมกินนนานๆ ส่งผลสียต่อตับ
จะตรวจร่างกายทีก็เตรียมตัวสัก 2-3 อาทิตย์ กินอาหารสุขภาพหน่อยผลการตรวจสุขภาพจะได้ออกมาดี
เชื่อเหอะครับ หลายคนก็ทำแบบผม
เมนูโปรด…ผมก็กินไก่ทอดทุกวัน
เรียกว่า เบรคช่วงบ่ายแก่ๆ ไก่ทอดต้องมา กินด้วยแจกลูกน้องด้วย
ส่วนตัวเกิดวันพฤหัส ก็มีกินมังสวิรัติกับเค้า 1 วัน ผักก็กินนะไม่ใช่ไม่กิน
ขากินขนาดนี้ มันไม่ใช่แค่ไก่ทอด
ขนมหวานของโปรดคือ บราวนี่
(เห็นแล้วมือไม้สั่น)
น้ำเย็นจัดๆกินตลอด ต้องเย็นจัดๆมันชื่นใจหนิครับ
เรียกว่า ของเหลือในตู้เย็นมีอะไรก็กิน
กินทุกอย่างที่ขวางหน้า เพราะเหลือทิ้งก็เสียดาย
ถึงตอนนี้ ใครกินแบบผมบ้างครับ
ระวังตัวหน่อยนะครับ
…
สัญญาณเตือนของร่างกายที่มาเตือนมาก่อน
มีทั้งขาชา มึนหัว ปวดหัว เพิ่งรู้ทีหลังว่า
นั่นคือเส้นเลือดฝอยในสมองส่วนหน้าได้แตกแล้ว
ถึงทำให้มีอาการเหล่านั้น
แต่ส่วนหน้าอาจไม่กระทบต่อการเคลื่อนไหวของร่างกายเท่ากับครั้งล่าสุดที่เจอ
…
ออกกำลังกายก็ออกบ้างนะครับ
เข้าฟิตเนสตามใต้คอนโด ไม่กล้าไปออกตามฟิตเนส
เพราะอายหุ่นตัวเอง
เคยเจอสายตาเทรนเนอร์มองมา อารมณ์แบบรู้จากสายตาเลยว่า พี่อ้วนขนาดนี้ ให้ผมเทรนให้เถอะ...55
...
นี่คือ สาเหตุที่ทำให้เส้นเลือดในสมองแตก เท่าที่ผมรวบรวมสาเหตุได้ ทั้งการกินแบบทุกอย่างที่ขวางหน้า
ผสมกับความเครียดที่มีกับงานมาก โดยบำบัดด้วยการกิน
ออกกำลังกายที่แบบเรียกว่า ไม่ออกเลยมั้ง
เพราะถ้าออกอย่างน้อยก็ต้อง 20 – 30 นาทีต่อครั้ง สัปดาห์ละ 3 วันขึ้นไป
ผมนี่แทบไม่ถึงตามเกณฑ์เลย
เพราะทั้งขี้เกียจ ไม่มีเวลา และกว่าจะพาตัวเองออกกำลังกายได้
ไปหาอะไรกินง่ายกว่าจริงไหมครับ
...
วันที่ออกจากโรงพยาบาลต้องนั่งรถเข็น
หาหมอทั้งแผนปัจจุบัน ทำกายภาพ และสายแพทย์แผนจีนแพทย์ทางเลือก
จนอาการเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ จากเดินไม่ได้ ก็เริ่มเดินได้ ใช้ไม้เท้า จนเดินได้ด้วยตัวเอง
ผมกลับมามีวันนี้ เพราะทำหลายอย่างมาก
หลังจากนั้นก็พยายามปล่อยวางความเครียด
ปฏิวัติการกิน ปฏิวัติการกินหนึ่งที่ผมทำคือ หาข้อมูลการกินอย่างถูกต้อง
กินเหมาะกับร่างกาย
และออกกำลังกายมากขึ้นเท่าที่จะทำได้
ช่วงปี 59 อาการเริ่มดีขึ้นก็เริ่มเดินลู่ ทุกวัน หาทั้งหมอแผนปัจจุบัน และเลือกฝังเข็มด้วย
เรียกว่าชีวิตช่วงนั้น ใน 7 วัน หาหมอสัก 5 วัน บางวันหาเช้าคนนึง บ่ายอีกคน
...
(ชัดบ้าง สั่นบ้าง ก็เพราะช่างภาพส่วนตัว(ภรรยา)ถ่ายให้ครับ 555 )
ผลจากการปล่อยวางไม่เครียด เลือกกิน และออกกำลังกายประมาณ 20 นาที
ตอนนี้ผมสามารถช่วยเหลือตัวเองในชีวิตประจำวันได้แล้ว
สามารถไปไหนมาไหนคนเดียวได้ ใช้ชีวิตทุกอย่างเกือบปกติ
น้ำหนักจากช่วงออกโรงพยาบาล 82 กิโลกรัมจนตอนนี้เหลือ 72 กิโลกรัม
แต่สุขภาพดีขึ้นเยอะ
จนหมอหลายคนก็ถามว่า ไปทำอะไรมา
ผมก็ได้แต่อมยิ้ม และ บอกเคล็ดลับไปแค่
ปล่อยวาง เลือกกิน และออกกำลังกายให้เป็น
แค่นี้คุณก็ห่างไกลจากโรคหลอดเลือดสมองแตก
โรคอัมพฤต อัมพาต
เพราะคุณจะได้ไม่ต้องมาเฉียดตายแบบผมนะครับ
ไม่อยากบอกว่าตัวเองโชคดี เพราะไม่มีใครอยากโชคร้าย
แต่ผมเชื่อว่าทุกคนสามารถเลือกชีวิตตัวเองได้ โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพครับ
3 ปัจจัยที่ผมคิดว่า เป็นต้นเหตุโรคนี้ที่เกิดขึ้นสำหรับผม
ก็คงเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคนี้กับคนอื่นได้เช่นกัน
ดังนั้นอย่าประมาทเลยนะครับ
มันไม่ยากเกินไป ผมทำได้คุณก็ทำได้นะครับ
...
ขอให้เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ให้กับใครอีกหลายคนนะครับ
อย่าใช้ชีวิตเต็มที่แบบประมาทแบบผมนะครับ
เหมือนที่ผมบอกลูกน้องอยู่เสมอว่า เราเป็นคนทำงานออกแบบ
เหมือนกับคนที่ทาสีให้โลกใบนี้ให้น่าอยู่สดใส
แล้วถ้าเราไม่ดูแลตัวเราเองให้ดี
แล้วจะทาโลกนี้ให้สดใสได้อย่างไร
https://m.pantip.com/topic/36824908
ก่อนอื่นต้องขอโทษก่อนนะครับ ถ้ารู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง เขียนตามลำดับความคิดที่พอจำเรื่องราวได้ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขียนเรื่องราวอะไรยาวๆต่อสาธารณะ โดยเฉพาะลงPANTIP
แค่ไม่อยากให้ใครต้องทนทุกข์กับร่างกายที่ไม่สามารถใช้งานได้เต็มที่เหมือนเดิม
จากที่ช่วยเหลือตัวเองได้ กลายเป็นภาระ
แต่อยากให้คนอื่นได้รับรู้และตระหนักถึงโรคเส้นเลือดสมอง และการดูแลผู้ป่วยที่อยู่ในอาการแบบนี้ รวมถึงใครที่แข็งแรงดีวันนี้ แต่หากมีพฤติกรรมเหมือนผมสมัยก่อน ผมอยากเตือนว่าอย่าประมาทเลยครับ เพราะช่วงเวลาความเป็นความตายนั้นแบบมันน่ากลัวจริงๆครับ
…
ผมสูง 174 น้ำหนัก 88 กิโลกรัม จัดว่าอ้วนมีพุง อ้วนกลม
มี 1 ภรรยา ลูก 2 คน ใช้ชีวิตปกติ กิน ดื่ม เที่ยวแบบคนทำงานทั่วไป
นัดเจอกันกับเพื่อนก็ตามร้านอาหาร ผมไม่สูบบุหรี่และไม่ดื่มเหล้าครับ
สายชาบู ปิ้งย่าง สุกี้ บุฟเฟต์ไม่ยั้ง…
…
ก่อนหน้าที่ร่างกายจะส่งสัญญาณเตือนผมมาว่า เส้นเลือดจะแตกแล้วนะ
ผมเคยป่วยเป็นโรคตะกอนหินปูนในหูร่วง คล้ายโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน
เกิดจากส่วนตัวชอบนอนเล่นมือถือ
จึงเป็นที่มาของอาการตะกอนหินปูนนี้ หลุดเข้าไปในรูหูที่มีกระดูกรูปค้อน ทั่ง โกลน
กระดูกชิ้นเล็กๆที่เรารู้กันว่า เป็นแหล่งรับเสียง
ตะกอนชิ้นเล็กๆนี้พอหลุดเข้าไปในกระดูก 3 ชิ้นที่ทำหน้าที่รับเสียง
ทำให้ดวงตาแกว่งขึ้นบนลงล่างตลอดเวลา ปวดหัว หูอื้อ
จนต้องนอนโรงพยาบาลรักษาตัว
...
จนกลางปี 58
คราวนี้สัญญาณเส้นเลือดสมองจะแตกส่งมาจริงๆละ
ก็คิดว่ามก็ไม่ได้เอะใจอะไร คิดว่า เกิดจากโรคตะกอนหินปูนร่วงอีก
อาการมีดังนี้
เริ่มขาชา
ขาชาครั้งละ 4 – 5 วัน ประมาณ 2 – 3 อาทิตย์ก็เป็นครั้งนึงสลับกันไป
อาการมึนหัวบ่อยๆ
อาการวูบภาพตัด เหมือนเครื่องคอมชัตดาวน์ประมาณ 1 วินาที แล้วกลับมาสู่สภาพปกติ
จนหนักๆเข้าก่อนที่จะเจอเส้นเลือดสมองแตก
ถึงขั้นลิ้นแห้ง ไม่มีน้ำลายจนลิ้นกลายเป็นเกล็ด
...
จนมาวันที่ 30 ธ.ค. 58
ไปทำงานกลับมา นัดแฟนกับพี่ชายแฟนกินข้าวกันเหมือนเดิม
แต่วันนี้รู้สึกปวดหัว อาจเพราะเหนื่อยและเครียดเรื่องงานด้วย
พอกลับบ้าน ก็รีบกินยาความดันและรีบนอนตั้งแต่ 4 ทุ่ม
เพราะช่วงนั้นขายของเล่น กะว่าวันสิ้นปีจะต้องขายดีแน่ๆ
...
จนเวลาตี 2 หรือเช้าตรู่ของวันที่ 31 ธ.ค.58
ลุกมาเข้าห้องน้ำ ปวดหัวเหมือนตอนป่วยเป็นตะกอนหินที่หู
ก็พยายามหมุนหัว ท่ากายบริหารที่คุณหมอแนะนำให้ทำตอนหลังจากป่วยโรคตะกอนหินนี้
แต่อาการไม่ดีขึ้นเลย แฟนก็ให้ไปหาหมอ
จนตี 4 อาเจียนอีกรอบ คราวนี้อ้วกจนไม่มีอะไรให้ออกแล้ว
พอลุกขึ้นยืนแค่นั้น คราวนี้ยืนพิงกำแพงห้องน้ำ
อยู่ๆมือและขาซ้ายก็ไม่มีแรง
จากที่ยันกำแพงไว้ด้วยมือซ้าย ก็ไม่มีแรงจนล้มในห้องน้ำ
จากนั้นก็น็อคไม่รู้สึกตัวไปเลย
…
ตอนหลังแฟนเล่าให้ฟังว่า ได้โทรเรียกรถพยาบาลมารับ
โชคดีที่วันนั้นไม่ใช่วันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่
ถ้าเป็นวันปีใหม่คงมีรถพยาบาลไม่มากเท่ากับวันนั้น
เพราะเจ้าหน้าที่ก็ต้องหยุดบ้าง
สภาพตอนนั้นที่แฟนเล่าบอกว่า
ต้องเรียกให้ลูกมาช่วยพยุงลงจากชั้นบน
ลงมารถพยาบาลที่จอดชั้นล่าง
ตอนที่หมอมาปากด้านซ้ายเริ่มเบี้ยว
หมอวัดน้ำตาล บอกว่า ขึ้นไป 350 ความดันก็สูง
ไม่ใช่ตะกอนหินแล้วอาการแบบนี้ แต่เป็นเส้นเลือดสมองแตก!!!
…
(นี่ครับ สภาพผมจากล้องมือถือของแฟน ตอนนี้เรียกว่าหมดสภาพจริงๆครับ)
ตอนมาถึงโรงพยาบาลก็สแกนสมอง แต่กลับไม่เจอจุดที่เลือดออกในสมอง จนหมอเฉพาะทางมาอ่านฟิล์มเอกซเรย์อีกครั้ง และขยายรายละเอียดดูบอกว่า
เส้นเลือดฝอยที่ก้านสมองเส้นที่ 5,6,7 มีจุดเล็กๆเหมือนปากกาจุดไว้
นั่นแหละปัญหาเลย
ประมาณ 10 โมงเช้าของวันที่ 31 ธ.ค. 58
ผมมารู้สึกตัวแบบงงๆอีกทีนอนอยู่บนเตียง
ไม่มีแรง ยกแขนขาด้านซ้ายไม่ได้ พูดอะไรมากไม่ได้ ทำไรก็เหนื่อย หายใจไม่ทัน และตาด้านซ้ายมองเห็นภาพซ้อนตลอดเวลา เหมือนมีใครเอานิ้วมาบัง
...
