Monday, November 26, 2018

ภาวะขาดวิตามินดีในคนไทย

ข้อแนะนำเกี่ยวกับ ภาวะขาดวิตามินดี ในคนไทย
สมาคมต่อมไร้ท่อแห่งประเทศไทย
http://www.thaiendocrine.org/th/2017/10/16/ข้อแนะนำเกี่ยวกับ-ภาวะข/
PhotoPhotoPhotoPhotoPhotoPhotoPhoto
11/26/18
10 Photos - View album


















ด้วยความห่วงใย
.....................
BETTER PHARMACY เจ็ดยอด เชียงใหม่
เราคัดสรรสิ่งที่ดี มีคุณภาพ เพื่อคุณ

FACEBOOK / BetterPharmacyCMG
LINE ID - BETTERCM
.....................




UPDATE  -  2018.11.26

วิตะมินดี - VITAMIN D

ข้อแนะนำเกี่ยวกับ ภาวะขาดวิตามินดี ในคนไทย
สมาคมต่อมไร้ท่อแห่งประเทศไทย
http://www.thaiendocrine.org/th/2017/10/16/ข้อแนะนำเกี่ยวกับ-ภาวะข/
PhotoPhotoPhotoPhotoPhotoPhotoPhoto
11/26/18
10 Photos - View album
Add a comment...

อาหารเสริมจากปลาที่เรารู้จักกันดีก็คือ น้ำมันตับปลา ซึ่่งมีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 20 อุดมไปด้วยวิตะมินดี ป้องกันโรคกระดูกอ่อนในเด็ก ชิมครั้งเดียวจำไปจนตาย ต่อมาในปี 1970 มีงานวิจัยตีพิมพ์ว่า ชาวกรีนแลนด์ที่กินเนื้อสิงห์โตทะเล เนื้อปลาวาฬ และเนื้อปลาทะเลลึก มีอัตราการเกิดโรคหลอดเลือดและหัวใจต่ำกว่าคนเดนถึง 10 เท่า

น้ำมันปลา เป็นน้ำมันที่สกัดจากส่วนของเนื้อ หนัง หัว และหางของปลาทะเลน้ำลึกโดยเฉพาะปลาในเขตหนาว ในน้ำมันปลามีกรดไขมันหลายชนิด แต่ที่สำคัญและมีการนำมาใช้ทางการแพทย์ คือ กรดไขมันกลุ่มโอเมก้า 3 และกรดไขมันกลุ่มโอเมก้า 6 ซึ่งเป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน กรดไขมันกลุ่มโอเมก้า 3 ที่สำคัญ 2 ชนิด คือ กรดไอโคซาเพนตาอีโนอิก EPA และ DHAซึ่งเป็นกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย เพราะร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ ต้องได้รับจากอาหารเท่านั้น

ประโยชน์ของน้ำมันปลา
ลดระดับของไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือด และเพิ่มระดับของเอชดีแอลโคเลสเตอรอล
ป้องกันการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
ลดความดันโลหิต
บรรเทาอาการอักเสบ ปวด บวมของโรคปวดข้ออักเสบรูมาตอยด์
บำรุงระบบประสาทและสมอง
ลดการอักเสบของโรคสะเก็ดเงินหรือโรคเรื้อนกวาง

โดยกินเป็นอาหารเสริมเพื่อป้องกันโรคหัวใจ วันละ 1,000 มิลลิกรัม (1 แคปซูล) หลังอาหาร กินเพื่อรักษาโรค วันละ 3 กรัม (3 แคปซูล) หรือมากกว่านั้นตามคำแนะนำของแพทย์

ข้อควรระวัง.การกินน้ำมันปลาในปริมาณสูงมากกว่าวันละ 3 กรัม จะมีผลรบกวนการแข็งตัวของเลือด จึงต้องระวังในผู้ที่กินยาต้านการแข็งตัวของเลือด ยาวอร์ฟาริน ยาแอสไพริน

Fish oils - an update
https://www.pharmaceutical-journal.com/fish-oils-an-update/20003528.article

ขมิ้นชัน​ วิตะมินดี​ น้ำมันปลา​ โพรไบโอติกส์​ พรีไบโอติกส์
http://dailym.ai/2qYJFCG
Add a comment...

กินผัก​ กินไฟเบอร์​ กินวิตะมินดี
งดเนื้อแดง​ เนื้อสัตว์​ ออกกำลังกาย
ปิดท้ายด้วยการกินกระเทียม

What you eat and how you spend your time can drastically affect your cancer risk. Use these top 9 tips to help prevent colon cancer -- starting today!
Add a comment...

Add a comment...

ปริมาณวิตะมินที่จำเป็นต่อร่างกาย ที่ต้องการต่อวัน (RDA) ได้แก่

วิตะมินเอ ต้องการ 5000 IU และอาจกิน BETA CAROTENE ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของวิตะมินเอ ได้อีก 10,000 IU

VITAMIN B1 หรือ THIAMINE 1.5 mg

VITAMIN B2 หรือ RIBOFLAVIN 1.7 mg

NIACIN 20 mg

VITAMIN B5 หรือ Pantothenic acid 10 mg

VITAMIN B6 ผู้ชาย 2 มิลลิกรัม ผู้หญิง 10 มิลลิกรัม ไม่ควรกินมากเกินกว่านี้

VITAMIN B12 ต้องการ 2.5 mcg แต่เนื่องจากดูดซึมได้ไม่ดีนัก จึงควรกินในรูปของ Methylcobalamin ขนาด 1 มิลลิกรัม

วิตะมินซี RDA = 30 มิลลิกรัม ไมควรกินมากกว่า 250 มิลลิกรัม หรือ megadose 

วิตะมินดี ต้องการ 400 IU

วิตะมินอี ต้องการ 30 IU หรือ ในรูปของ natural mixed tocopherol 200 IU

วิตะมินเค ต้องการ 60 mcg

FOLIC ACID ผู้ชาย 400 mcg ผู้หญิง 800 mcg

BIOTIN  300 MCG


รายละเอียดเพิ่มเติม 
สืบค้นได้จากหนังสือ The Supplements You Need (2006)
Photo


แคลเซียม ถ้ากินเกิน 1000-1200 มิลลิกรัม อาจก่อให้เกิดหัวใจวาย(กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน) ควรกินแคลเซียมพร้อมอาหาร เพื่อเพิ่มการดูดซึม กินแคลเซียม 450 มิลลิกรัม คู่กับวิตะมินดี และอาหารประเทภโปรตีน

การกินวิตะมินดีมากเกินไป จะทำให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมเพิ่มขึ้น จนก่อให้เกิดอาการปวดกล้ามเนื้อ ปวดท้อง เกิดนิ่วในไต ควรกินวิตะมิน D3 แทนที่จะอยู่ในรูปของ D2 และถ้าเป็นไปได้ควรเจาะวัดระดับวิตะมินดีในเลือด

วิตะมินเอ ที่มากเกินไปจะทำให้ปวดหัว เป็นผื่น วิตะมินเอจะต้านฤทธิ์กับวิตะมินดี ก่อให้เกิดโรคกระดูกพรุน แต่ละวันควรได้รับวิตะมินเอไม่เกิน 5,000 IU


Are You Taking Too Much Calcium, A or D?
Overdoing supplements can hurt you
https://health.clevelandclinic.org/2014/05/supplements-taking-many-can-hurt/

อาหารเสริมที่ขายดีติดอันดับในปี 2011 ของอเมริกา
1. FISH OIL
2. วิตะมินรวม
3. วิตะมินดี
4. แคลเซียม
5. Coenzyme Q10


http://www.slideshare.net/fitango/drugssupplements
Photo
Add a comment...

วิตะมินรวมสำหรับเด็กมีความจำเป็นก็ต่อเมื่อ
เด็กกินอาหารผิดปกติ ขาดวิตะมินดี มีโรคเรื้อรัง แพ้อาหาร ขาดอาหาร เช่นกินผักอย่างเดียว

ทีนี้มาว่ากันเรื่องความสูง การที่เด็กจะสูงได้ถึงอายุเท่าไหร่นั้น ขึ้นกับว่าเด็กคนนั้นเป็นวัยรุ่นเร็วหรือช้า เพราะช่วงวัยรุ่น เป็นจังหวะที่เด็กจะสูงได้เยอะ และเป็นช่วงโค้งสุดท้ายก่อนหยุดสูง

สำหรับเด็กผู้หญิง จะเริ่มมีเต้านมตอนอายุประมาณ 9-10 ปี หลังจากนั้นจะสูงพุ่งต่ออีก 2 ปี ก่อนจะมีประจำเดือน ดังนั้น เด็กผู้หญิงสูงได้ถึงอายุประมาณ 16-18 ปี หรือหลังจากมีประจำเดือนประมาณ 3-4 ปี เมื่อมีประจำเดือนแล้ว ปลายกระดูกจะปิด ทำให้สูงอีกได้ไม่มากหลังมีประจำเดือน

ส่วนเด็กผู้ชายจะเริ่มสูงพุ่งตอนอายุประมาณ 11-12 ปี หรือ ตามหลังเด็กผู้หญิงประมาณ 2 ปี เด็กผู้ชายสูงได้ถึงอายุประมาณ 18-20 ปี หรือหลังจากมีเสียงแตกหนุ่มประมาณ 3-4 ปีเช่นเดียวกัน ในเพศชาย โดยทั่วไปกระดูก (Bone Age) จะปิดเมื่ออายุประมาณ 16 -18 ปี หรือจนกว่าร่างกายจะผลิตฮอร์โมนเพศเต็มที่ แต่เนื้อกระดูกจะยังเพิ่มอยู่

Vitamin D เป็นฮอร์โมนที่ร่างกายสังเคราะห์ได้จากแสงอาทิตย์ แต่ละวันจึงควรโดนแสงแดดโดยตรงวันละ 10-15 นาที (นานที่สุดวันละครึ่งชั่วโมง)

เป็นวิตะมินที่สำคัญสำหรับกระดูกและข้อ เหงือกและฟัน 
ใช้ในการป้องกันมะเร็งเต้านม ต่อมลูกหมาก มะเร็งปอด จากการลดต่ำลงของวิตะมินดี 

RDA กำหนดไว้ที่ 400 IU 
ในกรณที่ไม่โดนแดด สามารถกินเพิ่มได้อีก 400 IU 
แต่ห้ามกินเกินวันละ 1200 IU เนื่องจากวิตะมินดี เป็นวิตะมินที่ละลายในไขมัน อาจเกิดพิษจากการสะสมในร่างกายได้

รายละเอียดเพิ่มเติม 
สืบค้นได้จากหนังสือ The Supplements You Need (2006)
Photo

มีคนถามมาเรื่องกระเพาะปัสสาวะอักเสบ และต่อมลูกหมากโตในผู้ชาย จะป้องกันได้อย่างไร

อาหารเสริมสำหรับต่อมลูกหมากโตได้แก่
สารสกัดเมล็ดองุ่น ไลโคปีน สังกะสี สารสกัดจาก SAW PALMETTO

ส่วนการป้องกันการกลับเป็นซ้ำของกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ก็ยังมีคำแนะนำของการใช้ probiotics วิตะมินซี วิตะมินบี วิตะมินดี วิตะมินอี หลินจือ ถั่งเช่า

http://www.naturopathiccurrents.com/articles/kidney-infection-pyelonephritis
https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/25851287

การผ่าตัดเพื่อลดขนาดกระเพาะอาหาร ช่วยให้ลดน้ำหนักได้อย่างน้อย 5 ปี และลดโรคต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้นจากความอ้วนได้ อาทิเช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ระดับไขมันในเลือดที่ลดต่ำลง แต่อาจมีผลข้างเคียงจากการขาดวิตะมินดี ธาตุเหล็ก และผลข้างเคียงอื่นจากการผ่าตัด อาทิเช่น ทางเดินอาหารอุดตัน นิ่วในท่อน้ำดี

http://www.reuters.com/article/us-health-teens-obesity-surgery-idUSKBN14W2S1
Add a comment...

มีงานวิจัยที่ออกมาตั้งแต่ต้นเดือนสิงหา บอกว่า คนสูงอายุที่กินวิตะมินดี ไม่ได้ช่วยอะไรเลยในเรื่องของการป้องกันกระดูกพรุน ไปยกเวทยังจะช่วยป้องกันได้มากกว่า กลายเป็นว่าต่อไปนี้ ก็ไปซื้อเวทขนาดสัก 3 กิโลมา ให้คนสูงอายุยกขึ้นยกลงทุกวัน จะช่วยทำให้กระดูกแข็งแรง ป้องกันกระดูกพรุนได้ ว่าแต่ว่าคุณท่านจะทำหรือไม่เท่านั้น .... 


http://lacrossetribune.com/wisconsin-study-boosting-vitamin-d-makes-no-difference-in-bone/article_12773b17-d7a4-5e53-9e58-aa43c6e14d44.html
Add a comment...

เรื่องดีดี...ของวิตามิน

แม้ร่างกายเราจะรับวิตามินดีได้ง่าย เพียงแค่รับประทานปลา หรือการรับแสงแดดอ่อนๆ ในตอนเช้า แต่รู้ไหมว่าด้วยการใช้ชีวิตในออฟฟิศของเรา ทำให้ไม่ค่อยเจอแสงแดด รวมทั้งอายุที่เพิ่มขึ้นก็ส่งผลให้การดูดซึมวิตามินจากอาหารลดลง อาจทำให้ได้รับวิตามินดีไม่เพียงพอจนส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเราได้ค่ะ
Photo
Add a comment...

แคลเซียมและวิตามินดี
วิตามินบี
โอเมกา 3
โพแทสเซียม
แมกนีเซียม


http://health.haijai.com/3170/

ปรับก่อนป่วย : วิตามินดี ดีต่อผู้ป่วยภูมิแพ้ (31 พ.ค. 60) https://www.youtube.com/watch?v=ENu7UZHGOfQ

ใหม่! ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ไบโอ-วิตามิน ดี
เพื่อบำรุงสุขภาพ กระดูกและฟัน กล้ามเนื้อ และ ระบบภูมิคุ้มกัน

NEW ! Bio-Vitamin D3
Supports teeth, bones, muscles and immune system


Pharma Nord S.E.A
Photo

เซนทรัมวิตามินและเกลือแร่รวมที่จำเป็น 22 ชนิด พร้อม เบต้า-แคโรทีน, ลูทีน และ ไลโคปิน

ส่วนประกอบ ที่สำคัญใน 1 เม็ด
- ลูทีน 5% 100 mg.
- ไลโคปีน 10% 6 mg.
- เบต้า แคโรทีน 3.6 mg.
- ซิงก์ ออกไซด์ 9.3 mg.
- กรดแอสคอร์บิก 53.6 mg.

- ไดแคลเซียม ฟอสเฟต แอนไฮดรัส 548. 97 mg.
- แคลเซียม คาร์บอเนต 100.7 mg.
- แมกนีเซียม ออกไซด์ 92.8 mg.
- เฟอร์รัส ฟิวมาเลต 31.4 mg.
- ดีแอล แอลฟา โทโค เฟอริล แอซีเทต 24 mg.
- ไนอะซินาไมด์ 15 mg.
- แมงกานีสซัลเฟต โมโนไฮเดรต 9.8 mg.
- ดี แพนโททีเนต, แคลเซียม 5.4 mg.
- ไบโอติน 1% 4.5 mg.
- ไพริดอกซิน ไฮโดรคลอไรด์ 1.6 mg.
- ไรโบฟลาวิน 1.4 mg.
- คิวพริกซัลเฟต แอนไฮดรัส 1.25 mg.
- ไทอะมีน โมโนไนเตรต 1.2 mg.
- วิตามินดี3 100% 1.2 mg.
- วิตามินเอ แอซีเทต 1 mg.
- วิตามินเค 5% 0.5 mg.
- โครเมียม พิโคลิเนต 0.28 mg.
- วิตามินบี12 1% 0.15 mg.
- กรดโฟลิก 0.14 mg.
- โซเดียม ซีลีเนต 0.13 mg.
Photo

#ฟื้นฟูระบบการเผาผลาญอย่างไรให้ดียิ่งขึ้น?
[How to boost up your Body Metabolism ?]
.
🔥 ระบบการเผาผลาญของร่างกาย หรือ เมตาบอลิสม (Metabolism) คือ กระบวนการเผาผลาญสารอาหารที่เกิดขึ้นในเซลล์ของเราเพื่อให้เกิดพลังงานที่จะนำมาใช้ในการทำงานของร่างกายทั้งการทำงานของระบบอวัยวะต่าง ๆ และพลังงานที่ต้องใช้ในกิจกรรมระหว่างวัน
.
🔥 คนที่มีระบบการเผาผลาญดี (Good Metabolism) ร่างกายจะสามารถเผาผลาญอาหารที่กินเข้ามาในแต่ละวันได้อย่างสมบูรณ์ ต่างจากคนที่ระบบการเผาผลาญมีปัญหา โดยเฉพาะคนที่มีระบบการเผาผลาญต่ำ (Low Metabolism) ร่างกายมักจะเก็บสะสมอาหารที่ได้รับเข้ามาในรูปของไขมันตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ในขณะเดียวกันพลังงานที่จะสร้างเพื่อนำไปใช้ในระหว่างวันก็น้อยลง จึงทำให้มีอาการเหนื่อยเพลีย ไม่มีแรง
.
🔥 จะรู้ได้อย่างไรว่าร่างกายเรามีระบบการเผาผลาญดีหรือไม่ดี ? เร็วหรือช้า ? วันนี้หมอมีแนวทางการตรวจประเมินที่หมอใช้เป็นประจำมาเล่าให้ฟังครับ ลองมาดูกันนะครับว่าปัจจุบันนี้เรามีการตรวจอะไรบ้าง ? ที่สามารถทำได้ง่าย ๆ ไม่ยุ่งยากในการช่วยบอกว่าร่างกายเรามีระบบการเผาผลาญเป็นอย่างไร ?
.
[1] #น้ำตาลในเลือด (Fasting Blood sugar) และ #ระดับน้ำตาลสะสม (Glycated Hemoglobin : HbA1c) : เป็นตัวที่บอกเราว่าร่างกายของเรามีความสามารถในการนำน้ำตาลกลูโคสไปใช้ได้ดีหรือไม่ ?
.
[2] #ฮอร์โมนอินซูลิน (Fasting Insulin) : ควรเช็คคู่กับระดับน้ำตาลในเลือด เพราะจะทำให้รู้ว่าเรามีความเสี่ยงของภาวะดื้อต่อฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin resistance) หรือไม่ ? หากมีภาวะนี้ระบบการเผาผลาญจะต่ำลงมาก ร่างกายใช้น้ำตาลได้น้อย แต่เก็บสะสมไขมันมากขึ้น [ภาวะนี้ มักต่อยอดไปสู่ภาวะ ดื้อต่อฮอร์โมนเลปตินซึ่งแก้ได้ยากมาก]
.
[3] #ระดับไขมันในเลือด (Lipid profile) : บอกถึงระบบการจัดการไขมันในร่างกายของเรา หากมีค่าสูงทั้งคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์บ่งชี้ว่า ร่างกายเราเผาผลาญไขมันเหล่านี้ได้น้อยลง
.
[4] #ค่าการทำงานของตับ (Liver enzymes : AST, ALT, GGT,etc.) : เพราะตับทำหน้าที่สำคัญมากมาก ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของฮอร์โมนต่าง ๆ ให้เป็นสารที่ออกฤทธิ์หลัก (Active metabolite) การดีท็อกสารพิษ ขับไขมันออกจากร่างกาย สร้างสารอาหาร วิตามิน ต่าง ๆ มากมาย
.
[5] #ฮอร์โมนไทรอยด์ : ถือว่าเป็น Master of Metabolism เลยก็ว่าได้ เพราะไทรอยด์ฮอร์โมนออกฤทธิ์ได้เกือบทุกเซลล์ในร่างกายเกี่ยวกับการเผาผลาญ ดังนั้น ใครที่เผาผลาญไม่ดี ต้องเช็คตัวนี้ด่วน ฮอร์โมนที่หมอตรวจประจำได้แก่ TSH, FT3 & FT4 ค่าที่ใช้เป็นค่าที่เรียกว่า "Optimal Value" หรือ "ค่าที่ดีที่สุด" สำหรับร่างกายเรา ไม่ใช่ค่าในช่วงปกติ (Reference Range) นะครับ
.
[6] #ฮอร์โมนเพศชาย (Testosterone) : แนะนำให้ตรวจทั้งชายและหญิง เพราะตัวนี้คุมเรื่องการเผาผลาญ การสลายไขมัน สร้างกล้ามเนิ้อ และสมรรถภาพทางเพศที่ดีนั่นเอง
[7] #ฮอร์โมนเพศหญิง (Estradiol & Progesterone) : แนะนำให้เช็คทั้งชายและหญิงเช่นกันครับ เพราะเป็นฮอร์โมนที่มีในร่างกายเราทุกคน ผู้ชายที่มี 2 ตัวนี้ไม่สมดุลมักจะมีปัญหาเรื่องการเผาผลาญไม่ดี มีปัญหาเรื่องสมรรถภาพทางเพศลดลง เป็นต้น
.
[8] #ฮอร์โมนต่อมหมวกไต ได้แก่ ฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) และ ฮอร์โมนดีเอชอีเอ (DHEAS) : 2 ตัวนี้สำคัญมากในการควบคุมสมดุลของระบบการเผาผลาญในร่างกายเรา เพราะหากมีปัญหามักจะส่งผลกระทบไปทั่วทุกระบบ โดยเฉพาะคนที่มีภาวะ #ต่อมหมวกไตล้า นั่นเอง *หากมีปัญหาที่ฮอร์โมนต่อมหมวกไต สิ่งที่ตามมาก็คือ ปัญหาที่ฮอร์โมนไทรอยด์นั่นเอง*
.
[9] #วิตามินดี (Vitamin D level ; 25-OH-vitamin D) : เป็นวิตามินที่ช่วยฮอร์โมนหลาย ๆ ตัวทำงาน และเป็นวิตามินที่ออกฤทธิ์ได้ทุกเซลล์ในร่างกายเรา ช่วยเรื่องการเผาผลาญ ภูมิคุ้มกัน และ ความฟิตของร่างกาย ควรเช็คให้รู้ว่าเรามีเพียงพอแล้วหรือยัง ? เพราะหากขาดก็รักษาได้ง่าย
.
[10] #มวลกล้ามเนื้อ (Muscle mass) มวลไขมัน (Fat mass & Visceral fat) : จากการเช็คองค์ประกอบของร่างกาย (Body Composition) ด้วยเครื่องวัดเครื่องตรวจต่าง ๆ เช่น เครื่อง x-scan เป็นต้น เพราะเป้าหมายของการเพิ่มประสิทธิภาพของการเผาผลาญ (Boost up metabolism) คือ เราต้องเพิ่มมวลกล้ามเนื้อให้ได้ และต้องลดมวลไขมันลงเช่นกัน
.
ใครที่สงสัยว่าตัวเองเริ่มมีระบบการเผาผลาญที่ลดลง แนะนำให้ลองเข้ามาปรึกษาแพทย์และตรวจประเมินตามความเหมาะสมตามสุขภาพของแต่ละคนต่อไปนั่นเอง
.
นพ.เสฎฐวุฒิ งามเมธิชัยวงศ์
แพทย์ประจำศูนย์ Health Care สถาบันสุขภาพและความงาม ตรัยญา (TRIA Medical Wellness center)