แว็บแรกคือ เราเป็นอะไร ห่วงลูกเมีย ห่วงแม่ ห่วงครอบครัว ห่วงลูกน้อง ห่วงกิจการ
เราจะเป็นแบบนี้ไม่ได้
ถ้าเราล้ม มันเป็นโดมิโน่ที่ล้มตามแน่ๆเลย
สิ่งหนึ่งที่คิดได้คือ
แม้เราจะโชคร้ายที่เป็นแบบนี้
แต่ยังโชคดีที่พระเจ้ายังไม่ได้เอาสมองของเราไปด้วย
เรายังมีรับรู้ ยังมีสติสัมปัญชัญญะ
ยังมองเห็นและได้ยินเสียง
…
“สามีคุณอยู่ในภาวะเสี่ยง หากพ้น 72 ชั่วโมงนี้ไปได้ถือว่ารอด
ตอนนี้ถือว่า สามารถตายได้ทุกเมื่อ”
นี่คือเสียงแรกที่ผมได้ยิน
จากหมอคุยกับแฟนผมที่หน้าห้องพัก
ตอนผมได้ยินแบบนี้ บอกตัวเองอย่างเดียวเลยครับว่า
จะตายไม่ได้
เท่ากับว่า ถ้าผมมีชีวิตอยู่ถึงวันที่ 2 ม.ค.59 เท่ากับว่า ผมจะมีชีวิตอยู่ ผมพยายามทำทุกอย่างที่ทำได้ ฝึกขยับไหล่ ขยับแขนขาทันทีเลย
บอกตรงๆเลยนะครับ
“กลัวตาย”
…
ผมนอนโรงพยาบาล 11 คืน จนออกจากรพ.วันที่ 12 ม.ค.59
ในช่วงนั้นผมทั้งฝึกกายภาพ และช่วงนั้นทำให้ผมคิดอะไรได้หลายอย่าง
จากที่ไม่เคยให้ความสำคัญกับร่างกาย กับการกิน กับการใช้ชีวิต
การเฉียดตายครั้งนี้ของผม
…
เรื่องความเครียด ก็มีบ้างแหละครับ ทำงานมันก็ต้องมีบ้าง
มีบริษัท มีลูกน้องต้องรับผิดชอบพวกเค้า
เครียดมากหากไม่มีอะไรทำ ดังนั้นชีวิตผมกับแฟนต้องหาอะไรทำตลอด
ถ้าไม่ทำอยู่ว่างๆจะเครียดมาก
ด้วยความเป็นคนไม่ฉลาด แต่อาศัยอดทนมุ่งมั่น
ทำอะไรต้องเอาให้สุด จะได้ไม่เสียใจทีหลังว่าไม่ได้ทำ
ชอบความท้าทาย ไม่กลัวเจ๊ง ลุยให้สุดก่อน ถ้ามันไม่ใช่ค่อยว่ากัน
เคยทำมาทั้งบริษัทออแกไนซ์ ร้านอาหาร
ร้านรับส่งไปรษณีย์ ร้านขายของเล่น บริษัทตกแต่งภายใน
แต่มาถึงที่เครียดหนักคือ โรงงานทำเฟอร์นิเจอร์ เพื่อรองรับบริษัทตกแต่งภายในของเรา ที่เครียดเพราะ การบริหารงานที่นั่นมีปัญหาบ่อยครั้ง
แต่ทุกกิจการที่ดูแลผมสนุกไปกับมัน
หรืออาจเป็นความเครียดที่สะสมไม่รู้ตัว
แต่ทุกวันนี้จะรู้ตัว และเตือนตัวเองให้มีลิมิต จบงานคือจบ
ไม่เครียดกับมันเหมือนเมื่อก่อน
ห้องนอนคือห้องปลอดความเครียด
ความเครียดทำร้ายเราได้ ถ้าเราอนุญาตให้มันเข้ามาในสมองเรา
…
แต่ความเครียดมันเป็นต้นเหตุแค่ 10%
แต่อีก 90% คือเรื่องกินครับ
หมอบอกผมว่า
ความเครียดเป็นศัตรู แค่หัวไม้ขีดที่เผาเรา
แต่อาหารที่เรากินเข้าไป มันเผาไหม้ร่างเรายิ่งกว่าไม้ขีดอีกครับ
พวกเรารู้แหละว่าอะไรดีไม่ดี แต่ก็ไม่กินไงครับจริงไหม
เหมือนผมแหละ ตอนนี้เกือบเห็นโลงศพแล้ว
ก็หลั่งน้ำตาแล้ว เลยอยากบอกต่อคนอื่นครับ
มันน่ากลัวจริง
ส่วนตัวผมมีโรคประจำตัวแบบคนทั่วไปคือ เบาหวานเป็นกรรมพันธุ์
แต่ผมกลับไม่เชื่อว่ามันเกี่ยวกับกรรมพันธ์ุ
จนถึงตอนนี้ผมว่า ที่ผมเจอเกิดจากปากผมเองครับ
เพราะเป็นคนกินทุกอย่างที่ขวางหน้า
ความดันโลหิตสูง คลอเลสเตอรอลพุ่งก็ตามมาด้วยเช่นกัน
คลอเลสเตอรอลเคยพุ่งถึง 400 (จำหน่วยไม่ได้)
ไปหาหมอครั้งนึง ก็ให้ยามาทาน
ส่วนตัวก็ดื้อไม่ทานยา เพราะคิดว่า ยาไม่ใช่ทางแก้ปัญหา แถมกินนนานๆ ส่งผลสียต่อตับ
จะตรวจร่างกายทีก็เตรียมตัวสัก 2-3 อาทิตย์ กินอาหารสุขภาพหน่อยผลการตรวจสุขภาพจะได้ออกมาดี
เชื่อเหอะครับ หลายคนก็ทำแบบผม
เมนูโปรด…ผมก็กินไก่ทอดทุกวัน
เรียกว่า เบรคช่วงบ่ายแก่ๆ ไก่ทอดต้องมา กินด้วยแจกลูกน้องด้วย
ส่วนตัวเกิดวันพฤหัส ก็มีกินมังสวิรัติกับเค้า 1 วัน ผักก็กินนะไม่ใช่ไม่กิน
ขากินขนาดนี้ มันไม่ใช่แค่ไก่ทอด
ขนมหวานของโปรดคือ บราวนี่
(เห็นแล้วมือไม้สั่น)
น้ำเย็นจัดๆกินตลอด ต้องเย็นจัดๆมันชื่นใจหนิครับ
เรียกว่า ของเหลือในตู้เย็นมีอะไรก็กิน
กินทุกอย่างที่ขวางหน้า เพราะเหลือทิ้งก็เสียดาย
ถึงตอนนี้ ใครกินแบบผมบ้างครับ
ระวังตัวหน่อยนะครับ
…
สัญญาณเตือนของร่างกายที่มาเตือนมาก่อน
มีทั้งขาชา มึนหัว ปวดหัว เพิ่งรู้ทีหลังว่า
นั่นคือเส้นเลือดฝอยในสมองส่วนหน้าได้แตกแล้ว
ถึงทำให้มีอาการเหล่านั้น
แต่ส่วนหน้าอาจไม่กระทบต่อการเคลื่อนไหวของร่างกายเท่ากับครั้งล่าสุดที่เจอ
…
ออกกำลังกายก็ออกบ้างนะครับ
เข้าฟิตเนสตามใต้คอนโด ไม่กล้าไปออกตามฟิตเนส
เพราะอายหุ่นตัวเอง
เคยเจอสายตาเทรนเนอร์มองมา อารมณ์แบบรู้จากสายตาเลยว่า พี่อ้วนขนาดนี้ ให้ผมเทรนให้เถอะ...55
...
นี่คือ สาเหตุที่ทำให้เส้นเลือดในสมองแตก เท่าที่ผมรวบรวมสาเหตุได้ ทั้งการกินแบบทุกอย่างที่ขวางหน้า
ผสมกับความเครียดที่มีกับงานมาก โดยบำบัดด้วยการกิน
ออกกำลังกายที่แบบเรียกว่า ไม่ออกเลยมั้ง
เพราะถ้าออกอย่างน้อยก็ต้อง 20 – 30 นาทีต่อครั้ง สัปดาห์ละ 3 วันขึ้นไป
ผมนี่แทบไม่ถึงตามเกณฑ์เลย
เพราะทั้งขี้เกียจ ไม่มีเวลา และกว่าจะพาตัวเองออกกำลังกายได้
ไปหาอะไรกินง่ายกว่าจริงไหมครับ
...
วันที่ออกจากโรงพยาบาลต้องนั่งรถเข็น
หาหมอทั้งแผนปัจจุบัน ทำกายภาพ และสายแพทย์แผนจีนแพทย์ทางเลือก
จนอาการเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ จากเดินไม่ได้ ก็เริ่มเดินได้ ใช้ไม้เท้า จนเดินได้ด้วยตัวเอง
ผมกลับมามีวันนี้ เพราะทำหลายอย่างมาก
หลังจากนั้นก็พยายามปล่อยวางความเครียด
ปฏิวัติการกิน ปฏิวัติการกินหนึ่งที่ผมทำคือ หาข้อมูลการกินอย่างถูกต้อง
กินเหมาะกับร่างกาย
และออกกำลังกายมากขึ้นเท่าที่จะทำได้
ช่วงปี 59 อาการเริ่มดีขึ้นก็เริ่มเดินลู่ ทุกวัน หาทั้งหมอแผนปัจจุบัน และเลือกฝังเข็มด้วย
เรียกว่าชีวิตช่วงนั้น ใน 7 วัน หาหมอสัก 5 วัน บางวันหาเช้าคนนึง บ่ายอีกคน
...
(ชัดบ้าง สั่นบ้าง ก็เพราะช่างภาพส่วนตัว(ภรรยา)ถ่ายให้ครับ 555 )
ผลจากการปล่อยวางไม่เครียด เลือกกิน และออกกำลังกายประมาณ 20 นาที
ตอนนี้ผมสามารถช่วยเหลือตัวเองในชีวิตประจำวันได้แล้ว
สามารถไปไหนมาไหนคนเดียวได้ ใช้ชีวิตทุกอย่างเกือบปกติ
น้ำหนักจากช่วงออกโรงพยาบาล 82 กิโลกรัมจนตอนนี้เหลือ 72 กิโลกรัม
แต่สุขภาพดีขึ้นเยอะ
จนหมอหลายคนก็ถามว่า ไปทำอะไรมา
ผมก็ได้แต่อมยิ้ม และ บอกเคล็ดลับไปแค่
ปล่อยวาง เลือกกิน และออกกำลังกายให้เป็น
แค่นี้คุณก็ห่างไกลจากโรคหลอดเลือดสมองแตก
โรคอัมพฤต อัมพาต
เพราะคุณจะได้ไม่ต้องมาเฉียดตายแบบผมนะครับ
ไม่อยากบอกว่าตัวเองโชคดี เพราะไม่มีใครอยากโชคร้าย
แต่ผมเชื่อว่าทุกคนสามารถเลือกชีวิตตัวเองได้ โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพครับ
3 ปัจจัยที่ผมคิดว่า เป็นต้นเหตุโรคนี้ที่เกิดขึ้นสำหรับผม
ก็คงเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคนี้กับคนอื่นได้เช่นกัน
ดังนั้นอย่าประมาทเลยนะครับ
มันไม่ยากเกินไป ผมทำได้คุณก็ทำได้นะครับ
...
ขอให้เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ให้กับใครอีกหลายคนนะครับ
อย่าใช้ชีวิตเต็มที่แบบประมาทแบบผมนะครับ
เหมือนที่ผมบอกลูกน้องอยู่เสมอว่า เราเป็นคนทำงานออกแบบ
เหมือนกับคนที่ทาสีให้โลกใบนี้ให้น่าอยู่สดใส
แล้วถ้าเราไม่ดูแลตัวเราเองให้ดี
แล้วจะทาโลกนี้ให้สดใสได้อย่างไร
https://m.pantip.com/topic/36824908
1
Public
14 Apr 2015
การเพิ่มระดับ norepinephrine ในร่างกายจะทำให้หัวใจและหลอดเลือดทำงานหนักขึ้น โอกาสเกิดหัวใจเต้นผิดจังหวะ ไฟลัดวงจร หรือหยุดทำงานฉับพลันมีมากขึ้นโดยเฉพาะคนไข้ที่เป็นโรคหัวใจอยู่แล้วหรือแบบซ่อนเร้นหมายถึงดูแข็งแรงดี หรือ อายุน้อยแต่มีการนำไฟฟ้าที่ผิดปกติซ่อนอยู่ norephinephrine ที่สูงกว่าปกติก็เหมือนน้ำมันที่ราดเข้าไปในกองฟืนที่มีเชื้อไฟ อีกอย่างคือ การเพิ่มระดับ serotonin ก็อาจอันตรายถึงชีวิตได้ (serotonin syndrome) หากได้รับยาบางประเภทอยู่ก่อน
////////////////
ผมเห็นโพสท์ใน Drama-addict
เกี่ยวกับยาลดความอ้วนที่ทำให้เสียชีวิต เป็นข่าวดังอยู่ตอนนี้
admin ขอให้ข้อมูลเกี่ยวกับยาลดความอ้วนเถื่อน
ที่ขายกันอยู่ในท้องตลาด(มืด) โดยเฉพาะบุคลากรทางการแพทย์
ไม่ว่าเราเป็นหมอสาขาอะไร
ผมว่าก็ควรต้องรู้ไว้ ยาวหน่อย แต่ยอมเสียเวลาอ่านเถอะครับ
ยาลดความอ้วนที่ขายกัน ส่วนใหญ่จะเป็น ยาขับปัสสาวะ Sibutramine หรือ thyroid hormone ไล่น้ำ เร่ง metabolism และทำให้น้ำหนักลด
ผสมกันในขนาดที่ไม่ได้รับการรับรองหรือควบคุม
อันตรายถึงชีวิตได้ทุกตัว แม้แต่ในคนหนุ่มสาวที่ไม่มีโรคประจำตัวอะไร
แต่ยาที่มีผลต่อหัวใจโดยตรงที่มีการศึกษารับรองชัดเจนก็คือ Sibutramine
ซึ่งสมัยก่อนเราใช้กับคนไข้ แต่ใช้ในกลุ่มไหน และ เพราะอะไรถึงถูกยกเลิกไป
ลองตามอ่านดู
ยา Sibutramine (หรือชื่อการค้าเดิม Reductil) เป็นยาที่มีสูตรเคมีใกล้เคียงกับ amphetamine (สารที่เป็นส่วนประกอบของยาบ้า) ออกฤทธิ์ ยับยั้งการเก็บกลับของสารสื่อประสาทชื่อว่า serotonin และ norepinephrine ที่บริเวณสมองส่วนไฮโปธาลามัส ส่งผลให้ความอยากอาหารลดลงและอิ่มเร็วขึ้น รวมทั้งสามารถกระตุ้นกระบวนการเผาผลาญของร่างกายได้ น้ำหนักจึงลดลง ฟังดูดีมากนะครับ
ต้องบอกว่า Sibutramine ถือเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 2 ของยาลดความอ้วน ถ้าเป็นพวกยารุ่นพี่ ดิบๆเลย จะกระตุ้นการหลั่ง serotonin และ norepinephrine โดยตรงได้แก่ Amphetamine และ Phentermine ซึ่งพวกนี้อันตรายมาก
Amphetamine ถูกห้ามใช้ในอเมริกาตั้งแต่สมัยสงครามโลก มีการลักลอบเข้ามาในไทยเมื่อ 30 - 40 ปีก่อน มาทำเป็นยาบ้าที่เรารู้จักดี
ส่วนเจ้า Phentermine ถูกห้ามใช้เพราะทำให้ลิ้นหัวใจผิดปกติ คนเรียนแพทย์หลังปี 1990 จะคุ้นเคยกันดี กับ ยาที่มีชื่อเล่นว่า fen-phen เป็นสาเหตุหนึ่งของโรคลิ้นหัวใจ fen-phen ก็คือ Phentermine ที่เติมยาอีกตัวที่เร่งการผลาญไขมันเข้าไป ฮิตมากในสหรัฐอเมริกา ในช่วงยุค 80 เพราะทำให้ไม่หิว แถม burn fat ได้มากขึ้นอีกต่างหาก
ก็ฟังดูดีนี่นา แล้วมันอันตรายยังไง?