การรักษามะเร็งตับโดยธรรมชาติบำบัด
ดร พรชัย ปรีชาปัญญา
โครงการวิจัยและพัฒนาอาหารเป็นยา
บริษัท เชียงใหม่ชยาดา จำกัด

มะเร็งตับ เกิดจากตับพิการที่ได้รับสารเคมีจากการกินอาหาร ยาย้อมผม พิษไวรัสบี เชื้อราเอลฟา และไขมันพอก มะเร็งชนิดนี้พบในคนทุกวัย
มะเร็งตับมีรูปร่างเป็นเส้นรอบตับไว้ และรัดจนตับตาย เริ่มจากไขมันพอกตับ การรักษาควร

1. กินเซซามิน 3 เม็ด ก่อนนอนและตื่นนอน ซึ่งทำลายมะเร็งตับโดยการตัดให้เป็นชิ้นเล็กและทำลาย หากร้อนในลดปริมาณลง นอกจากนั้นในเซซามินยังประกอบด้วย
• ทริปโตเฟนที่เป็นสารตั้งต้นของสารเมลาโทนินที่สังเคราะห์ด้วยต่อมไพเนียมซึ่งอยู่ใต้สมองสารชนิดนี้ลดการแพร่กระจายของเชลล์มะเร็ง
• แคลเซียมสูงมาก มากกว่านม 10 เท่า ใช้ป้องกันกระดูกจากมะเร็งที่จะลามมา
• ไฟเบอร์สูงใช้ป้องกันมะเร็งลำไส้ และกระตุ้นการขับถ่าย ซึ่งช่วยทำให้ลำใส้ใหญ่สร้างสารเมลาโทนินที่ช่วยป้องกันมะเร็งลาม
• คิวเท็นที่ช่วยป้องกันเซลล์ให้แข็งแรงโดยเฉพาะศูนย์กลางของเซลล์
• ไบโอทินช่วยสร้างวิตามินซี ซึ่งเป็นสารที่ล้อมให้มะเร็งไม่โต

2. ดื่มน้ำผึ้งญาดาตอนเช้าและก่อนนอนครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะ ที่ผสมวีนีก้าน้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ ตำลึง 100 กรัม และน้ำ 1 แก้ว ปั่นผสมกันแล้วดื่ม
• โดยน้ำผึ้งให้สารเควอซิทินที่ต้านการลามของมะเร็งมาที่ลำไส้ และเพิ่มประสิทธิภาพของวิตามินซีในการล้อมมะเร็ง
• ไคซีนที่เพิ่มประสิทธิภาพของเอสโตรเจนและเทสโทสเตอโรน ซึ่งฮอร์โมนทั้งสองต้านการลามของมะเร็งไปที่ระบบสืบพันธุ์ นอกจากนั้นไคซีนยังทำหน้าที่ป้องกันเซซามินจากสารก่อมะเร็งในระหว่างเส้นทางที่เดินทางและให้คอลลาเจนที่คอยเก็บมะเร็งที่ตายออกจากร่างกาย หากปล่อยไว้มะเร็งจะฟื้นขึ้นมาอีก ทำให้การรักษาไม่ประสพความสำเร็จ
• วิตามินซีที่ทำหน้าล้อมเซลล์มะเร็งไม่ให้โต
• วีนีก้าน้ำผึ้งให้สารอาซิติกที่ช่วยทำลายแลคติกที่เกาะที่ตับและไขมันเลือด และสารเอลลาจิกที่ช่วยทำลายการก่อตัวเพิ่มของมะเร็ง
• ตำลึงให้คลอโรฟิลล์ช่วยทดแทนการขาดเลือด โดยคลอโรฟิลล์มีโครงสร้างเหมือนเลือด แต่มีศูนย์กลางเป็นแมกนีเซียม เมื่อได้เหล็กจากน้ำผึ้งเข้าไปทดแทนทำหน้าที่คล้ายเลือด นอกจากนั้นครอโรฟิลล์ยังลดพิษของมะเร็ง
• ให้เบต้าแคโรทินที่ช่วยต้านการระบาดของมะเร็งไปที่ปอด รังไข่ มดลูก หรือต่อมลูกหมาก

3. เอลลาจิก 1 เม็ด ก่อนนอน ซึ่งเอลลาจิกจะทำลายการก่อตัวของมะเร็งทั้งระบบของร่างกาย โดยการเหนียวนำรหัสดีเอ็นเอของมะเร็งให้เป็นเซลล์ปกติ

4. น้ำมันเพอรีล่า หลังอาหารทุกมื้อ 1 เม็ด ให้โอเมก้า 3 สูงมาก ช่วยกำจัดไขมันที่พอกตับที่เป็นสาเหตุของมะเร็ง เบต้าแคโรทิน และไฟโตรเอสโตรเจนที่ช่วยจับมะเร็งจะระบาดไปที่ระบบสืบพันธุ์ นอกจากนั้นเพอรีล่ายังทำละลายวิตามินเอ ดี และอีได้ดี จะทำให้ได้วิตามินดังกล่าวที่ช่วยต้านมะเร็ง

5. นวดด้วยน้ำมันเพอรีล่าสกัดเย็นให้ทั่วตัวอย่างน้อย 1 ครั้ง ต่อ 7 วัน ให้โอเมก้า 3 ทำให้น้ำเหลืองหมุนเวียนและไปติดที่ร่างแหของต่อมน้ำเหลืองและกวาดสารก่อมะเร็งออกจากร่างกาย

6. เดินให้โดนแสงแดดทุกวันละ 1 ชม ก่อนเดินควรทาน้ำมันเพอรีล่าป้องกันแสงยูวีทำลายผิวหนัง ซึ่งได้วิตามินดี 3 และทำให้น้ำเหลืองหมุน วิตามินดีและเซซามินช่วยขนแคลเซียมเพื่อป้องกันกระดูกและเลือดจากมะเร็งที่จะกระจายเข้ามา

7. กินข้าวดำกล้อง เช่น ไรซเบอรี หอมนิล หรือข้าวเหนียวก่ำทุกมื้อให้เบต้ากลูแคน และแอนโทไซยานิน ที่ช่วยต้านการก่อมะเร็ง และคิวเทนช่วยทำให้ศูนย์กลางเซลล์ร่างกายแข็งแรง

8. ดื่มน้ำแม่เหล็กแทนน้ำทั่วไป ทุกชั่วโมงๆละ 1 แก้ว และ

9. จัดที่นอนให้ให้ขนานกับแนวแม่เหล็กโลก และอาบน้ำแม่เหล็ก เพื่อให้จัดโมเลกุลในร่างกายให้เป็นระเบียบในการต้านฤทธิ์ของมะเร็ง

10. อาหารที่ควรกิน เช่น ขิงสด 10 ชิ้นบางๆหลังอาหาร ช่วยต้านมะเร็ง ต้มจืดบวมบางมื้อ ช่วยลดอาการบวม ขับเสมหะ ส้มตำ หรือมะละกอสุก บางมื้อ มีสารปาเปนช่วยย่อย มี แคโรทีน ไลโคปีน วิตามินซี และอี ต้านมะเร็งไปลำไส้ อินทผาลัม วันละ 3 ผล มีกรดคอร์บิก กระตุ้นความอยากอาหาร ต้านมะเร็งลามไปม้าน เพิ่มออกซิเจนและอาหารให้เลือดและกล้ามเนื้อ กระเทียม 1 กลีบ หลังอาหาร ให้สารอัลลีลซัลไฟค์ ล้างพิษมะเร็ง และละลายลิ่มเลือด บรอกโคลี บางมื้อให้แคโรทีนอยด์ ยั้บยั้งการเจริญเติบโตของมะเร็ง สารซัลโฟราเฟน กำจัดการก่อตัวมะเร็งในเซลล์ นมถั่งเหลืองวันละ 1 แก้ว ให้สารเจสตีน ช่วยต้านมะเร็ง แอบเปิล บางวัน ยั้บยั้งการกระจายของมะเร็ง ซ๊อมมะเขือเทศ และฟิซ่าที่ใส่ซ๊อสมะเขือเทศ บางมื้อ ให้ไลโคปีนช่วยต้านมะเร็งเต้านม ส้ม หรือน้ำมะนาวทั้งเปลือก บางวัน ให้สารโมโนเทอร์ปีน ลดการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง องุ่นบางวันเคี้ยวเมล็ดด้วยให้สารซาโปนินทำลายดีเอ็นเอของมะเร็ง ลำไยดำที่อบทั้งผล ให้สารเอลลาจิกและนมเปี้ยวหรือโยเกิสต์บ้าง ให้แลคโตบาซีลัส ช่วยกำจัดมะเร็งล่ามไปที่ลำไส้เล็ก กินมะม่วงดิบและผักใบสีเขียวเข้มให้วิตามินอีต้านสารก่อมะเร็ง เกสรผึ้งวันละ 1 ช้อนชาให้กรดแอสพาร์ติกทำให้สดชื่น เซซามอนบางมื้อ 1-2 เม็ด ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอก

11. อาหารที่ต้องงด เนื้อสัตว์ และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ อาหารใส่ภาชนะพลาสติก ปนเปื้อนน้ำยาล้างจาน และยากำจัดแมลง เพราะว่าให้สารที่มีรูปร่างคล้ายฮอร์โมนเพศ แต่เป็นพิษและเป็นสาเหตุหลักของมะเร็งเต้านม และงดอาหารผัด ย่าง และปิ้ง ที่ใช้ไฟแรงสูง ซึ่งให้น้ำมันเสียจะเป็นอันตรายต่อตับ หัวใจ และหลอดเลือด ซึ่งอาจทำให้มะเร็งบุกเข้ามาได้ง่าย และงดแอลกอฮอเพราะว่าทำให้เกิดการอักเสบเพิ่ม

12. อย่ากินอาหารหลัง 19.00 น เพราะว่ารบกวนการนอน
13. อย่าทำงานในตอนกลางคืน เพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อน
14. ก่อนนอนให้ทำสมาธิ 20 นาที เพื่อให้สารเมลาโทนิน และใช้สมาธิกำหนดให้สารดังกล่าวเดินทางไปทำลายมะเร็ง

15. การให้กำลังใจกับตัวเองด้วยความสงบและออกกำลังกายจะทำให้ร่างกายสร้างสารเอ็นโดฟิลที่ให้ความสุขและต้านมะเร็ง ในทางตรงข้ามหากกลัวกังวลทำให้ร่างกายสร้างสารคอร์จินอลที่ก่อมะเร็งเพิ่มและทำให้อักเสบ

16. นอนหลับในสนิท ให้เป็นตามเวลาของโลก อย่าอดนอน ก่อนนอนกินถั่งเช่า 1 แคปซูล สารคอรปไรเซปทำให้นอนหลับสนิท และเซลล์แข็งแรงพร้อมที่ต้านการบุกทำลายของมะเร็ง (หากแพ้ต้องงด) นอกจากนั้นพบว่าทำให้เซลล์เม็ดเลือดแข็งแรง และภูมิกันที่แข็งแรงพร้อมที่จะทำให้เยื่อหุ้มของเซลล์มะเร็งเป็นรูและตาย การนอนที่ดีพบว่าควรปิดไฟให้สนิท ห้ามนอนในที่มีแสง นอนหน้าทีวี แสงเหล่านี้กระตุ้นสารก่อมะเร็งให้ทำงาน และควรปิดโทรศัพท์มือถือหรือเก็บไว้นอกห้องนอน คลื่นโทรศัพท์ก็เป็นตัวกระตุ้นเช่นกัน

17. บ้านที่อยู่อาศัย ควรอยู่ห่างจากเสาไฟแรงสูง เพราะว่าคลื่นไฟฟ้าเหล่านี้กระตุ้นการทำงานสารก่อมะเร็ง หากเลี่ยงไม่ได้พยายามปลูกต้นไผ่บังไว้
18. งดเครื่องไดผม เครื่องปิ้งขนมปัง ที่ใช้ใยแก้วที่เป็นสาเหตุของมะเร็งปอด หรือเปลี่ยนฝ้า กระเบื้อง หรือหินอัคนีที่ใช้สร้างบ้านที่มีไยแก้วมาก
19. งดอาหารเสริมที่ผ่านการสกัดให้เป็นอนุมูลที่เล็กจัดจนเป็นสารก่อมะเร็ง


https://www.facebook.com/pornchai.yadahoney/posts/1595617100508694

#อาหารเสริมต้านการอักเสบเรื้อรังรู้ไว้ไม่แก่ (ไว) !
.
🍋 ตัวช่วยสำคัญในการลดการอักเสบเรื้อรัง (Chronic inflammation) ในร่างกายของเราอีกหนึ่งวิธี ก็คือ #การรับประทานอาหารเสริมที่มีคุณสมบัติต้านการอักเสบ (Anti-Inflammatory supplements) นั่นเองครับ
.
🍒 วันนี้หมอหล่อคอเล่า จะนำเรื่องราวอาหารเสริมต่าง ๆ ที่พูดถึง มาทบทวนให้อีกครั้งนะครับ...พร้อมแล้ว มาเริ่มกันเลยดีกว่า
.
☘ พระเอกในการต้านการอักเสบเรื้อรัง ก็คือ #กรดไขมันโอเมก้า3 (Omega-3 fatty acids) นั่นเอง ได้แก่ กรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย ทั้งเจ้า DHA และ EPA ในรูปแบบของน้ำมันปลา (Fish oil) หรือ น้ำมันคริลล์ (Krill oil) นั่นเอง ซึ่งปัจจุบันหาซื้อได้ง่าย และทานได้สะดวกมากยิ่งขึ้น
.
#กรดแอลฟ่าไลโนเลอิค (ALA) เป็นตัวที่มีคุณสมบัติละลายได้ดีทั้งในน้ำและไขมัน จึงเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีมากอีกตัวหนึ่ง นอกจากนี้ ALA ยังมีส่วนในการลดภาวะดื้อต่อฮอร์โมนอินซูลิน และกระตุ้นการสร้างสารกลูต้าไทโอนในร่างกายได้อีกด้วย
.
#กรดไขมันโอเลอิค (Oleic acid) หรือ กรดไขมันโอเมก้า 9 พบมากในน้ำมันมะกอก (Olive oil) น้ำมันรำข้าว (Rice bran oil) น้ำมันคาโนล่า (Canola oil) เป็นต้น
.
#วิตามินต่างๆ เช่น วิตามิน C, E และ วิตามิน D โดยเฉพาะอย่างยิ่ง #วิตามินดี ที่มีคุณสมบัติข้อนี้เด่นมาก ๆ ปัจจุบันพบว่าวิตามินดี มีส่วนช่วยในหลาย ๆ กระบวนการทำงานในร่างกายและเป็นวิตามินที่คนไทยขาดกันมากแม้ว่าจะอยู่ในเขตเมืองร้อนก็ตาม
.
#สารสกัดจากชาเขียว (Green tea extract) สารออกฤทธิ์สำคัญ คือ #EGCG ซึ่งเป็นสารในกลุ่ม #Polyphenols นั่นเอง
.
#สารสกัดจากเปลือกองุ่น (Resveratrol) เป็นสารที่เราได้จากการดื่มไวน์แดง คุณสมบัติเด่นอีกข้อ คือ เป็นสารที่ส่งกระตุ้นการทำงานของยีนส์อายุยืน (SIRT1 gene) ให้ทำงานเพิ่มมากขึ้นนั่นเอง โดยผ่านกลไก Caloric Restriction Mimics หรือ กลไกเสมือนว่าเราอดอาหารนั่นเอง
.
#สารสกัดจากขมิ้นชัน (Curcumin) สมุนไพรที่ใช้กันมาช้านานในคนไทย สารเคอร์คูมินมีฤทธิ์ต้านการอักเสบได้ดีเมากลยทีเดียวครับ แต่ต้องทานในขนาดที่สูงสักหน่อย ประมาณ 1000 - 2000 มิลลิกรัม/วัน
.
#สารตัวอื่นๆ เช่น
#Quercetin - เป็นสารในกลุ่ม Bioflavanoids
#Bromelain - เอนไซม์ย่อยโปรตีน
#Glucosamine
#Probiotics
#Methylsulfonyl Methane (#MSM) และ
#Vitamin B3, B5, Coenzyme & Q10 เป็นต้น
.
❇️ สารต่าง ๆ ที่หมอหล่อฯ เล่าให้ฟังทั้งหมดนี้ ถือว่าเป็นตัวหลัก ๆ ที่ช่วยลดการอักเสบเรื้อรังที่เกิดขึ้นในร่างกายของเรานะครับ ปัจจุบันยังมีสารอีกหลายตัวที่มีคุณสมบัติลดการอักเสบเรื้อรัง
.
❇️ อย่างไรก็ตาม #การป้องกันไม่ให้เกิดการอักเสบเรื้อรังคงเป็นวิธีที่ดีที่สุด #เริ่มจากการปรับเปลี่ยนอาหารการกิน ออกกำลังพอเหมาะสม่ำเสมอ และเลี่ยงการไ้รับสารพิษจากภายนอก เป็นต้น หากเราสนใจหรืออยากรับประทานสารต่าง ๆ เพื่อลการอักเสบ หมอแนะนำว่าควรหาโอกาสเข้ามาปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานน่าจะดีและปลอดภัยที่สุดครับ
.
#อาหารเสริมต้านการอักเสบ
#หมอหล่อคอเล่า

อาหารเสริมกับโรคข้อ
นพ. พงษ์ศักดิ์ วัฒนา

เป็นความเชื่อของมนุษย์เราตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ที่พยายามขวนขวายหาวิธีการลดอาการปวดของข้อต่อที่อักเสบ ตลอดจนอาการปวดทุกชนิดที่เป็นเรื้อรังและไม่ทราบสาเหตุ โดยการเลือกหรืองดอาหารบางประเภท ว่าสามารถลดอาการปวดลงได้

ในปัจจุบันนี้ได้มีการพิสูจน์ที่แน่นอนว่าอาหารที่มีกรดยูริกสูง อาทิเช่น เครื่องในสัตว์ ยอดผักบางประเภท จะทำให้มีอาการกำเริบในผู้ป่วยที่เป็นโรคเก๊าต์ได้ กรุณาเข้าใจว่าการงดอาหารเหล่านี้ก็ไม่ได้ทำให้โรคเก๊าต์หายไป ด้วยยาที่รักษาโรคเก๊าต์ในปัจจุบัน ผู้ป่วยที่เป็นโรคเก๊าต์ก็ยังคงสามารถรับประทานอาหารที่มีกรดยูริกได้ และยังคงดื่มแอลกอฮอล์ในวงสังคมได้

ในประเทศสหรัฐอเมริกา ยุโรป แม้แต่ในประเทศไทยมีการจำหน่ายอาหารเสริมกันอย่างมากมาย และมีการอวดอ้างสรรพคุณในการรักษาโรคจากอาการปวดได้ทุกชนิด เป็นธุรกิจที่ดีมาก อาหารเสริมดังกล่าวมีดังนี้