มันอันตรายมากครับ เพราะการเพิ่มระดับ norepinephrine ในร่างกายจะทำให้หัวใจและหลอดเลือดทำงานหนักขึ้น โอกาสเกิดหัวใจเต้นผิดจังหวะ ไฟลัดวงจร หรือหยุดทำงานฉับพลันมีมากขึ้นโดยเฉพาะคนไข้ที่เป็นโรคหัวใจอยู่แล้วหรือแบบซ่อนเร้นหมายถึงดูแข็งแรงดี หรือ อายุน้อยแต่มีการนำไฟฟ้าที่ผิดปกติซ่อนอยู่ norephinephrine ที่สูงกว่าปกติก็เหมือนน้ำมันที่ราดเข้าไปในกองฟืนที่มีเชื้อไฟ อีกอย่างคือ การเพิ่มระดับ serotonin ก็อาจอันตรายถึงชีวิตได้ (serotonin syndrome) หากได้รับยาบางประเภทอยู่ก่อน
อันตรายแบบนี้ แล้ว อนุญาตให้ใช้ตั้งแต่แต่ทีแรกทำไม?
ยากลุ่มนี้ถูกผลิตขึ้นมาเพื่อรักษาคนอ้วนมากๆ มากขนาดเป็นโรค (Morbid Obesity) โดยใช้เป็นตัวเสริมกับการรักษาอื่นๆ เช่น ผ่าตัด การรักษาโรคร่วม การคุมอาหารและออกกำลังกาย และ เล็งเห็นว่า หากควบคุมระดับยา ความดัน การติดตามทางคลีนิกอย่างใกล้ชิดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญดีพอ ประโยชน์ที่ได้จะมากกว่าโทษ
สุดท้าย Sibutramine ถูกห้ามใช้เพราะอะไร?
จริงๆก็มีเคสรีพอร์ท กวนใจ US FDA อยู่เรื่อยๆ ก่อนปี 2010
แต่ยังไม่มี การศึกษาที่ชัดเจนถึงอันตรายที่เกิดขึ้น
จนบริษัทยาในสหรัฐ ถูก FDA สั่งให้ถอนยาออกจากตลาด
หลังการศึกษาที่ตีพิมพ์ใน New England Journal of Medicine
ชื่อว่า The Sibutramine Cardiovascular Outcomes Trial หรือ SCOUT
NEJM 2010; 363:905-917
การศึกษานี้นำผู้ป่วยจาก 16 ประเทศในยุโรป อเมริกา และ ออสเตรเลีย ช่วงปี 2003 - 2009
รวมทั้งสิ้น 10,744 คน ที่อ้วนและมี 1 ใน 2 อย่างต่อไปนี้
1. โรคหลอดเลือดหัวใจ หรือ โรคหลอดเลือดสมอง หรือ โรคหลอดเลือดแขนขาอุดตัน
2. ไม่ได้เป็นโรคแบบข้อ 1 แต่เป็นเบาหวานและมีปัจจัยเสี่ยงเช่น
สูบบุหรี่ ความดันสูง ไขมันสูงเป็นต้น
แบ่งเป็นสองกลุ่มเท่าๆกัน กลุ่มนึงกิน Sibutramine อีกกลุ่มกินแป้ง (ยาหลอก หน้าตาเหมือน Sibutramine โดยคนไข้ไม่รู้)
พอติดตามไป 2-4 ปีพบว่า
กลุ่มที่กินยา Sibutramine เป็นโรคหัวใจ หรือ ตายจากโรคหัวใจ หรือ เป็นโรคหลอดเลือดสมองมากกว่ากลุ่มที่กินเม็ดแป้ง
การศึกษานี้มี impact สูงมาก จนบริษืทยาต้องถอนยานี้ออกจากตลาด
ไล่มาทีละประเทศจนถึงประเทศไทย อย่างที่ทราบกัน
หลัง SCOUT ตีพิมพ์ออกมา
ก็มีการโต้เถียงกันพอสมควร โดยเฉพาะกลุ่มที่เป็นเบาหวานอย่างเดียวในการศึกษา ไม่ได้ตายมากกว่ากินแป้ง เรายังคงใช้ในคนไข้อ้วนมากๆ แต่ไม่มีโรคหลอดเลือดได้หรือไม่?
ความเห็นส่วนใหญ่ไปทาง ไม่ควรใช้ แม้เป็นโรคอ้วน เพราะมีคนไข้จำนวนหนึ่งที่มีโรคหัวใจแต่ยังไม่ได้รับการวินิจฉัย แม้กระทั่งหนุ่มๆสาวๆ ก็อาจเสียชีวิตได้ หากมีภาวะบางอย่างในหัวใจซ่อนอยู่
ผมขอฝากแชร์โพสท์นี้ให้ด้วยนะครับ
ช่วยๆกันครับเพื่อความปลอดภัยของคนที่ไม่รู้ หรือ รู่เท่าไม่ถึงการณ์
https://www.facebook.com/371793389694429/photos/a.371873473019754.1073741828.371793389694429/383759411831160/
////////////////
ผมเห็นโพสท์ใน Drama-addict
เกี่ยวกับยาลดความอ้วนที่ทำให้เสียชีวิต เป็นข่าวดังอยู่ตอนนี้
admin ขอให้ข้อมูลเกี่ยวกับยาลดความอ้วนเถื่อน
ที่ขายกันอยู่ในท้องตลาด(มืด) โดยเฉพาะบุคลากรทางการแพทย์
ไม่ว่าเราเป็นหมอสาขาอะไร
ผมว่าก็ควรต้องรู้ไว้ ยาวหน่อย แต่ยอมเสียเวลาอ่านเถอะครับ
ยาลดความอ้วนที่ขายกัน ส่วนใหญ่จะเป็น ยาขับปัสสาวะ Sibutramine หรือ thyroid hormone ไล่น้ำ เร่ง metabolism และทำให้น้ำหนักลด
ผสมกันในขนาดที่ไม่ได้รับการรับรองหรือควบคุม
อันตรายถึงชีวิตได้ทุกตัว แม้แต่ในคนหนุ่มสาวที่ไม่มีโรคประจำตัวอะไร
แต่ยาที่มีผลต่อหัวใจโดยตรงที่มีการศึกษารับรองชัดเจนก็คือ Sibutramine
ซึ่งสมัยก่อนเราใช้กับคนไข้ แต่ใช้ในกลุ่มไหน และ เพราะอะไรถึงถูกยกเลิกไป
ลองตามอ่านดู
ยา Sibutramine (หรือชื่อการค้าเดิม Reductil) เป็นยาที่มีสูตรเคมีใกล้เคียงกับ amphetamine (สารที่เป็นส่วนประกอบของยาบ้า) ออกฤทธิ์ ยับยั้งการเก็บกลับของสารสื่อประสาทชื่อว่า serotonin และ norepinephrine ที่บริเวณสมองส่วนไฮโปธาลามัส ส่งผลให้ความอยากอาหารลดลงและอิ่มเร็วขึ้น รวมทั้งสามารถกระตุ้นกระบวนการเผาผลาญของร่างกายได้ น้ำหนักจึงลดลง ฟังดูดีมากนะครับ
ต้องบอกว่า Sibutramine ถือเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 2 ของยาลดความอ้วน ถ้าเป็นพวกยารุ่นพี่ ดิบๆเลย จะกระตุ้นการหลั่ง serotonin และ norepinephrine โดยตรงได้แก่ Amphetamine และ Phentermine ซึ่งพวกนี้อันตรายมาก
Amphetamine ถูกห้ามใช้ในอเมริกาตั้งแต่สมัยสงครามโลก มีการลักลอบเข้ามาในไทยเมื่อ 30 - 40 ปีก่อน มาทำเป็นยาบ้าที่เรารู้จักดี
ส่วนเจ้า Phentermine ถูกห้ามใช้เพราะทำให้ลิ้นหัวใจผิดปกติ คนเรียนแพทย์หลังปี 1990 จะคุ้นเคยกันดี กับ ยาที่มีชื่อเล่นว่า fen-phen เป็นสาเหตุหนึ่งของโรคลิ้นหัวใจ fen-phen ก็คือ Phentermine ที่เติมยาอีกตัวที่เร่งการผลาญไขมันเข้าไป ฮิตมากในสหรัฐอเมริกา ในช่วงยุค 80 เพราะทำให้ไม่หิว แถม burn fat ได้มากขึ้นอีกต่างหาก
ก็ฟังดูดีนี่นา แล้วมันอันตรายยังไง?
มันอันตรายมากครับ เพราะการเพิ่มระดับ norepinephrine ในร่างกายจะทำให้หัวใจและหลอดเลือดทำงานหนักขึ้น โอกาสเกิดหัวใจเต้นผิดจังหวะ ไฟลัดวงจร หรือหยุดทำงานฉับพลันมีมากขึ้นโดยเฉพาะคนไข้ที่เป็นโรคหัวใจอยู่แล้วหรือแบบซ่อนเร้นหมายถึงดูแข็งแรงดี หรือ อายุน้อยแต่มีการนำไฟฟ้าที่ผิดปกติซ่อนอยู่ norephinephrine ที่สูงกว่าปกติก็เหมือนน้ำมันที่ราดเข้าไปในกองฟืนที่มีเชื้อไฟ อีกอย่างคือ การเพิ่มระดับ serotonin ก็อาจอันตรายถึงชีวิตได้ (serotonin syndrome) หากได้รับยาบางประเภทอยู่ก่อน
อันตรายแบบนี้ แล้ว อนุญาตให้ใช้ตั้งแต่แต่ทีแรกทำไม?
ยากลุ่มนี้ถูกผลิตขึ้นมาเพื่อรักษาคนอ้วนมากๆ มากขนาดเป็นโรค (Morbid Obesity) โดยใช้เป็นตัวเสริมกับการรักษาอื่นๆ เช่น ผ่าตัด การรักษาโรคร่วม การคุมอาหารและออกกำลังกาย และ เล็งเห็นว่า หากควบคุมระดับยา ความดัน การติดตามทางคลีนิกอย่างใกล้ชิดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญดีพอ ประโยชน์ที่ได้จะมากกว่าโทษ
สุดท้าย Sibutramine ถูกห้ามใช้เพราะอะไร?
จริงๆก็มีเคสรีพอร์ท กวนใจ US FDA อยู่เรื่อยๆ ก่อนปี 2010
แต่ยังไม่มี การศึกษาที่ชัดเจนถึงอันตรายที่เกิดขึ้น
จนบริษัทยาในสหรัฐ ถูก FDA สั่งให้ถอนยาออกจากตลาด
หลังการศึกษาที่ตีพิมพ์ใน New England Journal of Medicine
ชื่อว่า The Sibutramine Cardiovascular Outcomes Trial หรือ SCOUT
NEJM 2010; 363:905-917
การศึกษานี้นำผู้ป่วยจาก 16 ประเทศในยุโรป อเมริกา และ ออสเตรเลีย ช่วงปี 2003 - 2009
รวมทั้งสิ้น 10,744 คน ที่อ้วนและมี 1 ใน 2 อย่างต่อไปนี้
1. โรคหลอดเลือดหัวใจ หรือ โรคหลอดเลือดสมอง หรือ โรคหลอดเลือดแขนขาอุดตัน
2. ไม่ได้เป็นโรคแบบข้อ 1 แต่เป็นเบาหวานและมีปัจจัยเสี่ยงเช่น
สูบบุหรี่ ความดันสูง ไขมันสูงเป็นต้น
แบ่งเป็นสองกลุ่มเท่าๆกัน กลุ่มนึงกิน Sibutramine อีกกลุ่มกินแป้ง (ยาหลอก หน้าตาเหมือน Sibutramine โดยคนไข้ไม่รู้)
พอติดตามไป 2-4 ปีพบว่า
กลุ่มที่กินยา Sibutramine เป็นโรคหัวใจ หรือ ตายจากโรคหัวใจ หรือ เป็นโรคหลอดเลือดสมองมากกว่ากลุ่มที่กินเม็ดแป้ง
การศึกษานี้มี impact สูงมาก จนบริษืทยาต้องถอนยานี้ออกจากตลาด
ไล่มาทีละประเทศจนถึงประเทศไทย อย่างที่ทราบกัน
หลัง SCOUT ตีพิมพ์ออกมา
ก็มีการโต้เถียงกันพอสมควร โดยเฉพาะกลุ่มที่เป็นเบาหวานอย่างเดียวในการศึกษา ไม่ได้ตายมากกว่ากินแป้ง เรายังคงใช้ในคนไข้อ้วนมากๆ แต่ไม่มีโรคหลอดเลือดได้หรือไม่?