1. อาหารเสริมแคลเซี่ยม
2. วิตามินเสริม
3. น้ำมันจากปลา ( Fish Oil )
4. เกลือแร่ต่าง ๆ เช่น ธาตุเหล็ก , ธาตุสังกะสี
5. สมุนไพรชนิดต่าง ๆ
6. กระเทียม
7. น้ำผึ้ง
8. กลูโคซามีน , ดอนครอยติน ( Glueosamine และ Chondroitin )
9. น้ำผลไม้ น้ำจากลูกยอทั้งจากต่างประเทศและในประเทศ

อาหารเสริมเหล่านี้มีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ว่าสามารถรักษาโรคอาการปวดข้อ หรืออาการปวดเรื้อรังน้อยมาก ในต่างประเทศกลุ่มของอาหารเสริมสามารถจะหาซื้อได้โดยไม่ต้องใช้ใบสั่งยา ผู้ป่วยที่เป็นโรคข้อซึ่งพวกเราคงทราบแล้วว่ากว่าร้อยละ90ของโรคข้อเป็นโรคที่รักษาไม่หายขาด จำเป็นต้องรับประทานยาต้านการอักเสบ (N’SAID s) เป็นระยะเวลาเป็นเดือนหรือเป็นปี ก็พยายามดิ้นรนที่จะรักษาโรคข้อให้หายขาดจากการแนะนำของเพื่อน การโฆษณาทางหนังสือพิมพ์ หรือการซื้อขายทางตรง ( Direct Sale ) เพื่อหวังว่าอาการทางโรคข้อมีโอกาสหายขาดได้ การซื้ออาหารเสริมมารับประทานกันเองทำให้ต้องสูญเสียเงินทองอย่างมหาศาลในแต่ละปี ผู้เขียนเคยพบอาหารเสริมจำนวนมากมายจากผู้ป่วยที่มารักษาที่คลินิกส่วนตัวที่นำมาให้ดู โดยที่ญาติอาจจะเป็นลูกหรือพี่น้องที่หวังดีซื้อส่งมาจากประเทศอเมริกา มาให้รับประทาน

วิตามินเสริม ในขนาดที่แนะนำจะไม่เกิดอันตรายต่อสุขภาพแต่ถ้ารับประทานวิตามินเอ หรือวิตามินดี ในขนาดที่สูงกว่าที่กำหนดไว้จะมีอันตรายต่อสุขภาพได้

อาหารเสริมที่มีไขมันต่ำ และมีใยอาหาร ผลไม้หรือผัก จะมีประโยชน์ต่อคนทุกคน

ธาตุเหล็ก ใช้ในการรักษาในโรคโลหิตจาง ซึ่งพบบ่อยในคนที่เป็นโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ สาเหตุการเป็นโรคโลหิตจางมีสาเหตุจากโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์เอง หรือจากการรับประทานยาต้านอักเสบ ( N ’ SAID s ) ทำให้เกิดแผลในกระเพาะหรือจากรับประทานยาสเตียรอยด์มานาน ๆ การรับประทานธาตุเหล็กอย่างเดียวอาจจะไม่ได้ผล ควรปรึกษาแพทย์โรคข้อทุกครั้งก่อนรับประทานธาตุเหล็ก

แคลเซี่ยมเป็นอาหารเสริมยอดฮิตในปัจจุบัน ประชาชนทั่วไปเมื่อมีอาการปวดจากข้อเสื่อมหรือข้ออักเสบชนิดใดก็ตาม จะไปซื้อแคลเซี่ยมมารับประทาน ทำให้บริษัทขายนมมีการผสมระดับของแคลเซี่ยมให้สูงขึ้น เพื่อเป็นจุดขายของสินค้าของตน
แคลเซี่ยมจะมีประโยชน์
1. ในเด็กที่กำลังเจริญเติบโต
2. ผู้หญิงตั้งครรภ์ที่ต้องแบ่งแคลเซี่ยมที่แม่รับประทานไปให้ลูกในท้อง
3. ในผู้สูงอายุที่รับประทานลำบาก และระบบย่อยอาหารไม่ค่อยดี
4. ในผู้หญิงที่หมดประจำเดือน มีฮอร์โมนเอสโตรเจนต่ำลง
แคลเซี่ยมจะช่วยให้กระดูกแข็งแรงขึ้น ป้องกันโรคกระดูกโปร่งบาง ( Osteoporosis ) ซึ่งโรคนี้ปกติจะไม่ค่อยมีอาการปวด จะมีอาการปวดเมื่อกระดูกหักแล้ว ประชาชนทั่วไปเข้าใจผิด คิดว่าแคลเซี่ยมสามารถรักษาโรคข้ออักเสบได้ ( Arthritis ) บางคนดื่มนมตลอดทั้งวันเพื่อให้อาการปวดเข่าหายไป ซึ่งนอกจากจะเสียเงินแล้วยิ่งทำให้ตนเองอ้วนมากขึ้น ก็ยิ่งทำให้ข้อเข่าเสื่อมมากขึ้น

กลูโคซามีน และคอนตรอยติน
อาหารเสริมในกลุ่มนี้เป็นที่นิยมกันมาก มีกว่า 100 ชนิด ผลิตจากหลายบริษัท กลูโคซามีน สกัดมาจากกระดองปู กุ้งมังกร และเปลือกกุ้ง ส่วนคอนตรอยติน สกัดมาจากหลอดลมของวัว ควาย โดยเชื่อว่าสารทั้ง 2 ชนิดนี้จะช่วยซ่อมสร้างผิวกระดูกอ่อนที่ปลายกระดูกในข้อต่อเสื่อม ให้กลับฟื้นขึ้นมาได้ และทำให้ลดอาการปวดลง แพทย์กระดูกและข้อในประเทศสหรัฐอเมริกา ไม่เชื่อว่าอาหารเสริมกลุ่มนี้ช่วยรักษาข้อเสื่อมได้ แต่แพทย์กระดูกและข้อในทวีปยุโรปมีความเชื่อว่าช่วยรักษาได้ โดยสรุปแล้วการรักษาโรคข้อเสื่อมด้วยกลูโคซามีน และคอนดรอยตินในโรคข้อเสื่อมยังเป็นข้อถกเถียงกันอยู่ แต่มีหลักการคร่าว ๆ ดังนี้
ถ้ารับประทานยาในกลุ่มนี้แล้วไม่ได้ผลในการลดอาการปวดจากข้อเสื่อมในระยะเวลา 1 – 2 เดือน ควรหยุดยาได้แล้ว ปกติจะได้ผลในระยะเวลา 6 – 8 สัปดาห์ โดยใช้ขนาดดังนี้
กลูโคซามีน 1,500 มก. / วัน
คอนดรอยติน 1,200 มก. / วัน

1. โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ เป็นโรคข้ออักเสบที่พบได้บ่อย ร้อยละ 0.3-1.5 ในประชากรทั่วไป เป็นโรคข้อที่ไม่ทราบสาเหตุ และรักษาไม่หายขาด มีการอักเสบของข้อต่อทุกข้อในร่างกาย ในช่วงศตวรรษที่ผ่านมาได้มีผู้พยายามที่จะหาวิธีการรักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ให้หายขาด การรักษาในปัจจุบันได้แต่ใช้ยากดอาหารอักเสบของข้อต่อให้นานที่สุดที่จะนานได้ การให้อาหารเสริมซึ่งผลการรักษายังไม่ได้ผลแน่นอน การให้อาหารเสริมมีหลักการในการรักษาดังนี้

ลักษณะที่ 1 เป็นการเสริมอาหารที่ช่วยลดอาการปวดลงในอาหาร
ลักษณะที่ 2 เป็นการกำจัดสารที่เชื่อว่าเป็นสาเหตุของอาการปวด หรืออาการกำเริบออกจากอาหาร

อย่างไรก็ตาม อาหารที่มีไขมันต่ำ มีใยอาหาร , ผลไม้ , ผัก จะมีประโยชน์อย่างมากในผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ มักจะมีอาการของโรคโลหิตจางร่วมด้วย อาจจะมาจากยาต้านการอักเสบ ( N ’ SAID s ) ที่รับประทานนาน ๆ ทำให้เป็นโรคแผลในกระเพาะ และมีเลือดออก การรับประทานธาตุเหล็กอย่างเดียวอาจจะไม่ได้ผล

2. โรคข้อเสื่อม พบบ่อยในผู้ที่น้ำหนักตัวมาก และผู้สูงอายุ เป็นกับข้อต่อที่รับน้ำหนัก เช่น ข้อเข่า , ข้อตะโพก การลดน้ำหนักตัวด้วยการรับประทานอาหารที่ถูกวิธีร่วมกับการออกกำลังกาย ถ้าท่านมีปัญหาในการลดน้ำหนัก ปรึกษาแพทย์จะปลอดภัยที่สุด

3. โรคกระดูกพรุน , โรคกระดูกโปร่งบาง (Osteoporosis)โรคกระดูกพรุนพบบ่อยในผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู้หญิงหลังหมดประจำเดือนแล้ว
การรักษาโรคกระดูกโปร่งบาง หรือกระดูกพรุน โดยการออกกำลังกายสม่ำเสมอจะทำให้กระดูกแข็งแรงได้ ผู้หญิงหลังหมดประจำเดือนแล้วควรให้อาหารเสริมแคลเซี่ยม 1 กรัม / วัน , วิตามินดี 40 ยูนิต / วัน ( นมที่ปราศจากไขมันครึ่งลิตรจะมีแคลเซี่ยมสูง 700 มก. )

ถ้าท่านอยากจะลองรับประทานอาหารเสริมขอแนะนำดังนี้
1. ปรึกษาแพทย์ก่อนว่าควรจะรับประทานอาหารเสริมหรือไม่ ?
2. อย่าหยุดยาที่แพทย์สั่งให้รับประทาน
3. ควรจะให้แพทย์วินิจฉัยว่าเป็นอาการปวดจากโรคข้อเสื่อม กลูโคซามิน , คอนดรอยติน ไม่สามารถรักษาอาการปวดจากโรคเนื้องอก ( Cancer ) , กระดูกหัก หรือข้ออักเสบรูมาตอยด์ได้
4. อย่ารับประทานอาหารเสริม ถ้าท่านตั้งท้องหรือคิดว่าตั้งท้อง และไม่ควรให้เด็กรับประทาน
5. ถ้าท่านเป็นโรคเบาหวาน ถ้ารับประทานกลูโคซามิน ควรจะตรวจระดับน้ำตาลในเลือดให้บ่อยขึ้น
6. คนที่แพ้อาหารทะเล จะมีโอกาสแพ้อาหารเสริมกลูโคซามีนด้วย
7. ถ้าท่านรับประทาน แอสไพริน ในการป้องกันหลอดเลือดตีบในหัวใจ ถ้ารับประทาน คอนดรอยติน ควรจะตรวจการแข็งตัวของเลือดในร่างกาย
8. อย่าหยุดยาที่รับประทานในการรักษาโรคข้อ แม้ว่ารับประทานอาหารเสริมแล้ว ลดอาการปวดข้อได้
9. บริหารร่างกาย รักษาน้ำหนักตัวอย่าให้อ้วนเกินไป และรับประทานอาหารตามที่แพทย์สั่ง

http://www.thaiarthritis.org/article02_k.htm

รายการ 3 หมออารมณ์ดี
โดย นพ.มัยธัช สามเสน และ นพ.สมศักดิ์ วัฒนศรี พร้อมด้วย นพ.ปัญญา ไข่มุก
ติดตามสาระด้านสุขภาพถึง...
-การใส่หน้ากากอนามัย
-ทักษะที่เราพัฒนา อะไรเป็นอุปสรรค
-ไข้หวัดนก
-การสร้างวิตามินดี ให้ผู้สูงอายุ
http://www.thinkingradio.net/view/5ac35bc6e3f8e40aeada90d4
Add a comment...