ความเห็นส่วนใหญ่ไปทาง ไม่ควรใช้ แม้เป็นโรคอ้วน เพราะมีคนไข้จำนวนหนึ่งที่มีโรคหัวใจแต่ยังไม่ได้รับการวินิจฉัย แม้กระทั่งหนุ่มๆสาวๆ ก็อาจเสียชีวิตได้ หากมีภาวะบางอย่างในหัวใจซ่อนอยู่
ผมขอฝากแชร์โพสท์นี้ให้ด้วยนะครับ
ช่วยๆกันครับเพื่อความปลอดภัยของคนที่ไม่รู้ หรือ รู่เท่าไม่ถึงการณ์
https://www.facebook.com/371793389694429/photos/a.371873473019754.1073741828.371793389694429/383759411831160/
Public
24 Nov 2016
เตือนย้ำอีกครั้ง เพราะ วันนี้มีข่าวคนเสียชีวิต จากการกินอาหารเสริมดังกล่าว
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร “Mangluk Power Slim” พบสารไซบูทรามีน กินแล้วมีอาการใจสั่น มือสั่น ปากแห้ง คอแห้ง
ผลิตภัณฑ์อาหาร “Mangluk Power Slim” เข้าข่ายผลิตภัณฑ์ที่ไม่ปลอดภัย มีการปลอมเลขสารบบอาหาร โฆษณาโอ้อวดสรรพคุณเกินจริง และตรวจพบไซบูทรามีน ซึ่งเป็นสารที่มีอันตรายต่อผู้บริโภค โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคความดันโลหิต โรคหลอดเลือดสมองตีบ โรคตับ โรคไต โรคต้อหิน หญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร โดยจะมีอาการข้างเคียง คือ ปากแห้ง ปวดศีรษะ นอนไม่หลับ ท้องผูก ทำให้เกิดความดันโลหิตสูง หัวใจเต้นเร็ว อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้
มีการโฆษณาโอ้อวดสรรพคุณ เช่น “ยับยั้งการเปลี่ยนแป้งเป็นน้ำตาล ลดความอยากอาหาร DETOX ลำไส้ ไร้ผลข้างเคียง” “ช่วยเสริมระบบการย่อยให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด สามารถลดการสะสมของไขมันในเส้นเลือด ช่วยควบคุมความหิว ลดการดูดของไขมันที่ไม่จำเป็นต่อร่างกายและขจัดสารพิษต่าง ๆ”
http://www.manager.co.th/QOL/Viewnews.aspx?NewsID=9590000109007
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร “Mangluk Power Slim” พบสารไซบูทรามีน กินแล้วมีอาการใจสั่น มือสั่น ปากแห้ง คอแห้ง
ผลิตภัณฑ์อาหาร “Mangluk Power Slim” เข้าข่ายผลิตภัณฑ์ที่ไม่ปลอดภัย มีการปลอมเลขสารบบอาหาร โฆษณาโอ้อวดสรรพคุณเกินจริง และตรวจพบไซบูทรามีน ซึ่งเป็นสารที่มีอันตรายต่อผู้บริโภค โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคความดันโลหิต โรคหลอดเลือดสมองตีบ โรคตับ โรคไต โรคต้อหิน หญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร โดยจะมีอาการข้างเคียง คือ ปากแห้ง ปวดศีรษะ นอนไม่หลับ ท้องผูก ทำให้เกิดความดันโลหิตสูง หัวใจเต้นเร็ว อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้
มีการโฆษณาโอ้อวดสรรพคุณ เช่น “ยับยั้งการเปลี่ยนแป้งเป็นน้ำตาล ลดความอยากอาหาร DETOX ลำไส้ ไร้ผลข้างเคียง” “ช่วยเสริมระบบการย่อยให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด สามารถลดการสะสมของไขมันในเส้นเลือด ช่วยควบคุมความหิว ลดการดูดของไขมันที่ไม่จำเป็นต่อร่างกายและขจัดสารพิษต่าง ๆ”
http://www.manager.co.th/QOL/Viewnews.aspx?NewsID=9590000109007
Public
10 Oct 2014
"อย่างน้อย" ควรออกกำลังแบบแอโรบิก หรือคาร์ดิโอ ระดับกลาง 150 นาที หรือ 2 ชั่วโมง 30 นาทีต่อสัปดาห์" (อาจจะแบ่งเป็น 30 นาทีต่อวัน 5 วันต่อสัปดาห์) หรือระดับหนัก 75 นาที หรือ 1 ชั่วโมง 15 นาทีต่อสัปดาห์" (อาจจะแบ่ง 25 นาทีต่อวัน 3 วันต่อสัปดาห์)หรือถ้าจะให้ดีต่อร่างกายขึ้นไปอีก
ให้ออกกำลังระดับกลาง 300 นาทีต่อสัปดาห์ หรือระดับหนัก 150 นาทีต่อสัปดาห์ถ้าไม่ได้ออกกำลังมาเป็นเวลานานก็ค่อย ๆ เริ่มแบบค่อยเป็นค่อยไปนะคะ จะเริ่มจากระดับกลางก่อนก็ได้ค่ะ
และถ้าอยากจะ "ลดความดันและคอเลสเตอรอลด้วย" แนะนำให้ออกกำลังระดับกลางถึงหนัก 40 นาทีต่อวัน 4 ครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมองหรืออัมพาตด้วยค่ะ
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1412840234
ให้ออกกำลังระดับกลาง 300 นาทีต่อสัปดาห์ หรือระดับหนัก 150 นาทีต่อสัปดาห์ถ้าไม่ได้ออกกำลังมาเป็นเวลานานก็ค่อย ๆ เริ่มแบบค่อยเป็นค่อยไปนะคะ จะเริ่มจากระดับกลางก่อนก็ได้ค่ะ
และถ้าอยากจะ "ลดความดันและคอเลสเตอรอลด้วย" แนะนำให้ออกกำลังระดับกลางถึงหนัก 40 นาทีต่อวัน 4 ครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมองหรืออัมพาตด้วยค่ะ
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1412840234
no shares
Public
17 Aug 2016
อ่านแล้วถามตัวเองว่าจำได้มั้ยเนี่ย
ถ้ายังจำไม่ได้ก็กลับไปอ่านใหม่อีกครั้ง
F A S T คืออะไร และเกี่ยวข้องกับโรคหลอดเลือดสมองอย่างไร ?
http://www.chiangmairam.com/news_detail/153
ถ้ายังจำไม่ได้ก็กลับไปอ่านใหม่อีกครั้ง
F A S T คืออะไร และเกี่ยวข้องกับโรคหลอดเลือดสมองอย่างไร ?
http://www.chiangmairam.com/news_detail/153
no plus ones
Public
15 Jan 2016
อาการเตือนที่สำคัญ
1. ชาหรืออ่อนแรง แขนขาอ่อนแรงซีกใดซีกหนึ่ง
2. ปากเบี้ยว พูดไม่ชัด กลืนลำบาก (เป็นทันทีหรือหลังตื่นนอน)
3. ตามัว เห็นภาพซ้อน หรือมองไม่เห็นข้างใดข้างหนึ่ง ทันทีทันใด
4. เวียนศีรษะอย่างรุนแรง เดินเซ แบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
(เป็นทันทีหรือหลังตื่นนอน)
..................................
โรคหลอดเลือดสมอง หรือที่เรียกว่า “โรคอัมพฤกษ์อัมพาต”
โดยเกิดจากสมองขาดเลือดไปเลี้ยงอย่างฉับพลัน ซึ่งแบ่ง
เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ 1. เส้นเลือดสมองตีบหรืออุดตัน
2. เส้นเลือดสมองแตก และเมื่อสมองขาดเลือดไปเลี้ยง เซลล์
สมองจะตาย ทำให้เกิดความผิดปกติของร่างกาย ในส่วนที่
ควบคุมโดยสมอง ที่ได้รับความเสียหาย
ทำไมโรคหลอดเลือดสมองจึงรีบเร่งด่วน
ทุกวินาทีมีค่า ยิ่งสมองขาดเลือดนานสมองจะถูกทำลายมากขึ้น
ช่วงเวลาสำคัญที่สุดคือ 3 ชั่วโมงแรกหลังมีอาการ และควรพา
ผู้ป่วยมาโรงพยาบาลภายใน 60 นาที เพื่่อรับการรักษาที่ถูกต้อง
อาการเตือนที่สำคัญ
1. ชาหรืออ่อนแรง แขนขาอ่อนแรงซีกใดซีกหนึ่ง
2. ปากเบี้ยว พูดไม่ชัด กลืนลำบาก (เป็นทันทีหรือหลังตื่นนอน)
3. ตามัว เห็นภาพซ้อน หรือมองไม่เห็นข้างใดข้างหนึ่ง ทันทีทันใด
4. เวียนศีรษะอย่างรุนแรง เดินเซ แบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
(เป็นทันทีหรือหลังตื่นนอน)
พบได้บ่อยแค่ไหน?
จะพบผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง
ประมาณ 2 คนต่อ ประชากรทุกๆ
1,000 คนของผู้ป่วยทั้งหมดที่มี
อายุมากกว่า 60 ปี
https://www.facebook.com/skrhos/photos/a.180184595365221.55345.134820323234982/1065929653457373/
1. ชาหรืออ่อนแรง แขนขาอ่อนแรงซีกใดซีกหนึ่ง
2. ปากเบี้ยว พูดไม่ชัด กลืนลำบาก (เป็นทันทีหรือหลังตื่นนอน)
3. ตามัว เห็นภาพซ้อน หรือมองไม่เห็นข้างใดข้างหนึ่ง ทันทีทันใด
4. เวียนศีรษะอย่างรุนแรง เดินเซ แบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
(เป็นทันทีหรือหลังตื่นนอน)
..................................
โรคหลอดเลือดสมอง หรือที่เรียกว่า “โรคอัมพฤกษ์อัมพาต”
โดยเกิดจากสมองขาดเลือดไปเลี้ยงอย่างฉับพลัน ซึ่งแบ่ง
เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ 1. เส้นเลือดสมองตีบหรืออุดตัน
2. เส้นเลือดสมองแตก และเมื่อสมองขาดเลือดไปเลี้ยง เซลล์
สมองจะตาย ทำให้เกิดความผิดปกติของร่างกาย ในส่วนที่
ควบคุมโดยสมอง ที่ได้รับความเสียหาย
ทำไมโรคหลอดเลือดสมองจึงรีบเร่งด่วน
ทุกวินาทีมีค่า ยิ่งสมองขาดเลือดนานสมองจะถูกทำลายมากขึ้น
ช่วงเวลาสำคัญที่สุดคือ 3 ชั่วโมงแรกหลังมีอาการ และควรพา
ผู้ป่วยมาโรงพยาบาลภายใน 60 นาที เพื่่อรับการรักษาที่ถูกต้อง
อาการเตือนที่สำคัญ
1. ชาหรืออ่อนแรง แขนขาอ่อนแรงซีกใดซีกหนึ่ง
2. ปากเบี้ยว พูดไม่ชัด กลืนลำบาก (เป็นทันทีหรือหลังตื่นนอน)
3. ตามัว เห็นภาพซ้อน หรือมองไม่เห็นข้างใดข้างหนึ่ง ทันทีทันใด
4. เวียนศีรษะอย่างรุนแรง เดินเซ แบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
(เป็นทันทีหรือหลังตื่นนอน)
พบได้บ่อยแค่ไหน?
จะพบผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง
ประมาณ 2 คนต่อ ประชากรทุกๆ
1,000 คนของผู้ป่วยทั้งหมดที่มี
อายุมากกว่า 60 ปี
https://www.facebook.com/skrhos/photos/a.180184595365221.55345.134820323234982/1065929653457373/
Public
8 May 2017
สำหรับประเทศไทย พบว่า โรคไม่ติดต่อเรื้อรังเป็นสาเหตุการเสียชีวิตถึงร้อยละ 73 ของประชากรทั้งหมด โดยเฉพาะโรคหลอดเลือดหัวใจ พบว่าอัตราตายเท่ากับ 28.92 ต่อประชากรแสนคน หรือ เท่ากับ 18,922 คน เฉลี่ยชั่วโมงละ 2 คน
.
ส่วนหลอดเลือดสมองมีอัตราตายสูงสุด และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยในปี 2557 มีจำนวนตาย 25,114 คน หรือเฉลี่ยทุกๆ 1 ชั่วโมง จะมีคนตายด้วยโรคหลอดเลือดสมองประมาณ 3 คน
.
ติดตามอ่านได้ใน "มัจจุราชแค่ปลายจมูก เอาชนะ ‘มะเร็ง-หัวใจ-เบาหวาน-อ้วน’! ด้วย ‘ผัก-ผลไม้’"
ที่มา http://www.matichon.co.th/news/543595
.
ส่วนหลอดเลือดสมองมีอัตราตายสูงสุด และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยในปี 2557 มีจำนวนตาย 25,114 คน หรือเฉลี่ยทุกๆ 1 ชั่วโมง จะมีคนตายด้วยโรคหลอดเลือดสมองประมาณ 3 คน
.
ติดตามอ่านได้ใน "มัจจุราชแค่ปลายจมูก เอาชนะ ‘มะเร็ง-หัวใจ-เบาหวาน-อ้วน’! ด้วย ‘ผัก-ผลไม้’"
ที่มา http://www.matichon.co.th/news/543595
ยาลดน้ำหนัก”หรือ “ยาลดความอ้วน” นับได้ว่าเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่มีปัญหาน้ำหนักเกิน เนื่องจากมีประสิทธิภาพในการลดน้ำหนักที่ดีและเห็นผลในระยะเวลาไม่นาน แต่ในปัจจุบันพบว่าจำนวนการใช้ยาลดความอ้วนอย่างผิดวิธีนั้นมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากไม่มีการให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่ผู้ป่วย และยาลดความอ้วนสามารถหาซื้อได้ง่ายจากอินเทอร์เน็ต ร้านขายยาหรือคลินิกที่ไม่มีการซักประวัติตรวจร่างกายอย่างเหมาะสม
ส่งผลทำให้ผู้ป่วยได้รับผลข้างเคียงที่รุนแรงจากยา เช่น รับประทานยาเกินขนาด หรือรับประทานยาลดความอ้วนโดยไม่ทราบว่าตนเองเป็นข้อห้ามใช้ของยาดังกล่าว เป็นต้น ยาลดความอ้วนที่พบว่ามีการใช้อย่างผิดวิธีค่อนข้างมากในปัจจุบัน คือ sibutramineและ phentermine
Sibutramine คืออะไร
Sibutramine เป็นยาที่มีข้อบ่งใช้สำหรับรักษาและควบคุมโรคอ้วน (obesity)และจัดเป็นยาควบคุมพิเศษซึ่งห้ามซื้อขายในร้านขายยาโดยไม่มีใบสั่งยาจากแพทย์ กลไกการออกฤทธิ์ของยา คือ ยับยั้งการเก็บกลับ (reuptake) ของสารสื่อประสาทจำพวก ซีโรโทนิน (serotonin)และ นอร์อีพิเนฟริน (norepinephrine) ที่บริเวณสมองส่วนไฮโปธาลามัส (hypothalamic area) ส่งผลให้ความอยากอาหารลดลงและอิ่มเร็วขึ้น รวมทั้งสามารถกระตุ้นกระบวนการเผาผลาญของร่างกายได้ด้วยเช่นกัน
ข้อห้ามของการใช้ยา sibutramine
ผู้ป่วยดังต่อไปนี้ต้องหลีกเลี่ยงการใช้ยา sibutramine อย่างเด็ดขาดเนื่องจากอาจได้รับอันตรายจากยา
- ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 16 ปี (ยังไม่มีข้อมูลสนับสนุนด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัย)
-มีความผิดปกติเกี่ยวกับการรับประทานอาหาร เช่น anorexia nervosa และ bulimia nervosa
- ผู้ที่ใช้ยาในกลุ่ม Monoamine oxidase inhibitor (MAOI) เช่น selegiline หรือ rasagiline เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดพิษต่อระบบประสาทส่วนกลาง (CNS toxicity) และ serotonin syndrome (หากต้องการใช้ยา sibutramine ควรใช้หลังจากหยุดยากลุ่ม MAOI ไปแล้วอย่างน้อย 2 สัปดาห์)
- ผู้ที่ใช้ยาลดความอ้วนที่ออกฤทธิ์ที่ระบบประสาทส่วนกลาง เช่น phentermine เป็นต้น
- ผู้ที่มีประวัติแพ้ยา sibutramine
ข้อห้ามของการใช้ยา sibutramine ที่ประกาศเพิ่มเติมโดยองค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่21 มกราคม 2553
องค์การอาหารและยาทำการแจ้งเตือนแก่บุคลากรทางการแพทย์ว่าผู้ป่วยที่มีประวัติเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ (cardiovascular disease) ถือเป็นข้อห้ามใช้สำหรับการใช้ยา sibutramine เนื่องจากการใช้ยา sibutramine ในผู้ป่วยกลุ่มดังกล่าวจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน (heart attack) และการเกิด stroke ของผู้ป่วยได้
ทั้งนี้คำเตือนดังกล่าวอาศัยข้อมูลจากการศึกษา “SCOUT” (Sibutramine Cardiovascular Outcomes Trial)ที่ระบุว่าผู้ป่วยน้ำหนักเกินที่มีอายุมากกว่า 55 ปีขึ้นไปและมีประวัติเป็นโรค
หลอดเลือดหัวใจจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหลอดเลือดหัวใจสูงขึ้นสัมพันธ์กับการใช้ยา sibutramineอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
ผู้ป่วยที่จัดว่าเป็นโรคในกลุ่มโรคหลอดเลือดหัวใจ ได้แก่
-ผู้ป่วยที่มีประวัติเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน (coronary artery disease; CAD) เช่น กล้ามเนื้อหัวใจตาย (myocardial infarction)หรือ มีอาการปวดเค้นหน้าอก (angina)
-ผู้ป่วยที่มีประวัติเป็นโรคหัวใจล้มเหลว (heart failure)
- ผู้ป่วยที่มีประวัติเป็นโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ (heart arrhythmia)
- ผู้ป่วยที่มีประวัติเป็นโรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายอุดตัน (peripherial arterial disease)
- ผู้ป่วยที่มีประวัติเป็นโรคหลอดเลือดสมอง เช่น stroke และ transient ischemic attack
- ผู้ป่วยที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงแต่ยังไม่สามารถควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมได้ เช่น ผู้ที่ป่วย ที่มีความดันโลหิต > 145/90 mmHg
บุคลากรทางการแพทย์ควรมีการติดตามระดับความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจของผู้ป่วยที่ได้รับยา sibutramine อยู่เสมอ และควรให้ผู้ป่วยหยุดรับประทานยา sibutramine หากยังเกิดความผิดปกติเกี่ยวกับความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้หากผู้ป่วยไม่สามารถลดน้ำหนักได้อย่างน้อย 5% จากน้ำหนักเดิมภายใน 3-6 เดือนแรกของการรักษาด้วยยา sibutramineแพทย์ควรให้ผู้ป่วยหยุดรับประทานยาเช่นกัน เนื่องจากการรักษาต่อไปนั้นมีแนวโน้มที่จะไม่ได้ผล อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้แก่ผู้ป่วยโดยไม่จำเป็นอีกด้วย
ข้อควรระวังและผลข้างเคียงจากยา sibutramine
ผู้ป่วยดังต่อไปนี้ควรระวังในการใช้ยา sibutramine เนื่องจากอาจเสี่ยงต่อการได้รับผลข้างเคียงจากยาได้
- ในระหว่างที่ใช้ยา sibutramine ผู้ป่วยบางรายอาจมีระดับความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้นได้ ดังนั้นมี ควรมีการตรวจระดับความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจอยู่เสมอ
- ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก
- ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออกและผู้ที่ใช้ยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น warfarin หรือ aspirin เนื่องจาก มีรายงานการเกิดเลือดออกจากการใช้ยา sibutramine
- ผู้ป่วยที่เป็นโรคหรือมีความผิดปกติเกี่ยวกับตับ หรือไต รวมถึงผู้ป่วยฟอกไตด้วยเช่นกัน
- ผู้ที่มีประวัติชัก (seizure) เนื่องจากพบรายงานอาการชักจากการใช้ยา sibutramine
- ผู้ที่มีประวัติเป็นโรค neuroleptic marlignant syndrome (NMS)
- ผู้ที่มีประวัติเป็นนิ่ว เนื่องจากการลดน้ำหนักอาจเป็นสาเหตุในการทำให้เกิดนิ่วได้
- ผลข้างเคียงที่พบได้ในผู้ที่รับประทานยา sibutramine ได้แก่ ปากแห้ง คอแห้ง ท้องผูก ปวดศีรษะ นอนไม่หลับ และ เบื่ออาหาร
การหาซื้อยาลดความอ้วนมารับประทานเองโดยไม่ได้รับการซักประวัติและตรวจร่างกายอย่างเหมาะสมเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อการได้รับผลข้างเคียงที่รุนแรงจากยา ดังนั้นการใช้ยาลดความอ้วน sibutramine จึงควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด เพื่อให้มีกาสั่งจ่ายยา ปรับขนาดยา และเฝ้าระวังการเกิดผลข้างเคียงจากยาได้อย่างเหมาะสม
ส่งผลทำให้ผู้ป่วยได้รับผลข้างเคียงที่รุนแรงจากยา เช่น รับประทานยาเกินขนาด หรือรับประทานยาลดความอ้วนโดยไม่ทราบว่าตนเองเป็นข้อห้ามใช้ของยาดังกล่าว เป็นต้น ยาลดความอ้วนที่พบว่ามีการใช้อย่างผิดวิธีค่อนข้างมากในปัจจุบัน คือ sibutramineและ phentermine
Sibutramine คืออะไร
Sibutramine เป็นยาที่มีข้อบ่งใช้สำหรับรักษาและควบคุมโรคอ้วน (obesity)และจัดเป็นยาควบคุมพิเศษซึ่งห้ามซื้อขายในร้านขายยาโดยไม่มีใบสั่งยาจากแพทย์ กลไกการออกฤทธิ์ของยา คือ ยับยั้งการเก็บกลับ (reuptake) ของสารสื่อประสาทจำพวก ซีโรโทนิน (serotonin)และ นอร์อีพิเนฟริน (norepinephrine) ที่บริเวณสมองส่วนไฮโปธาลามัส (hypothalamic area) ส่งผลให้ความอยากอาหารลดลงและอิ่มเร็วขึ้น รวมทั้งสามารถกระตุ้นกระบวนการเผาผลาญของร่างกายได้ด้วยเช่นกัน
ข้อห้ามของการใช้ยา sibutramine
ผู้ป่วยดังต่อไปนี้ต้องหลีกเลี่ยงการใช้ยา sibutramine อย่างเด็ดขาดเนื่องจากอาจได้รับอันตรายจากยา
- ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 16 ปี (ยังไม่มีข้อมูลสนับสนุนด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัย)
-มีความผิดปกติเกี่ยวกับการรับประทานอาหาร เช่น anorexia nervosa และ bulimia nervosa
- ผู้ที่ใช้ยาในกลุ่ม Monoamine oxidase inhibitor (MAOI) เช่น selegiline หรือ rasagiline เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดพิษต่อระบบประสาทส่วนกลาง (CNS toxicity) และ serotonin syndrome (หากต้องการใช้ยา sibutramine ควรใช้หลังจากหยุดยากลุ่ม MAOI ไปแล้วอย่างน้อย 2 สัปดาห์)
- ผู้ที่ใช้ยาลดความอ้วนที่ออกฤทธิ์ที่ระบบประสาทส่วนกลาง เช่น phentermine เป็นต้น
- ผู้ที่มีประวัติแพ้ยา sibutramine
ข้อห้ามของการใช้ยา sibutramine ที่ประกาศเพิ่มเติมโดยองค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่21 มกราคม 2553
องค์การอาหารและยาทำการแจ้งเตือนแก่บุคลากรทางการแพทย์ว่าผู้ป่วยที่มีประวัติเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ (cardiovascular disease) ถือเป็นข้อห้ามใช้สำหรับการใช้ยา sibutramine เนื่องจากการใช้ยา sibutramine ในผู้ป่วยกลุ่มดังกล่าวจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน (heart attack) และการเกิด stroke ของผู้ป่วยได้
ทั้งนี้คำเตือนดังกล่าวอาศัยข้อมูลจากการศึกษา “SCOUT” (Sibutramine Cardiovascular Outcomes Trial)ที่ระบุว่าผู้ป่วยน้ำหนักเกินที่มีอายุมากกว่า 55 ปีขึ้นไปและมีประวัติเป็นโรค
หลอดเลือดหัวใจจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหลอดเลือดหัวใจสูงขึ้นสัมพันธ์กับการใช้ยา sibutramineอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
ผู้ป่วยที่จัดว่าเป็นโรคในกลุ่มโรคหลอดเลือดหัวใจ ได้แก่
-ผู้ป่วยที่มีประวัติเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน (coronary artery disease; CAD) เช่น กล้ามเนื้อหัวใจตาย (myocardial infarction)หรือ มีอาการปวดเค้นหน้าอก (angina)
-ผู้ป่วยที่มีประวัติเป็นโรคหัวใจล้มเหลว (heart failure)
- ผู้ป่วยที่มีประวัติเป็นโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ (heart arrhythmia)
- ผู้ป่วยที่มีประวัติเป็นโรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายอุดตัน (peripherial arterial disease)
- ผู้ป่วยที่มีประวัติเป็นโรคหลอดเลือดสมอง เช่น stroke และ transient ischemic attack
- ผู้ป่วยที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงแต่ยังไม่สามารถควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมได้ เช่น ผู้ที่ป่วย ที่มีความดันโลหิต > 145/90 mmHg
บุคลากรทางการแพทย์ควรมีการติดตามระดับความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจของผู้ป่วยที่ได้รับยา sibutramine อยู่เสมอ และควรให้ผู้ป่วยหยุดรับประทานยา sibutramine หากยังเกิดความผิดปกติเกี่ยวกับความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้หากผู้ป่วยไม่สามารถลดน้ำหนักได้อย่างน้อย 5% จากน้ำหนักเดิมภายใน 3-6 เดือนแรกของการรักษาด้วยยา sibutramineแพทย์ควรให้ผู้ป่วยหยุดรับประทานยาเช่นกัน เนื่องจากการรักษาต่อไปนั้นมีแนวโน้มที่จะไม่ได้ผล อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้แก่ผู้ป่วยโดยไม่จำเป็นอีกด้วย
ข้อควรระวังและผลข้างเคียงจากยา sibutramine
ผู้ป่วยดังต่อไปนี้ควรระวังในการใช้ยา sibutramine เนื่องจากอาจเสี่ยงต่อการได้รับผลข้างเคียงจากยาได้
- ในระหว่างที่ใช้ยา sibutramine ผู้ป่วยบางรายอาจมีระดับความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้นได้ ดังนั้นมี ควรมีการตรวจระดับความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจอยู่เสมอ
- ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก
- ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออกและผู้ที่ใช้ยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น warfarin หรือ aspirin เนื่องจาก มีรายงานการเกิดเลือดออกจากการใช้ยา sibutramine
- ผู้ป่วยที่เป็นโรคหรือมีความผิดปกติเกี่ยวกับตับ หรือไต รวมถึงผู้ป่วยฟอกไตด้วยเช่นกัน
- ผู้ที่มีประวัติชัก (seizure) เนื่องจากพบรายงานอาการชักจากการใช้ยา sibutramine
- ผู้ที่มีประวัติเป็นโรค neuroleptic marlignant syndrome (NMS)
- ผู้ที่มีประวัติเป็นนิ่ว เนื่องจากการลดน้ำหนักอาจเป็นสาเหตุในการทำให้เกิดนิ่วได้
- ผลข้างเคียงที่พบได้ในผู้ที่รับประทานยา sibutramine ได้แก่ ปากแห้ง คอแห้ง ท้องผูก ปวดศีรษะ นอนไม่หลับ และ เบื่ออาหาร
การหาซื้อยาลดความอ้วนมารับประทานเองโดยไม่ได้รับการซักประวัติและตรวจร่างกายอย่างเหมาะสมเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อการได้รับผลข้างเคียงที่รุนแรงจากยา ดังนั้นการใช้ยาลดความอ้วน sibutramine จึงควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด เพื่อให้มีกาสั่งจ่ายยา ปรับขนาดยา และเฝ้าระวังการเกิดผลข้างเคียงจากยาได้อย่างเหมาะสม
Public
6 Jul 2016
วิจัยพบคนไทยอายุยืนน้อย เฉลี่ย 71-77 ปี หนำซ้ำสุขภาพไม่สมบูรณ์ เหตุ 3 ปัจจัย
กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ NCDs เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดภาระโรคที่สูงเพิ่มขึ้น เป็นผลจากพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพของคนไทย โดยมีปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ คือ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ และภาวะน้ำหนักเกินที่เกิดจากการบริโภคไม่เหมาะสม ขาดการออกกำลังกายที่เพียงพอ
สาเหตุหลักของการสูญเสียจำนวนปีแห่งการมีสุขภาพที่ดีในเพศชาย 3 อันดับแรก คือ 1. อุบัติเหตุทางถนน 2. การดื่มแอลกอฮอล์ และ 3. โรคหลอดเลือดสมอง
ส่วนเพศหญิง 3 อันดับแรก คือ 1. โรคหลอดเลือดสมอง 2. โรคเบาหวาน และ 3.โรคซึมเศร้า
กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ NCDs เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดภาระโรคที่สูงเพิ่มขึ้น เป็นผลจากพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพของคนไทย โดยมีปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ คือ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ และภาวะน้ำหนักเกินที่เกิดจากการบริโภคไม่เหมาะสม ขาดการออกกำลังกายที่เพียงพอ
สาเหตุหลักของการสูญเสียจำนวนปีแห่งการมีสุขภาพที่ดีในเพศชาย 3 อันดับแรก คือ 1. อุบัติเหตุทางถนน 2. การดื่มแอลกอฮอล์ และ 3. โรคหลอดเลือดสมอง
ส่วนเพศหญิง 3 อันดับแรก คือ 1. โรคหลอดเลือดสมอง 2. โรคเบาหวาน และ 3.โรคซึมเศร้า
no plus ones
Public
28 Jul 2015
อาการโรคอัมพาตที่พบบ่อย คือ แขน ขาอ่อนแรงครึ่งซีกของร่างกาย ปากเบี้ยว หลับตาไม่สนิท พูดไม่ชัด พูดลำบาก นึกคำพูดไม่ออก
อาการผิดปกติของโรคอัมพาตจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทันทีทันใด ไม่มีอาการเตือน พบบ่อยหลังตื่นนอน และขณะทำกิจกรรม
ถ้ามีอาการผิดปกติดังกล่าวให้ไปแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลทันที แล้วบอกพยาบาลว่าสงสัยเป็นอัมพาต
...................................................................