ผลิตภัณฑ์ Bio-Calcium+D3+K1 ประกอบไปด้วยสารอาหารที่สำคัญต่อการเสริมสร้างกระดูก ด้วยส่วนประกอบสำคัญ แคลเซียม วิตามินดี3 และวิตามินเค1 จะช่วยบำรุงกระดูกให้แข็งแรง โดยทั่วไป แคลเซี่ยมจะแตกตัวในกระเพราะอาหารและถูกดูดซึมที่ลำไส้โดยมีวิตามินดี 3 จะช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซี่ยมเข้าสู่ร่างกาย ส่วนวิตามินเค1 ก็จะถูกดูดซึมที่ลำไส้เล็กมีบทบาทสำคัญช่วยให้แคลเซี่ยมเข้าไปสะสมในกระดูกมากขึ้นและยังเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการแข็งตัวของเลือด ผลิตภัณฑ์ Bio-Calcium+D3+K1 อยู่ในรูปแบบเม็ด ที่สามารถเคี้ยวได้

Bio-Calcium+D3+K1 contains important nutrients for the bones. The combination of calcium carbonate, vitamin D3 and vitamin K1 ensures that the calcium is well absorbed. The calcium is ionised in the stomach, and the calcium ions are absorbed in the intestine with help from the vitamin D3. Vitamin K is absorbed in the small intestine where it helps maintaining healthy bone and is also part of the ability of the blood to coagulate.

Pharma Nord S.E.A
Photo

การป้องกันภาวะกระดูกและมวลกล้ามเนื้อลดลงในผู้สูงวัย ในส่วนของมวลกระดูกต้องพิจารณาตั้งแต่วัยเด็ก 

หากวัยเด็กมีการวิ่งเล่น กระโดดโลดเต้นสม่ำเสมอ รับแสดงแดดยามเช้าอย่างพอเหมาะ รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมเพียงพอ   บุคคลนั้นก็จะมีมวลกระดูกที่ดี โดยมวลกระดูกสูงสุดจะอยู่ในช่วงอายุ 30 ปี จากนั้นมวลกระดูกจะลดลงร้อยละ  0.3-0.5  ต่อปี และหากลดลงถึงร้อยละ 30  ถือว่ามีภาวะกระดูกพรุน ซึ่งกระบวนการนี้อาจใช้เวลา 60 ปี

ภาวะกระดูกพรุนจึงมักพบในผู้สูงอายุ โดยพบว่าผู้หญิงอายุ 60 ปีขึ้นไปจำนวน 1 ใน 3  ขณะที่ผู้ชายอายุ 70 ปีขึ้นไปราว 1 ใน 4 มีภาวะกระดูกพรุน

การป้องกันภาวะกระดูกและมวลกล้ามเนื้อลดลง ควรเริ่มตั้งแต่วัยเด็ก ให้เด็กได้วิ่งเล่น ออกกำลังกาย เพื่อให้มีพัฒนาการที่ดี และสร้างความแข็งแรงของมวลกระดูกและมวลกล้ามเนื้อ  

การเจาะเลือดวัดปริมาณวิตามินดี พบว่า คนอายุ 18-24ปีต่ำที่สุด อาจเป็นเพราะวัยรุ่นไม่ถูกแดด ไม่ออกกำลังกาย ซึ่งจะมีภาวะเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกพรุน ส่วนการป้องกันในคนที่อายุ 30 ปีขึ้นไป ควรให้ร่างกายได้รับแสงแดดสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่มีแคลเซียม ลดพฤติกรรมเสี่ยง เช่น สูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และออกกำลังกายที่เหมาะสมเพียงพอ 

นอกจากนี้ ผู้หญิงถ้ารักษาการมีประจำเดือนจนถึงอายุประมาณ 50 ปี ร่างกายจะมีฮอร์โมนนาน ช่วยส่งเสริมให้ไม่เกิดภาวะกระดูกพรุนเร็ว

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1421827305

อาบแดดอ่อนๆตอนเช้า หรือ เย็น วันละ 15 นาที

..................
6 คุณค่าจากแสงแดดอ่อนๆ
แสงแดดแรงกล้าทำร้ายผิวหนัง แต่... แสงแดดอ่อนๆ กลับมีประโยชน์ต่อผิวหนัง – ร่างกาย – จิตใจ แบบที่อาหารอะไรก็สู้ไม่ได้... ตื่นเช้าๆ หรือไปเดินเล่นตอนเย็น เพื่อรับแสงแดดอ่อนๆ กันเถอะ...

ระวัง! ต้องเป็น “แดดเช้า” หรือ “แดดเย็น” เท่านั้น! ห้ามโดนแสงแดดจัด เป็นเวลานาน เพราะอาจทำให้เป็นมะเร็งผิวหนังได้ โดยเฉพาะในเวลา 10.00 - 14.00 น. ซึ่งเป็นเวลาแดดจัดมาก * ทั้งนี้เวลาแต่ละประเทศ ไม่เหมือนกัน เป็นการประมาณเท่านั้น เมืองไทยบางวันอาจมีแดดแรงตั้งแต่ 8.30 น. ต้องดูที่ความเหมาะสมนะคะ

ประโยชน์จากแสงแดดอ่อนๆ มีดังนี้คือ

1. แสงแดดให้วิตามิน ดี ซึ่งช่วยในการดูดซึมแคลเซียม เป็นประโยชน์ต่อกระดูกและฟันและช่วยในการย่อยอาหาร การได้รับแสงแดดในช่วงเช้าหรือช่วงเย็นทุกวัน จะทำให้ร่างกายสามารถสร้างวิตามิน ดี
ตามที่ร่างกายต้องการได้ครบทั้งหมด ไปนั่งสมาธิ นั่งๆ นอนๆ พักผ่อนสบายๆ หรือเดิน – วิ่ง - ออกกำลังกาย ก็ได้ประโยชน์ทั้งนั้น

2. แสงแดดช่วยให้อารมณ์แจ่มใส การวิจัยพบว่า ผู้หญิงกลุ่มที่อยู่ในแถบประเทศหนาว มีแสงสว่างน้อย เป็นเวลายาวนาน จะเกิดอารมณ์ซึมเศร้า ที่เกิดตามฤดูกาล แสดงให้เห็นว่า แสงแดดมีผลกระทบต่อระบบประสาทและอารมณ์ เพราะแสงแดดช่วยให้สมองหลั่งฮอร์โมนเอนดอร์ฟิน เป็นสารความสุขสุขที่ช่วยให้รู้สึกสบายนั่นเอง

3. แสงแดดทำให้ผิวหนังแข็งแรงขึ้น ต้านทานโรค ลดอาการอักเสบติดเชื้อได้ อาทิ โรคสะเก็ดเงิน แผลแมลงสัตว์กัดต่อย หรือแม้กระทั่ง สิว

4. แสงแดดช่วยเสริมสร้างระบบภูมิต้านทาน ด้วยการช่วยเพิ่มความสามารถของเม็ดเลือดแดง ในการลำเลียงออกซิเจน เมื่อได้รับออกซิเจนอย่างเต็มที่ เซลล์ต่างๆ ในร่างกายจะทำงานได้ดีขึ้น

5. แสงแดดช่วยลดน้ำหนัก โดยไปกระตุ้นอัตราเผาผลาญอาหารของร่างกาย ช่วยให้เผาผลาญแคลอรีได้บ้าง แต่ไม่ได้เผาผลาญมากขนาดที่จะทำให้คุณกินอาหารเต็มพิกัด แล้วจะไปตากแดด เพื่อเผาผลาญพลังงานได้หมด โปรดอย่าเข้าใจผิด น้ำหนักจะลดมากน้อยขึ้นอยู่กับการเลือกกิน และอื่นๆ ด้วย

6. แสงแดดช่วยลดอาการตัวเหลืองในเด็กแรกเกิดได้ โดยพาเด็กไปตากแดดอ่อนๆ ในตอนเช้า และให้ดื่มน้ำมากๆ อาการตัวเหลืองจะหายไปในที่สุด

ลุกจากเก้าอี้ เดินออกกลางแจ้งไปรับประโยชน์ของแสงแดดจากธรรมชาติทุกวันๆ เริ่มต้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเลยนะคะ เพื่อสุขภาพที่ดีของตัวเราเอง

***** *****

คนทั่วไปต้องการแคลเซียมวันละ 800 มิลลิกรัม สตรีตั้งครรภ์ต้องการเพิ่มขึ้นเป็นวันละ 1,200 มิลลิกรัม สตรีก่อนวัยหมดระดูควรได้รับแคลเซียมวันละ 1,000 มิลลิกรัม ส่วนสตรีหลังวัยหมดระดูต้องการแคลเซียมวันละ 1,500 มิลลิกรัม 

ยาในรูปแคลเซียมคาร์บอเนตให้แคลเซียมได้มากที่สุดคือร้อยละ 40 แต่แคลเซียมกลูโคเนตให้แคลเซียมได้น้อยที่สุดคือร้อยละ 9 ดังนั้น จะต้องกินแคลเซียมคาร์บอเนตวันละ 2,500 มิลลิกรัมจึงจะได้แคลเซียม 1,000 มิลลิกรัม หรือ จะต้องกินแคลเซียมกลูโคเนตวันละ 11-12 กรัมจึงจะได้แคลเซียม 1,000 มิลลิกรัมตามความต้องการ

แคลเซียมที่ดูดซึมง่ายกว่าและไม่ต้องการภาวะกรดในกระเพาะอาหารในการแตกตัวเพื่อการดูดซึม คือ แคลเซียมซิเทรท แคลเซียมซิเทรทอาจกินในขณะที่ท้องว่างได้ ข้อเสียคือราคาสูงกว่าและมีปริมาณแคลเซียมต่ำกว่าแคลเซียมคาร์บอเนต