โรคหลอดเลือดสมองหรือโรคอัมพาต (stroke) เรื่องใกล้ตัว 10 อย่างที่ต้องรู้
ใครๆ ก็ไม่อยากเป็นโรคอัมพาต เพราะรู้ว่ารักษาไม่หาย ต้องเป็นภาระของคนในครอบครัว เนื่องจากไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ คนส่วนใหญ่ยังคิดว่าโรคอัมพาตเป็นโรคเวรโรคกรรม ไม่สามารถป้องกันได้ ไม่สามารถรักษาให้หายได้ ใครเป็นแล้วก็เป็นไปตลอดชีวิต ท่านเข้าใจผิดแล้วครับ ผมขอบอกว่าปัจจุบันโรคอัมพาตสามารถรักษาให้หายได้ ป้องกันได้ ต้องติดตาม 10 อย่างที่คุณต้องไม่พลาดเกี่ยวกับโรคอัมพาต
1. ทุกๆ 4 นาทีมีคนไทยเป็นอัมพาต 1 คน และทุกๆ 10 นาทีมีคนไทยเสียชีวิตด้วยโรคอัมพาต
2. ผู้ชายมีโอกาสเป็นอัมพาตได้บ่อยกว่าผู้หญิง ถ้าใครมีคุณพ่อ คุณแม่เป็นโรคอัมพาต ก็มีโอกาสเป็นโรคอัมพาตสูงกว่าคนอื่นๆ ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจขาดเลือด โรคหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ คนอ้วน ไม่ออกกำลังกายก็เป็นกลุ่มคนที่เป็นโรคอัมพาตได้บ่อย
3. อาการโรคอัมพาตที่พบบ่อย คือ แขน ขาอ่อนแรงครึ่งซีกของร่างกาย ปากเบี้ยว หลับตาไม่สนิท พูดไม่ชัด พูดลำบาก นึกคำพูดไม่ออก
4. อาการผิดปกติของโรคอัมพาตจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทันทีทันใด ไม่มีอาการเตือน พบบ่อยหลังตื่นนอน และขณะทำกิจกรรม
5. ถ้ามีอาการผิดปกติข้างต้นให้รีบไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด ย้ำครับต้องไปโรงพยาบาล ห้ามไปพบแพทย์ที่คลินิก ให้ไปแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลทันที แล้วบอกพยาบาลที่สอบถามอาการผิดปกติว่าสงสัยเป็นอัมพาต
6. แพทย์จะรีบให้การตรวจรักษาด้วยระบบทางด่วนโรคอัมพาต (stroke fast track) ท่านจะได้รับการตรวจรักษาอย่างรวดเร็ว เอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมอง ตรวจเลือด และสามารถบอกผลการตรวจได้ภายในเวลาไม่เกิน 40 นาที
7. เมื่อแพทย์ทราบว่าผลการตรวจวินิจฉัยเข้าได้กับโรคอัมพาตชนิดสมองขาดเลือดเฉียบพลัน และไม่มีข้อห้ามในการให้ยาละลายลิ่มเลือด จะแนะนำวิธีการรักษาด้วยการฉีดยาละลายลิ่มเลือด เพื่อให้ผู้ป่วยและญาติตัดสินใจรับการรักษา ซึ่งผู้ป่วยที่รับการรักษาด้วยยาละลายลิ่มเลือดนี้มีโอกาสหายดีร้อยละ 50 ที่ระยะเวลา 3 เดือน
8. การรักษาด้วยระบบ stroke fast track และได้รับยาละลายลิ่มเลือดมีค่ารักษาประมาณ 70,000 ถึง 100,000 บาท แต่คนไทยทุกคนไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเลยแม้แต่บาทเดียว ไม่ว่าท่านจะใช้สิทธิ์การรักษาใดๆ เพียงแค่ท่านรักษาในโรงพยาบาลของรัฐ ซึ่งในปัจจุบันมากกว่า 70 จังหวัดของประเทศไทยสามารถให้การรักษาด้วยวิธีนี้ได้ โดยเฉพาะภาคอีสานทั้ง 20 จังหวัดและโรงพยาบาลชุมชนขนาดใหญ่อีก 13 แห่งสามารถให้การรักษาด้วยวิธีนี้ได้
9. ปัจจุบันคนไทยยังเข้าถึงระบบการรักษา “ทางด่วนโรคอัมพาต” ประมาณร้อยละ 15 เท่านั้น ทำให้มีผู่วยได้รับการรักษาด้วยยาละลายลิ่มเลือดเพียงร้อยละ 3.81 เท่านั้น จึงทำให้มีผู้ป่วยโรคอัมพาตอีกจำนวนมากที่ไม่ได้รับการรักษาที่ดี ทั้งๆ ที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ถ้าเกิดอาการผิดปกติสงสัยเป็นโรคอัมพาต เพียงท่านโทร 1669 หรือหมายเลขโทรศัพท์ห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลใกล้บ้าน ก็จะมีรถพยาบาลมารับตัวท่านนำส่งโรงพยาบาลด้วยความรวดเร็ว และไม่เสียค่าใช้จ่ายเช่นเดียวกัน
10. ถ้าท่านไม่ต้องการเป็นโรคอัมพาต ใช้หลัก 3 ต้อง 4 ไม่ คือ 1.ต้องตรวจสุขภาพประจำปี 2. ต้องรักษาโรคประจำตัว 3. ต้องออกกำลังกาย และ 1. ไม่สูบบุหรี่ 2. ไม่เครียด 3. ไม่ดื่มเหล้า และ 4. ไม่อ้วน เท่านี้ท่านกก็ห่างจากโรคอัมพาตได้
โปรดจำไว้ว่า ถ้าท่านมีอาการผิดปกติสงสัยโรคอัมพาต ให้รีบมาโรงพยาบาลทันที
“ทุกนาที คือ ชีวิต เร็วก็รอด ปลอดอัมพาต”
เรียบเรียงโดย รศ.นพ. สมศักดิ์ เทียมเก่า แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทวิทยา
https://www.facebook.com/somsak.tiamkao/posts/799888133466071
อาการผิดปกติของโรคอัมพาตจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทันทีทันใด ไม่มีอาการเตือน พบบ่อยหลังตื่นนอน และขณะทำกิจกรรม
ถ้ามีอาการผิดปกติดังกล่าวให้ไปแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลทันที แล้วบอกพยาบาลว่าสงสัยเป็นอัมพาต
...................................................................
โรคหลอดเลือดสมองหรือโรคอัมพาต (stroke) เรื่องใกล้ตัว 10 อย่างที่ต้องรู้
ใครๆ ก็ไม่อยากเป็นโรคอัมพาต เพราะรู้ว่ารักษาไม่หาย ต้องเป็นภาระของคนในครอบครัว เนื่องจากไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ คนส่วนใหญ่ยังคิดว่าโรคอัมพาตเป็นโรคเวรโรคกรรม ไม่สามารถป้องกันได้ ไม่สามารถรักษาให้หายได้ ใครเป็นแล้วก็เป็นไปตลอดชีวิต ท่านเข้าใจผิดแล้วครับ ผมขอบอกว่าปัจจุบันโรคอัมพาตสามารถรักษาให้หายได้ ป้องกันได้ ต้องติดตาม 10 อย่างที่คุณต้องไม่พลาดเกี่ยวกับโรคอัมพาต
1. ทุกๆ 4 นาทีมีคนไทยเป็นอัมพาต 1 คน และทุกๆ 10 นาทีมีคนไทยเสียชีวิตด้วยโรคอัมพาต
2. ผู้ชายมีโอกาสเป็นอัมพาตได้บ่อยกว่าผู้หญิง ถ้าใครมีคุณพ่อ คุณแม่เป็นโรคอัมพาต ก็มีโอกาสเป็นโรคอัมพาตสูงกว่าคนอื่นๆ ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจขาดเลือด โรคหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ คนอ้วน ไม่ออกกำลังกายก็เป็นกลุ่มคนที่เป็นโรคอัมพาตได้บ่อย
3. อาการโรคอัมพาตที่พบบ่อย คือ แขน ขาอ่อนแรงครึ่งซีกของร่างกาย ปากเบี้ยว หลับตาไม่สนิท พูดไม่ชัด พูดลำบาก นึกคำพูดไม่ออก
4. อาการผิดปกติของโรคอัมพาตจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทันทีทันใด ไม่มีอาการเตือน พบบ่อยหลังตื่นนอน และขณะทำกิจกรรม
5. ถ้ามีอาการผิดปกติข้างต้นให้รีบไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด ย้ำครับต้องไปโรงพยาบาล ห้ามไปพบแพทย์ที่คลินิก ให้ไปแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลทันที แล้วบอกพยาบาลที่สอบถามอาการผิดปกติว่าสงสัยเป็นอัมพาต
6. แพทย์จะรีบให้การตรวจรักษาด้วยระบบทางด่วนโรคอัมพาต (stroke fast track) ท่านจะได้รับการตรวจรักษาอย่างรวดเร็ว เอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมอง ตรวจเลือด และสามารถบอกผลการตรวจได้ภายในเวลาไม่เกิน 40 นาที
7. เมื่อแพทย์ทราบว่าผลการตรวจวินิจฉัยเข้าได้กับโรคอัมพาตชนิดสมองขาดเลือดเฉียบพลัน และไม่มีข้อห้ามในการให้ยาละลายลิ่มเลือด จะแนะนำวิธีการรักษาด้วยการฉีดยาละลายลิ่มเลือด เพื่อให้ผู้ป่วยและญาติตัดสินใจรับการรักษา ซึ่งผู้ป่วยที่รับการรักษาด้วยยาละลายลิ่มเลือดนี้มีโอกาสหายดีร้อยละ 50 ที่ระยะเวลา 3 เดือน
8. การรักษาด้วยระบบ stroke fast track และได้รับยาละลายลิ่มเลือดมีค่ารักษาประมาณ 70,000 ถึง 100,000 บาท แต่คนไทยทุกคนไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเลยแม้แต่บาทเดียว ไม่ว่าท่านจะใช้สิทธิ์การรักษาใดๆ เพียงแค่ท่านรักษาในโรงพยาบาลของรัฐ ซึ่งในปัจจุบันมากกว่า 70 จังหวัดของประเทศไทยสามารถให้การรักษาด้วยวิธีนี้ได้ โดยเฉพาะภาคอีสานทั้ง 20 จังหวัดและโรงพยาบาลชุมชนขนาดใหญ่อีก 13 แห่งสามารถให้การรักษาด้วยวิธีนี้ได้
9. ปัจจุบันคนไทยยังเข้าถึงระบบการรักษา “ทางด่วนโรคอัมพาต” ประมาณร้อยละ 15 เท่านั้น ทำให้มีผู่วยได้รับการรักษาด้วยยาละลายลิ่มเลือดเพียงร้อยละ 3.81 เท่านั้น จึงทำให้มีผู้ป่วยโรคอัมพาตอีกจำนวนมากที่ไม่ได้รับการรักษาที่ดี ทั้งๆ ที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ถ้าเกิดอาการผิดปกติสงสัยเป็นโรคอัมพาต เพียงท่านโทร 1669 หรือหมายเลขโทรศัพท์ห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลใกล้บ้าน ก็จะมีรถพยาบาลมารับตัวท่านนำส่งโรงพยาบาลด้วยความรวดเร็ว และไม่เสียค่าใช้จ่ายเช่นเดียวกัน
10. ถ้าท่านไม่ต้องการเป็นโรคอัมพาต ใช้หลัก 3 ต้อง 4 ไม่ คือ 1.ต้องตรวจสุขภาพประจำปี 2. ต้องรักษาโรคประจำตัว 3. ต้องออกกำลังกาย และ 1. ไม่สูบบุหรี่ 2. ไม่เครียด 3. ไม่ดื่มเหล้า และ 4. ไม่อ้วน เท่านี้ท่านกก็ห่างจากโรคอัมพาตได้
โปรดจำไว้ว่า ถ้าท่านมีอาการผิดปกติสงสัยโรคอัมพาต ให้รีบมาโรงพยาบาลทันที
“ทุกนาที คือ ชีวิต เร็วก็รอด ปลอดอัมพาต”
เรียบเรียงโดย รศ.นพ. สมศักดิ์ เทียมเก่า แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทวิทยา
https://www.facebook.com/somsak.tiamkao/posts/799888133466071
‹
›
2015-07-28
10 Photos - View album
Public
11 Aug 2017
อัมพาต: 270 นาทีชีวิต (Stroke Fast Track)
270 นาทีชีวิต คือ ระยะเวลาที่แพทย์ใช้ในการวางแผนการรักษาและตัดสินใจในการรักษาผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองชนิดขาดเลือดมาเลี้ยงหรือ เนื้อสมองตายเหตุขาดเลือด
การฉีดยาละลายลิ่มเลือด (Thrombolytic drug) ต้องรีบให้การรักษาอย่างรวดเร็วที่สุด ต้องภายใน 270 นาที นับตั้งแต่นาทีแรกที่ผู้ป่วยมีอาการจนถึงเวลาที่แพทย์ฉีดยาละลายลิ่มเลือดเข้าทางหลอดเลือดดำของผู้ป่วย
อาการเตือนสำคัญที่บ่งบอกว่าผู้ป่วยอาจจะมีปัญหาโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน
พูดไม่ได้ , พูดไม่ชัดทันทีทันใด
แขน – ขา ชา อ่อนแรง ข้างใดข้างหนึ่งทันทีทันใด
เดิน เซ เวียนศีรษะทันทีทันใด
F : FACE หมายถึง การตรวจดูใบหน้าผิดรูป หรือปากเบี้ยวหรือไม่
A : Arms หมายถึง มีอาการแขน – ขาอ่อนแรงหรือไม่
S : Speech หมายถึง มีอาการพูดลำบาก , พูดไม่ชัด , พูดไม่ออก หรือไม่
T : time หมายถึง เวลาที่เกิดอาการและเวลาที่ต้องเรียก1669 หรือรีบพามาโรงพยาบาล
ค่ารักษาพยาบาลด้วยยาละลายลิ่มเลือด ค่าใช้จ่ายประมาณ 70,000 บาท แต่ทุกคนที่เป็นคนไทย รักษาฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่ายในผู้ป่วยคนไทยทุกคน และทุกสิทธิการรักษา
http://haamor.com/th/อัมพาต270นาทีชีวิต/
270 นาทีชีวิต คือ ระยะเวลาที่แพทย์ใช้ในการวางแผนการรักษาและตัดสินใจในการรักษาผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองชนิดขาดเลือดมาเลี้ยงหรือ เนื้อสมองตายเหตุขาดเลือด