แคลเซียมเม็ดฟู่มักมีองค์ประกอบของแคลเซียมคาร์บอนเนตเพื่อให้มีปริมาณแคลเซียมมากๆและผสมแคลเซียมแลคโตกลูโคเนตช่วยการดูดซึม แคลเซียมชนิดนี้มีราคาแพงกว่าแคลเซียมคาร์บอนเนต แต่อาจทำให้มีอาการท้องอืดได้เช่นกันเนื่องจากมีส่วนผสมของแคลเซียมคาร์บอนเนตด้วย

แคลเซียมทุกชนิดไม่ควรกินพร้อมยาประเภทอื่นเพราะทำให้การดูดซึมยานั้นๆน้อยลง และไม่ควรกินหลังอาหารที่มีผักมากๆ เนื่องจากทำให้การดูดซึมน้อยลงและอาจจับกับผักทำให้อืดแน่นท้อง

วิตามินซี ให้แคลเซียมถูกดูดซึมได้ดีขึ้นจากทางเดินอาหาร และวิตามินดียังช่วยเก็บแคลเซียมไม่ให้ถูกขับออกทางไตด้วย สำหรับวิตามินรวมที่มีแคลเซียมเป็นส่วนประกอบมักจะมีปริมาณแคลเซียมไม่พอสำหรับผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน หากจะกินยานี้ก็ต้องกินอาหารที่มีแคลเซียมเสริม


อ่านเพิ่มเติม
http://www.pharmacy.mahidol.ac.th/th/knowledge/article/30/ยารักษาโรคกระดูกพรุน-ใช้อย่างไร/
http://www.pharmacy.mahidol.ac.th/th/knowledge/article/218/แคลเซียมกับโรคกระดูกพรุน-ตอนที่2/
http://www.rtcog.or.th/html/articles_details.php?id=15
http://www.pr.chula.ac.th/index.php/15-article/81-1-000-1-200-360-600-800-40

คัมภีร์แก้หนาวแบบไทย
http://www.thaihealth.or.th/healthcontent/article/32565

คนสมัยก่อนจึงนิยมให้รับประทานตำรับอาหารที่มีรสเปรี้ยว เช่น แกงส้มดอกแค แกงบอน เป็นต้น รวมทั้งถ้ามีอาการไอ จะนิยมทำยาแก้ไอจากผลไม้สมุนไพรที่มีรสเปรี้ยว 

เป็นที่ทราบกันดีว่า ไวรัสที่ทำให้เกิดโรคหวัด หวัดใหญ่ ตาแดง สุกใส เป็นต้น ไม่มียาฆ่าเชื้อไวรัสได้ประสิทธิภาพเท่าใดนัก ดังนั้น การทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง การที่จะต้องได้รับแสงแดดบ้าง เพื่อให้ร่างกายสร้างวิตามินดีเพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน การออกกำลังกายสม่ำเสมอ การรับประทานอาหารให้ครบทุกหมู่ การให้ความสำคัญกับการรับประทานอาหารที่มีส่วนช่วยในการเพิ่มภูมิคุ้มกัน เช่น วิตามินซี วิตามินอี ผักผลไม้ที่มีสี เช่น ฝาง หมากเม่า ดอกอัญชัน ผลไข่เน่า พืชตระกูลเบอร์รี มะขามป้อม ช่วยได้เช่นกัน

การรับประทานผลิตภัณฑ์มะเขือเทศเข้มข้นเพียง 50กรัม/วัน เป็นเวลาสองเดือนครึ่งก็สามารถลดระดับ PSA ในผู้ป่วยต่อมลูกหมากโตได้ 

นำลูกมะเขือเทศสด 200กรัม ปั่นให้ละเอียด (มะเขือเทศสด 200กรัม มีค่าสารไลโคปีนใกล้เคียงกับผลิตภัณฑ์มะเขือเทศเข้มข้น 50กรัม) ไม่ต้องเติมเกลือหรือสารแต่งรสใดๆ ดื่มก่อนอาหารเช้าวันละครั้งทุกเช้า 

วิตามินอี และสารซีลีเนียม ไม่มีผลในการช่วยป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมาก

หลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ติดมัน แนะนำให้รับประทานเนื้อปลา เพราะมีปริมาณไขมันต่ำและมีสารโอเมก้า3 มีผลยับยั้งการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง

หลีกเลี่ยงอาหารจำพวกไขมันสูง โดยเฉพาะ น้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าว กะทิ  น้ำมันข้าวโพด

การรับประทานอาหารที่มีวิตามินดีจะช่วยลดการเติบโตของเซลล์มะเร็งได้ ในคนญี่ปุ่นที่รับประทานวิตามินดีจากปลาเยอะๆ พบการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากต่ำมาก

ชาเขียว(Camellia sinensis)  มีสารที่เรียกว่า polyphenolsมีฤทธิ์ชลอการเติบโตของเซลล์มะเร็งต่อมลูกหมาก

http://talkaboutsex.thaihealth.or.th/knowledge/3386
http://www.prostate-rama.com/reading_detail.php?cid=70

ความต้องการแคลเซียมเสริมส่วนใหญ่อยู่ที่ประมาณ 600- 800 มก. ต่อวัน

แคลเซียมที่ดูดซึมง่ายกว่าและไม่ต้องการภาวะกรดในกระเพาะอาหารในการแตกตัวเพื่อการดูดซึม คือ แคลเซียมซิเทรท แคลเซียมซิเทรทอาจรับประทานในขณะที่ท้องว่างได้ ข้อเสียคือราคาสูงกว่าและมีปริมาณแคลเซียมต่ำกว่าแคลเซียมคาร์บอเนต

แคลเซียมคาร์บอเนต มีปริมาณแคลเซียมอยู่ประมาณ 40% แต่อัตราการดูดซึมค่อนข้างต่ำและต้องการภาวะกรดของกระเพาะอาหารในการแตกตัวและดูดซึม ทำให้มีอาการท้องอืด ไม่สบายท้อง บางรายจะมีอาการท้องผูกมาก

การดูดซึมแคลเซียมยังขึ้นกับระดับวิตามินดีในร่างกาย ถ้าขาดวิตามินดี ร่างกายจะดูดซึมแคลเซียมได้น้อย เมื่อดูดซึมแล้วร่างกายก็ไม่สามารถนำแคลเซียมไปใช้ในการสร้างกระดูกได้ดี

นมถั่วเหลืองมีปริมาณแคลเซียมค่อนข้างน้อย เต้าหู้ก้อนมีแคลเซียมมากกว่า
http://www.pr.chula.ac.th/index.php/15-article/81-1-000-1-200-360-600-800-40
http://drug.pharmacy.psu.ac.th/Question.asp?ID=13602&gid=1

Pharmanord Bio-Calcium+D3+K1 

ส่วนประกอบ 
Calcium Carbonate 75% และ Calcium citrate 14% คิดเป็นแคลเซียม 500 มิลลิกรัม
Vitamin D3 5 ไมโครกรัม
Vitamin K 35 ไมโครกรัม

สามารถเคี้ยวหรือกลืนทั้งเม็ดได้ วันละ 1 เม็ด หรือตามแพทย์สั่ง

สำหรับเด็กอายุไม่เกิน 6 ปี, หญิงตั้งครรภ์, หญิงให้นมบุตร และ ผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป สามารถกินได้วันละ 3 เม็ด

วิตามินดี 3 ช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซี่ยมเพิ่มขึ้น 
วิตามิน K ช่วยให้แคลเซี่ยมถูกดูดซึมเข้าไปสะสมในกระดูกได้ดีขึ้น

ระวังในผู้ที่มีแคลเซียมในเลือดสูง ผู้ที่เป็นนิ่วในไต ผู้ที่มีปัญหาโรคหัวใจ

http://www.pharmanordsea.co.th/products/bio-calcium-d3-k1
Photo

20 ตุลาคม วันกระดูกพรุนโลก "STOP AT ONE” หักครั้งเดียวก็เกินพอ
โรคกระดูกพรุน ไม่ใช่อุบัติเหตุ ป้องกันและบำรุงกระดูกไว้ .....ก่อนสายเกินไป
เพชรสังฆาต....สมุนไพรช่วยเพิ่มมวลกระดูกให้แข็งแรง

มีการศึกษาในสัตว์ทดลองพบว่าเพชรสังฆาตช่วยเสริมสร้างมวลกระดูก จากการที่มีฤทธิ์กระตุ้นเซลล์สร้างกระดูกให้เพิ่มขึ้น และเพิ่มการสร้างคอลลาเจนในเซลล์สร้างกระดูก และยังป้องกันการสูญเสียมวลกระดูกในหนูทดลองที่ถูกตัดรังไข่ เพื่อจำลองให้เกิดสภาวะเหมือนหญิงวัยทอง โดยมีผลเทียบเท่ากับยาแผนปัจจุบัน คือ raloxifene

โดยน่าจะเป็นผลจากการที่ในเพชรสังฆาตพบสารกลุ่ม ไฟโตเอสโตรเจนมาก เนื่องจากในหนูที่ได้รับเพชรสังฆาต พบการเพิ่มขึ้นของระดับเอสโตรเจน และวิตามินดีในเลือด

ข้อดีของเพชรสังฆาต เมื่อเปรียบเทียบกับการให้ฮอร์โมนเอสโตรเจนทดแทน พบว่าเพชรสังฆาต ให้ผลดีทั้งในเรื่องของความหนา ความแข็งแรง และความหนาแน่นมวลกระดูก ขณะที่เอสโตรเจน จะไม่มีผลในเรื่องความหนาแน่นของมวลกระดูก เพชรสังฆาตยังมีฤทธิ์ลดอาการปวด โดยการศึกษาหนึ่ง ทดลองให้รับประทานวันละ 3200 มิลลิกรัม เป็นเวลา 2 เดือน พบว่าให้ผลดีในการลดอาการปวดข้อ

https://www.facebook.com/abhaiherb/photos/a.136960229702392.26552.136694259728989/751629668235442/
Photo
Shared publicly
    Add a comment...