การฉีดยาละลายลิ่มเลือด (Thrombolytic drug) ต้องรีบให้การรักษาอย่างรวดเร็วที่สุด ต้องภายใน 270 นาที นับตั้งแต่นาทีแรกที่ผู้ป่วยมีอาการจนถึงเวลาที่แพทย์ฉีดยาละลายลิ่มเลือดเข้าทางหลอดเลือดดำของผู้ป่วย
อาการเตือนสำคัญที่บ่งบอกว่าผู้ป่วยอาจจะมีปัญหาโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน
พูดไม่ได้ , พูดไม่ชัดทันทีทันใด
แขน – ขา ชา อ่อนแรง ข้างใดข้างหนึ่งทันทีทันใด
เดิน เซ เวียนศีรษะทันทีทันใด
F : FACE หมายถึง การตรวจดูใบหน้าผิดรูป หรือปากเบี้ยวหรือไม่
A : Arms หมายถึง มีอาการแขน – ขาอ่อนแรงหรือไม่
S : Speech หมายถึง มีอาการพูดลำบาก , พูดไม่ชัด , พูดไม่ออก หรือไม่
T : time หมายถึง เวลาที่เกิดอาการและเวลาที่ต้องเรียก1669 หรือรีบพามาโรงพยาบาล
ค่ารักษาพยาบาลด้วยยาละลายลิ่มเลือด ค่าใช้จ่ายประมาณ 70,000 บาท แต่ทุกคนที่เป็นคนไทย รักษาฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่ายในผู้ป่วยคนไทยทุกคน และทุกสิทธิการรักษา
http://haamor.com/th/อัมพาต270นาทีชีวิต/
Public
23 Feb 2016
อาการของโรคเบาหวานมักเกิดขึ้นอย่างช้าๆ หรืออาจไม่ปรากฏอาการเลยก็ได้ ลักษณะอาการที่พบบ่อยๆได้แก่
- สายตาพร่ามัว
- เป็นแผลเรื้อรัง
- ปวดและชาตามมือและเท้า
- มีการติดเชื้อที่ผิวหนัง ปาก หรือ กระเพาะปัสสาวะบ่อยครั้ง
ปัสสาวะมาก กระหายน้ำบ่อย
ส่วนโรคแทรกซ้อนสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน อาทิ ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง เบาหวานขึ้นจอประสาทตา โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคไต และแผลติดเชื้อต่างๆ
ดังนั้นเพื่อนสมาชิกดูแลรักษาสุขภาพ เลือกรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ และออกกำลังกายกันอย่างสม่ำเสมอกันด้วยนะคะ
https://www.facebook.com/niem1669/photos/a.184197408286083.35030.149774598395031/1030495433656272/
- สายตาพร่ามัว
- เป็นแผลเรื้อรัง
- ปวดและชาตามมือและเท้า
- มีการติดเชื้อที่ผิวหนัง ปาก หรือ กระเพาะปัสสาวะบ่อยครั้ง
ปัสสาวะมาก กระหายน้ำบ่อย
ส่วนโรคแทรกซ้อนสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน อาทิ ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง เบาหวานขึ้นจอประสาทตา โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคไต และแผลติดเชื้อต่างๆ
ดังนั้นเพื่อนสมาชิกดูแลรักษาสุขภาพ เลือกรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ และออกกำลังกายกันอย่างสม่ำเสมอกันด้วยนะคะ
https://www.facebook.com/niem1669/photos/a.184197408286083.35030.149774598395031/1030495433656272/
ยาลดความอ้วนกับอาการทางจิต ตอนที่ 1 ยาลดความอ้วน(จริงๆ)
ผมโพสบทความนี้ขึ้นมาเล่าให้ฟังกัน เพราะพึ่งไปอ่านกระทู้ในพันทิปมา ราวๆ ว่ากินยาลดความอ้วนแล้วป่วยมีอาการทางจิตขึ้นมา แม้จะกระทู้จะยังมีเถียงกันอยู่ว่าแต่งไม่แต่ง จริงไม่จริง แต่ถ้าว่ากันจริงๆ ข่าวทำนองนี้ก็พบเห็นได้เรื่อยๆ
??? ถามว่ายาลดความอ้วนทำให้เกิดอาการทางจิตได้จริงหรือไม่ คำตอบคือ จริง!!! และเจอบ่อยด้วย
ส่วนตัวในคลินิกที่ผมทำอยู่ก็พบผู้มีอาการทางจิตที่เกิดจากการใช้ยาลดความอ้วนได้เรื่อยๆ ประมาณ 1 รายต่อเดือนได้_''
ปัจจุบันเดินไปไหน จะพบเห็นคลินิกลดความอ้วนได้เต็มไปหมด ทั้งที่เปิดโต้งๆ และเปิดแบบแอบๆ รวมทั้งร้านขายยา และคลินิกเถื่อนที่ตั้งโดยไม่ถูกกฎหมายอีกจำนวนมาก
จากข้อมูลเก่าในปี 2547 พบว่าคลินิกลดความอ้วนที่ถูกต้องตามกฎหมายในกรุงเทพ มีมากกว่า 1,800 แห่ง มีการจ่ายยาลดความอ้วน (นับเฉพาะที่ถูกกฎหมาย) โดยองค์การอาหารและยาไปปีเดียวมากกว่า 15 ล้านเม็ด !!! (เดากันเอาเองนะครับว่ามีคนกินทั้งหมดกี่คน เพราะข้อมูลไม่สามารถบอกจำนวนคนใช้ได้ว่ามีกี่คน) ซึ่งไม่ต้องนึกเลยว่า ปัจจุบันนี้คาดกันว่าตัวเลขจะสูงกว่านี้อีกหลายเท่า ยิ่งหากนับยาที่จ่ายไปโดยร้านขายยาเถื่อน คลินิกเถื่อน และยาเถื่อนไปด้วยคาดว่าคงมีจำนวนหลายสิบล้านเม็ด
.
:) มารู้จักยาลดความอ้วนกัน :)
ในที่นี้ผมจะแบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ ยาลดความอ้วนจริงๆ ที่ถูกต้องตามทะเบียนยา ซึ่งผมจะพูดในโพสนี้ กับยาลดความอ้วนแบบ...แบบ ... แบบผีบอก แบบมั่วๆ หรือแบบไม่ตรงทะเบียนยา (แล้วแต่ว่าชอบคำไหน) ในตอนถัดไปนะครับ
o.O ยาลดความอ้วนที่ถูกกฎหมายและถูกต้องตามทะเบียนยา o.O
มีหลักๆ ที่พูดถึงและใช้(เคยใช้)กันบ่อยๆ อยู่แค่ 2-3 ตัวเท่านั้น
โดยหากแบ่งตามกลไกการออกฤทธิ์แล้วจะแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มได้แก่
1. ยาที่ออกฤทธิ์ผ่านระบบประสาทส่วนกลาง หรือพูดง่าย ๆ ก็คือออกฤทธิ์ที่สมองนั่นแหละ ยาในกลุ่มนี้เกือบทั้งหมดในทางกฎหมายแล้วจัดว่าเป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท แปลว่าห้ามจำหน่ายเองโดยร้านขายยาหรือในสถานลดน้ำหนักที่ไม่ใช่สถานพยาบาล แต่ในชีวิตจริงก็พบว่าสามารถหาซื้อได้ทั่วไปแบบไม่ยากเย็นอะไร ตัวอย่างยายอดนิยมในกลุ่มนี้ได้แก่
#ยาไซบูทรามีน (Sibutramine เป็นชื่อสามัญ แต่หลายคนอาจรู้จักในชื่อการค้ามากกว่าคือ Reductil)
เป็นยาที่ในอดีตเป็นที่นิยมมาก และถูกต้องตามกฎหมาย ใช้กันเกลื่อนกลาดกันแทบจะทุกคลินิก แต่ต่อมาพบว่ายาตัวนี้มีอันตรายและมีผลข้างเคียงที่รุนแรงถึงชีวิต ทางบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายจึงได้ขอถอนตัวยาของตัวเองออกจากทะเบียนยาไปในปี คศ. 2010 ทำให้ปริมาณการใช้ลดลงมาก เพราะถือว่าผิดกฎหมายและเป็นยาเถื่อนไปแล้ว
แต่ในปัจจุบันก็ยังพอพบเห็นได้อยู่ตามร้านขายยาหรือคลินิก โดยลักลอบนำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งมีทั้งตัวยาของจริงที่มีเหลือค้างสต็อคอยู่ในบางประเทศ และตัวยาของปลอมที่ผลิตขึ้นมาเอง
นอกจากนี้ยาไซบูทรามีนยังถูกนำมาใช้โดยการแอบผสมในกาแฟสำเร็จรูปที่อ้างว่าลดน้ำหนักหรือในอาหารสมุนไพรลดน้ำหนักต่าง ๆ เพื่อให้มีผลในการลดความอ้วน
กลไกการออกฤทธิ์ของยาไซบูทรามีนคือการกดสมองส่วนความอยากอาหาร ทำให้รู้สึกเบื่ออาหาร นอกจากนี้ยายังมีผลทำให้เพิ่มระดับของสารสื่อประสาทซีโรโทนิน (serotonin) นอร์อิฟิเนฟฟลิน (norepinephrine) และโดปามีน (dopamine) ซึ่งทั้งสามตัวเป็นสารที่มีผลต่อเรื่องของอารมณ์ และอาการทางจิต
การที่ร่างกายมีสารสื่อประสาทโดปามีนทำงานมากเกินปกติ → อาจจะมีผลทำให้เกิดอาการหูแว่ว หวาดระแวง เห็นภาพหลอนได้ ซึ่งเป็นกลไกเดียวกับการที่เสพยาบ้าหรือยาไอซ์แล้วเกิดอาการหลอน เพราะยาเสพติดทั้งสองตัวนี้มีผลเพิ่มการทำงานของสารสื่อประสาทโดปามีนเหมือนกัน
โดยผลข้างเคียงที่พบบ่อยของยากลุ่มนี้ได้แก่ ปวดหัว ปากแห้ง เบื่ออาหาร ท้องผูก ใจสั่นและนอนไม่หลับ แต่ผลข้างเคียงที่รุนแรงได้แก่ อาการซึมเศร้า (รวมไปถึงการฆ่าตัวตาย) หูแว่วหวาดระแวง (psychosis) และอาการแมเนีย (mania) นอกจากนี้ยังพบว่ามีผลทำให้เกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบและโรคหัวใจขาดเลือดได้ ซึ่งเป็นเหตุผลให้ผู้ผลิตต้องยอมเลิกผลิตยาตัวนี้ไป
.
#ยาเฟนเทอมีน (Phentermine) แต่เดิมช่วงหนึ่งเคยตกเป็นรองยาไซบูทรามีน (ด้านความนิยม) แต่พอยาไซบูทรามีนเลิกจำหน่ายไป ก็กลับมาโดดเด่นเป็นยาที่ถูกใช้บ่อยที่สุดตัวหนึ่ง ยาตัวนี้ออกฤทธิ์คล้าย ๆ กับไซบูทรามีนคือกระตุ้นศูนย์ความอิ่มในสมอง ทำให้กินแล้วรู้สึกอิ่มไม่อยากอาหาร โดยหลักการแล้วที่จริงยาตัวนี้มีลักษณะคล้ายอนุพันธ์ของยาบ้า (amphetamine) ทำให้หากกินยาตัวนี้แล้ว โดนตรวจปัสสาวะ อาจพบว่า “ฉี่ม่วง” ได้ และอย่าแปลกใจที่หากใช้ไปนาน ๆ อาจจะมีผลข้างเคียงหูแว่วประสาทหลอนเหมือนเสพยาบ้าได้
โดยผลข้างเคียงที่พบบ่อยได้แก่ ใจสั่น ความดันสูง ปวดหัว นอนไม่หลับ ท้องผูก อารมณ์หงุดหงิด กระวนกระวาย ส่วนผลข้างเคียงที่รุนแรงได้แก่ อาการหูแว่วหวาดระแวง
* ยาในกลุ่มนี้จำเป็นต้องอยู่ภายใต้การดูแลควบคุมของแพทย์อย่างใกล้ชิด และห้ามใช้ติดต่อกันนานเกินกว่า 2-3 สัปดาห์โดยเด็ดขาด *
และ ข้อควรระวังอีกอย่างหนึ่งสำหรับยาในกลุ่มที่ออกฤทธิ์ที่ระบบประสาทส่วนกลางก็คือจะมีผลโยโย่เอฟเฟค (Yoyo effect) คือตอนที่กินยาอยู่ จะเบื่ออาหาร กินน้อย จนน้ำหนักลดลงจริง แต่พอเลิกกินก็จะกลับมากินเท่าเดิมหรือมากกว่าเดิม ทำให้หากไม่คุมอาหารหรือออกกำลังกายต่อไปด้วย จะกลับมาอ้วนเหมือนเดิมอย่างรวดเร็ว
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
2. ยาที่ออกฤทธิ์ขัดขวางการดูดซึมไขมันที่ลำไส้ ในปัจจุบันมีอยู่ตัวเดียวที่องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริการับรองให้ใช้ได้ รวมถึงในไทยด้วยคือยาโอลิสแตต (Orlistat หรือชื่อการค้าคือ Xenical) ยาตัวนี้ออกฤทธิ์โดยทำการยับยั้งการย่อยสลายไขมันในอาหาร ทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมได้ ทำให้ปริมาณไขมันที่ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายน้อยลง
หากเทียบกับยาในกลุ่มก่อนหน้านี้ ยาตัวนี้ถือว่ามีผลข้างเคียงที่น้อยกว่าเยอะ และค่อนข้างปลอดภัยกว่า รวมทั้งไม่มีผลข้างเคียงในเรื่องอาการทางจิต แต่ที่ทำให้ไม่ค่อยเป็นที่นิยมเท่าไหร่คือยามีผลข้างเคียงทำให้ถ่ายออกมาเป็นไขมัน เป็นมูก ๆ บางทีอาจมีไขมันซึมออกมาจนเปื้อนกางเกงในได้ ทำให้หลายคนรู้สึก อึ๋ย !!! ไม่ชอบใช้เท่าไหร่
แต่สิ่งที่คนมักเข้าใจผิดคือ คิดว่ากินยาตัวนี้แล้ว ไปกินแหลกยังไงก็ได้ไม่อ้วน ทำให้บางคนเล่นกินยาตัวนี้ก่อนจะไปกินบุปเฟห์หรืองานเลี้ยง เพราะคิดว่าจะได้กินเต็มที่ได้โดยไม่อ้วน แต่ที่จริงไม่ถูกต้อง !!! เพราะยาลดการดูดซึมไขมันได้เพียง 30-50% เท่านั้น ส่วนที่เหลือยังดูดซึมเข้าร่างกายได้อยู่ดี ผลก็คือ”เอาไม่อยู่”ครับ ขืนทำแบบนี้บ่อย ๆ ยังไงน้ำหนักก็คงไม่ลด
ปล. ในรูปนี่คือยา Phentermine ครับ (เครดิตรูปเอามาจาก wikipedia)
ปล. 2 ใครกินยาลดความอ้วนหน้าตาคล้ายๆ แบบนี้อยู่ จำไว้นะครับว่าตามหลักแล้ว ห้ามกินเกิน 2-3 อาทิตย์ หากใครกินมาเป็นเดือนแล้ว ให้ระวังไว้ว่าอาจจะเกิดอันตรายได้นะครับ !!!
#หมอคลองหลวง
ผมโพสบทความนี้ขึ้นมาเล่าให้ฟังกัน เพราะพึ่งไปอ่านกระทู้ในพันทิปมา ราวๆ ว่ากินยาลดความอ้วนแล้วป่วยมีอาการทางจิตขึ้นมา แม้จะกระทู้จะยังมีเถียงกันอยู่ว่าแต่งไม่แต่ง จริงไม่จริง แต่ถ้าว่ากันจริงๆ ข่าวทำนองนี้ก็พบเห็นได้เรื่อยๆ
??? ถามว่ายาลดความอ้วนทำให้เกิดอาการทางจิตได้จริงหรือไม่ คำตอบคือ จริง!!! และเจอบ่อยด้วย
ส่วนตัวในคลินิกที่ผมทำอยู่ก็พบผู้มีอาการทางจิตที่เกิดจากการใช้ยาลดความอ้วนได้เรื่อยๆ ประมาณ 1 รายต่อเดือนได้
ปัจจุบันเดินไปไหน จะพบเห็นคลินิกลดความอ้วนได้เต็มไปหมด ทั้งที่เปิดโต้งๆ และเปิดแบบแอบๆ รวมทั้งร้านขายยา และคลินิกเถื่อนที่ตั้งโดยไม่ถูกกฎหมายอีกจำนวนมาก
จากข้อมูลเก่าในปี 2547 พบว่าคลินิกลดความอ้วนที่ถูกต้องตามกฎหมายในกรุงเทพ มีมากกว่า 1,800 แห่ง มีการจ่ายยาลดความอ้วน (นับเฉพาะที่ถูกกฎหมาย) โดยองค์การอาหารและยาไปปีเดียวมากกว่า 15 ล้านเม็ด !!! (เดากันเอาเองนะครับว่ามีคนกินทั้งหมดกี่คน เพราะข้อมูลไม่สามารถบอกจำนวนคนใช้ได้ว่ามีกี่คน) ซึ่งไม่ต้องนึกเลยว่า ปัจจุบันนี้คาดกันว่าตัวเลขจะสูงกว่านี้อีกหลายเท่า ยิ่งหากนับยาที่จ่ายไปโดยร้านขายยาเถื่อน คลินิกเถื่อน และยาเถื่อนไปด้วยคาดว่าคงมีจำนวนหลายสิบล้านเม็ด
.
:) มารู้จักยาลดความอ้วนกัน :)
ในที่นี้ผมจะแบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ ยาลดความอ้วนจริงๆ ที่ถูกต้องตามทะเบียนยา ซึ่งผมจะพูดในโพสนี้ กับยาลดความอ้วนแบบ...แบบ ... แบบผีบอก แบบมั่วๆ หรือแบบไม่ตรงทะเบียนยา (แล้วแต่ว่าชอบคำไหน) ในตอนถัดไปนะครับ
o.O ยาลดความอ้วนที่ถูกกฎหมายและถูกต้องตามทะเบียนยา o.O
มีหลักๆ ที่พูดถึงและใช้(เคยใช้)กันบ่อยๆ อยู่แค่ 2-3 ตัวเท่านั้น
โดยหากแบ่งตามกลไกการออกฤทธิ์แล้วจะแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มได้แก่
1. ยาที่ออกฤทธิ์ผ่านระบบประสาทส่วนกลาง หรือพูดง่าย ๆ ก็คือออกฤทธิ์ที่สมองนั่นแหละ ยาในกลุ่มนี้เกือบทั้งหมดในทางกฎหมายแล้วจัดว่าเป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท แปลว่าห้ามจำหน่ายเองโดยร้านขายยาหรือในสถานลดน้ำหนักที่ไม่ใช่สถานพยาบาล แต่ในชีวิตจริงก็พบว่าสามารถหาซื้อได้ทั่วไปแบบไม่ยากเย็นอะไร ตัวอย่างยายอดนิยมในกลุ่มนี้ได้แก่
#ยาไซบูทรามีน (Sibutramine เป็นชื่อสามัญ แต่หลายคนอาจรู้จักในชื่อการค้ามากกว่าคือ Reductil)
เป็นยาที่ในอดีตเป็นที่นิยมมาก และถูกต้องตามกฎหมาย ใช้กันเกลื่อนกลาดกันแทบจะทุกคลินิก แต่ต่อมาพบว่ายาตัวนี้มีอันตรายและมีผลข้างเคียงที่รุนแรงถึงชีวิต ทางบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายจึงได้ขอถอนตัวยาของตัวเองออกจากทะเบียนยาไปในปี คศ. 2010 ทำให้ปริมาณการใช้ลดลงมาก เพราะถือว่าผิดกฎหมายและเป็นยาเถื่อนไปแล้ว
แต่ในปัจจุบันก็ยังพอพบเห็นได้อยู่ตามร้านขายยาหรือคลินิก โดยลักลอบนำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งมีทั้งตัวยาของจริงที่มีเหลือค้างสต็อคอยู่ในบางประเทศ และตัวยาของปลอมที่ผลิตขึ้นมาเอง
นอกจากนี้ยาไซบูทรามีนยังถูกนำมาใช้โดยการแอบผสมในกาแฟสำเร็จรูปที่อ้างว่าลดน้ำหนักหรือในอาหารสมุนไพรลดน้ำหนักต่าง ๆ เพื่อให้มีผลในการลดความอ้วน
กลไกการออกฤทธิ์ของยาไซบูทรามีนคือการกดสมองส่วนความอยากอาหาร ทำให้รู้สึกเบื่ออาหาร นอกจากนี้ยายังมีผลทำให้เพิ่มระดับของสารสื่อประสาทซีโรโทนิน (serotonin) นอร์อิฟิเนฟฟลิน (norepinephrine) และโดปามีน (dopamine) ซึ่งทั้งสามตัวเป็นสารที่มีผลต่อเรื่องของอารมณ์ และอาการทางจิต
การที่ร่างกายมีสารสื่อประสาทโดปามีนทำงานมากเกินปกติ → อาจจะมีผลทำให้เกิดอาการหูแว่ว หวาดระแวง เห็นภาพหลอนได้ ซึ่งเป็นกลไกเดียวกับการที่เสพยาบ้าหรือยาไอซ์แล้วเกิดอาการหลอน เพราะยาเสพติดทั้งสองตัวนี้มีผลเพิ่มการทำงานของสารสื่อประสาทโดปามีนเหมือนกัน
โดยผลข้างเคียงที่พบบ่อยของยากลุ่มนี้ได้แก่ ปวดหัว ปากแห้ง เบื่ออาหาร ท้องผูก ใจสั่นและนอนไม่หลับ แต่ผลข้างเคียงที่รุนแรงได้แก่ อาการซึมเศร้า (รวมไปถึงการฆ่าตัวตาย) หูแว่วหวาดระแวง (psychosis) และอาการแมเนีย (mania) นอกจากนี้ยังพบว่ามีผลทำให้เกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบและโรคหัวใจขาดเลือดได้ ซึ่งเป็นเหตุผลให้ผู้ผลิตต้องยอมเลิกผลิตยาตัวนี้ไป
.
#ยาเฟนเทอมีน (Phentermine) แต่เดิมช่วงหนึ่งเคยตกเป็นรองยาไซบูทรามีน (ด้านความนิยม) แต่พอยาไซบูทรามีนเลิกจำหน่ายไป ก็กลับมาโดดเด่นเป็นยาที่ถูกใช้บ่อยที่สุดตัวหนึ่ง ยาตัวนี้ออกฤทธิ์คล้าย ๆ กับไซบูทรามีนคือกระตุ้นศูนย์ความอิ่มในสมอง ทำให้กินแล้วรู้สึกอิ่มไม่อยากอาหาร โดยหลักการแล้วที่จริงยาตัวนี้มีลักษณะคล้ายอนุพันธ์ของยาบ้า (amphetamine) ทำให้หากกินยาตัวนี้แล้ว โดนตรวจปัสสาวะ อาจพบว่า “ฉี่ม่วง” ได้ และอย่าแปลกใจที่หากใช้ไปนาน ๆ อาจจะมีผลข้างเคียงหูแว่วประสาทหลอนเหมือนเสพยาบ้าได้
โดยผลข้างเคียงที่พบบ่อยได้แก่ ใจสั่น ความดันสูง ปวดหัว นอนไม่หลับ ท้องผูก อารมณ์หงุดหงิด กระวนกระวาย ส่วนผลข้างเคียงที่รุนแรงได้แก่ อาการหูแว่วหวาดระแวง
* ยาในกลุ่มนี้จำเป็นต้องอยู่ภายใต้การดูแลควบคุมของแพทย์อย่างใกล้ชิด และห้ามใช้ติดต่อกันนานเกินกว่า 2-3 สัปดาห์โดยเด็ดขาด *
และ ข้อควรระวังอีกอย่างหนึ่งสำหรับยาในกลุ่มที่ออกฤทธิ์ที่ระบบประสาทส่วนกลางก็คือจะมีผลโยโย่เอฟเฟค (Yoyo effect) คือตอนที่กินยาอยู่ จะเบื่ออาหาร กินน้อย จนน้ำหนักลดลงจริง แต่พอเลิกกินก็จะกลับมากินเท่าเดิมหรือมากกว่าเดิม ทำให้หากไม่คุมอาหารหรือออกกำลังกายต่อไปด้วย จะกลับมาอ้วนเหมือนเดิมอย่างรวดเร็ว
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
2. ยาที่ออกฤทธิ์ขัดขวางการดูดซึมไขมันที่ลำไส้ ในปัจจุบันมีอยู่ตัวเดียวที่องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริการับรองให้ใช้ได้ รวมถึงในไทยด้วยคือยาโอลิสแตต (Orlistat หรือชื่อการค้าคือ Xenical) ยาตัวนี้ออกฤทธิ์โดยทำการยับยั้งการย่อยสลายไขมันในอาหาร ทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมได้ ทำให้ปริมาณไขมันที่ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายน้อยลง
หากเทียบกับยาในกลุ่มก่อนหน้านี้ ยาตัวนี้ถือว่ามีผลข้างเคียงที่น้อยกว่าเยอะ และค่อนข้างปลอดภัยกว่า รวมทั้งไม่มีผลข้างเคียงในเรื่องอาการทางจิต แต่ที่ทำให้ไม่ค่อยเป็นที่นิยมเท่าไหร่คือยามีผลข้างเคียงทำให้ถ่ายออกมาเป็นไขมัน เป็นมูก ๆ บางทีอาจมีไขมันซึมออกมาจนเปื้อนกางเกงในได้ ทำให้หลายคนรู้สึก อึ๋ย !!! ไม่ชอบใช้เท่าไหร่
แต่สิ่งที่คนมักเข้าใจผิดคือ คิดว่ากินยาตัวนี้แล้ว ไปกินแหลกยังไงก็ได้ไม่อ้วน ทำให้บางคนเล่นกินยาตัวนี้ก่อนจะไปกินบุปเฟห์หรืองานเลี้ยง เพราะคิดว่าจะได้กินเต็มที่ได้โดยไม่อ้วน แต่ที่จริงไม่ถูกต้อง !!! เพราะยาลดการดูดซึมไขมันได้เพียง 30-50% เท่านั้น ส่วนที่เหลือยังดูดซึมเข้าร่างกายได้อยู่ดี ผลก็คือ”เอาไม่อยู่”ครับ ขืนทำแบบนี้บ่อย ๆ ยังไงน้ำหนักก็คงไม่ลด
ปล. ในรูปนี่คือยา Phentermine ครับ (เครดิตรูปเอามาจาก wikipedia)
ปล. 2 ใครกินยาลดความอ้วนหน้าตาคล้ายๆ แบบนี้อยู่ จำไว้นะครับว่าตามหลักแล้ว ห้ามกินเกิน 2-3 อาทิตย์ หากใครกินมาเป็นเดือนแล้ว ให้ระวังไว้ว่าอาจจะเกิดอันตรายได้นะครับ !!!
#หมอคลองหลวง
Public
21 May 2015
น้ำมันทอดซ้ำเสื่อมสภาพ ก่อให้เกิดผลกระทบด้านสุขภาพ โดยสารโพลาร์ในน้ำมันทอดซ้ำเสื่อมสภาพเป็นสาเหตุก่อให้เกิดโรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน และโรคหลอดเลือดสมองอุดตัน
และสารพีเอเอช(PAH.)Polycyclic aromatic hydrocarbon เป็นสารก่อมะเร็ง
http://thainews.prd.go.th/centerweb/News/NewsDetail?NT01_NewsID=TNRPT5805210010002
และสารพีเอเอช(PAH.)Polycyclic aromatic hydrocarbon เป็นสารก่อมะเร็ง
http://thainews.prd.go.th/centerweb/News/NewsDetail?NT01_NewsID=TNRPT5805210010002
no plus ones
Public
15 Oct 2015
สำหรับผู้ที่สนใจ
อัมพฤกษ์..อัมพาต..โรคร้ายที่ป้องกันได้ทุกวันนี้มีคนไทยเป็นโรคนี้กว่า200,000รายต่อปี และมีคนไทยเสียชีวิตเฉลี่ยถึงชั่วโมงละ6ราย..
ทำอย่างไรไม่ให้เป็นโรค..
โรคนี้อาการอย่างไร..
ใครบ้างที่เสี่ยง..
รักษาได้หายหรือไม่...
ทุกคำถามมีคำตอบ พบกันที่งาน
"วันโรคหลอดเลือดสมองโลก"
วันที่30ต.คนี้ ที่รพ.สวนดอก.
อัมพฤกษ์..อัมพาต..โรคร้ายที่ป้องกันได้ทุกวันนี้มีคนไทยเป็นโรคนี้กว่า200,000รายต่อปี และมีคนไทยเสียชีวิตเฉลี่ยถึงชั่วโมงละ6ราย..
ทำอย่างไรไม่ให้เป็นโรค..
โรคนี้อาการอย่างไร..
ใครบ้างที่เสี่ยง..
รักษาได้หายหรือไม่...
ทุกคำถามมีคำตอบ พบกันที่งาน
"วันโรคหลอดเลือดสมองโลก"
วันที่30ต.คนี้ ที่รพ.สวนดอก.
ด้วยความห่วงใย
.....................
BETTER PHARMACY เจ็ดยอด เชียงใหม่
เราคัดสรรสิ่งที่ดี มีคุณภาพ เพื่อคุณ
FACEBOOK / BetterPharmacyCMG
LINE ID - BETTERCM
.....................
UPDATE - 2018.08.22
No comments:
Post a Comment