    สำนักข่าวเห็ดลม ‏@hedlom_news 5h
    คณะแพทย์ฯมช.แนะ14วิธี ดูแลสุขภาพป้อง "มลพิษ"ทางอากาศ หวั่นฝุ่นพุ่งซ้ำ http://goo.gl/jmcYZz   

    1.ผู้ใช้รถยนต์ควรเปิดระบบหมุนเวียนอากาศภายในห้องโดยสารเพื่อให้อากาศถ่ายเทสะดวก 
    2.ผู้ขี่รถจักรยานยนต์ควรใส่แว่นกันลมป้องกันฝุ่นละอองระคายเยื่อบุตาและใช้หน้ากากอนามัยหรือใช้ผ้าหนาๆชุบน้ำ ปิดปาก ปิดจมูกทุกครั้ง  
    3.หลีกเลี่ยงการทํากิจกรรมภายนอกอาคาร ออกนอกบ้านเมื่อจำเป็น

    4.งดการออกกําลังกายทุกชนิดในที่โล่งและที่ร่ม โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว เพราะในขณะที่อากาศในที่โล่งมีลักษณะหมอกควันหนา มีมลพิษหรือควันพิษ จะทําให้ฝุ่นละอองขนาดเล็กถูกหายใจเข้าไปสู่ถุงลมในปอดได้ 5.ขณะมีอาการเป็นหวัดควรใช้หน้ากากอนามัยเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในที่โล่ง 
    6.ใช้น้ำเกลือกลั้วคอแล้วบ้วนทิ้งวันละ 3-4 ครั้ง 

    7.ผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจโรคหัวใจ ควรมียาฉุกเฉินพกติดตัวอยู่ตลอดเวลา สังเกตอาการผิดปกติที่เกิดขึ้น กรณีอาการกำเริบควรพบแพทย์ หรือคลินิกใกล้บ้าน 
    8.หลีกเลี่ยงการได้รับมลพิษในสิ่งแวดล้อมและอากาศสกปรก เช่น เขม่าควันไฟ ควันท่อไอเสียรถยนต์ ไอจากสารเคมี
     9.งดการประกอบอาหารโดยใช้เตา การเผากิ่งไม้ใบไม้ การจุดธูป ซึ่งเป็นบ่อเกิดของมลพิษทางอากาศและโรคมะเร็ง 
    10.    ภายในอาคาร/บ้าน ให้ใช้พัดลมดูดอากาศออก สร้างม่านน้ำไหลจากหลังคาจะช่วยลดปริมาณฝุ่นละอองในอากาศลงได้ 
    11.ทำความสะอาดห้องทำงาน บ้านเรือน ด้วยผ้าชุบน้ำ หรือ ม๊อบ ไม่ควรกวาดหรือดูดฝุ่นให้ฟุ้งกระจาย

    12.ติดเครื่องกรองอากาศที่สามารถกรองอนุภาพขนาดเล็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ  
    13.    ดับเครื่องยนต์ ทุกครั้งเมื่อจอดรถ (ถึงแม้จะจอดรอก็ตาม ขอให้ดับเครื่องยนต์ทุกครั้ง) และ 
    14.รักษาสุขภาพให้แข็งแรง โดยรับประทานผักสด ผลไม้ และอาหารที่มีวิตามินซี วิตามินดีให้มากขึ้น

    สาระน่ารู้เกี่ยวกับโรคนิ่ว
    http://www.chulalongkornhospital.go.th/unit/opdchula/opdchula/index.php?option=com_content&task=view&id=130&Itemid=61

    การปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันการเป็นนิ่ว
     1. ดื่มน้ำมากๆ เพื่อให้ปัสสาวะเจือจางวันละ 2-3 ลิตร/วัน หรือ 10-16 แก้ว/วัน น้ำดื่มควรปราศจากเศษตะกอน 
    2. อย่ากลั้นปัสสาวะ 
    3. นิ่วที่เกิดจากปัสสาวะที่เป็นกรด เช่น ยูริค แพทย์จะรักษาโดยให้ยาเพื่อปัสสาวะเป็นด่าง ลดอาหารจำพวก เครื่องในสัตว์ กุ้งแห้ง กะปิ รับประทานผลไม้และผักให้มากขึ้น
    4. นิ่วที่เกิดจากปัสสาวะที่เป็นด่าง เช่น แคลเซี่ยมฟอสเฟตและคาร์บอเนต ช่วยได้โดยทำน้ำปัสสาวะให้เป็นกรด ลดอาหารพวก นม เนย และวิตามินดี

    โรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษที่คุมไม่ได้ หรือก้อนที่ต่อมไทรอยด์ เป็นเหตุที่จะต้องตัดต่อมไทรอยด์ แต่พอหลังจากตัดแล้วจะเกิดอะไรบ้าง ดูแลอะไร

    โดยทั่วไปเรามักจะรักษาด้วยยาก่อนเสมอยกเว้นเป็นพิษมากๆ ก้อนโตมากๆ เป็นซ้ำ กินยาไม่หาย หรือก้อนโตจนไปกดเบียดทางเดินหายใจ ก็จะต้องเอาไทรอยด์ออก ผมจะไม่ได้กล่าวถึงการใช้สารกัมมันตภาพรังสีไอโอดีน I-131 ที่เราเรียกว่าการกลืนแร่ แต่จะกล่าวถึงการผ่าตัดครับ
    ก่อนผ่าตัดนั้น จะต้องควบคุมระดับไทรอยด์ให้เป็นปกติก่อนจึงจะเข้ารับการผ่าตัดได้ การผ่าตัดก็จะมีความเสี่ยงและต้องระมัดระวังในประเด็นต่างๆที่หมอจะอธิบายก่อนผ่าตัดครับ และเมื่อหลังผ่าตัดก็จะต้องติดตามผลด้วย โดยทั่วไปก็จะไม่ผ่าตัดไทรอยด์ออกจนหมดนะครับ จะตัดออกเกือบหมดที่เรียกว่า subtotal (คือเกือบทั้งหมด) thyroidectomy

    หลังผ่าตัดไปสักระยะ แน่ล่ะว่า ฮอร์โมนไทรอยด์ต้องลดลงแน่ๆ เพราะแหล่งผลิตหายไป คราวนี้ต่อมไทรอยด์ส่วนที่ยังเหลือก็จะสร้างฮอร์โมนมาให้พอดีๆ ไม่มากมายเหมือนแต่ก่อน ปัญหาอยู่ที่ว่าส่วนที่เหลือจะสร้างพอหรือไม่ ถ้าไม่พอก็คงจะต้องรับประทานฮอร์โมนไทรอยด์เพื่อชดเชย
    ฮอร์โมนที่กินนี้ เราก็จะเริ่มด้วยขนาดไม่สูงนัก สัก 50 ไมโครกรัมต่อวัน แล้วค่อยๆปรับเพิ่มเพื่อให้ได้ค่า TSH (thyroid stimulating hormone) ระดับปกติ ใช้เวลาในการปรับก็ไม่ตายตัวอาจจะ 6-8 สัปดาห์ก็ได้ หลังจากปรับจนได้ระดับแล้วก็ไม่ต้องติดตามบ่อย อาจติดตามทุกๆปีหรือทุกครั้งที่มีการปรับเปลี่ยนขนาดยาด้วยเหตุผลต่างๆ
    ข้อควรระวังสองอย่างคือ การใช้ยาในผู้สูงอายุหรือเราใช้ยาไปนานๆเราก็จะสูงอายุ คือยาในขนาดสูงๆอาจทำให้ใจสั่นและอาจเพิ่มโอกาสการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบได้ ดังนั้นการใช้ยาคงจะใช้ในขนาดต่ำๆ เพิ่มน้อยๆเพิ่มช้าๆ เช่น ขนาด 12.5-25 ไมโครกรัมต่อวัน อาจจะต้องหักครึ่งเม็ดหรือกินยาวันเว้นวัน วันเว้นสองวัน ปรับแต่งขนาดจากระดับฮอร์โมน TSH ถ้ามีอาการใจสั่นเจ็บอกต้องแยกโรคหัวใจขาดเลือดทันที

    ฮอร์โมนตัวนี้มักแนะนำให้กินเวลาท้องว่างครับ เพราะอาหารและยาหลายชนิดอาจขัดขวางการดูดซึมได้ โดยเฉพาะยาที่มีองค์ประกอบของโลหะเช่น แคลเซียม (ซึ่งส่วนมากได้ใช้แน่ๆ) ยาธาตุเหล็กบำรุงเลือด ยาลดกรดที่มีแมกนีเซียม หรือยาที่ทำให้ความเป็นกรดของกระเพาะลดลงก็มีรายงานว่าอาจจะ..อาจจะนะครับ เพราะข้อมูลขัดแย้งกันก็มี ขัดขวางการดูดซึม จึงแนะนำกินแยกจากยาอื่นๆครับ

    อีกประการที่สำคัญคือถ้าการผ่าตัดนั้นเกิดผ่าโดนต่อมพาราไทรอยด์ ต่อมเล็กๆหลังไทรอยด์ที่หลั่งฮอร์โมน PTH (parathyroid hormone) คอยควบคุมแคลเซียมในเลือด ถ้าถูกตัดออกและขาดฮอร์โมนก็จะมีอาการของขาดแคลเซียมเรื้อรัง มีอาการชาตามตัว กล้ามเนื้อกระตุก กล้ามเนื้อเกร็ง คลื่นไฟฟ้าหัวใจผิดปกติ (สำหรับนักเรียนแพทย์ ต้องรู้จัก Chovstek's sign และ Trousseau's sign) ก็ต้องรับประทานแคลเซียมร่วมกับวิตามินดีครับ กินเดี่ยวๆไม่ค่อยได้ประโยชน์ เพื่อรักษาระดับแคลเซียมในเลือด และรักษาอาการอันเกิดจากแคลเซียมต่ำ โดยมีการวัดระดับและตรวจประเมินเป็นระยะๆครับ
    และอย่าลืมว่าถ้าต้องรับประทานกับฮอร์โมนไทรอยด์ คงต้องแยกเวลากันนะครับ เพราะจะไปขัดขวางการดูดซึมของฮอร์โมนไทรอยด์ได้

    อีกข้อที่มักจะลืมคือ ต้องดูแลระดับแมกนีเซียมในเลือดด้วยเพราะถ้าแมกนีเซียมต่ำด้วย จะทำให้อาการที่เกิดจากแคลเซียมต่ำเกิดง่ายขึ้นครับ

    ใครตัดไทรอยด์ไปแล้วจะได้เข้าใจ ใครมีคนที่รักตัดไทรอยด์ก็บอกต่อไป ใครอยากรักแอดมินก็รักได้ ...ข้อแม้ ต้องรักนานๆ

    FB อายุรศาสตร์ ง่ายนิดเดียว

    เพิ่มมวลกระดูกสูงสุดให้มากที่สุด
    1.เสริมแคลเซียม
    2.เสริมวิตามินดี
    3.ออกกาลังกาย
    4.ลดปัจจัยเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน


    http://www.med.cmu.ac.th/hospital/ngenprivate/2013/th/knowledge_gen_private/130-osteoporosis.html


    #เกร็ดความรู้จากศูนย์ศรีพัฒน์ฯ

    ประโยชน์ของนมถั่วเหลือง

    • ช่วยเสริมสร้างกระดูก : การดื่มนมถั่วเหลือเป็นประจำทุกวัน จะช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง และลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกพรุน เนื่องจากนมถั่วเหลืองมีวิตามินดี ทำให้ร่ายกายสามารถดูดซึมแคลเซียมได้ง่าย
    • ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรค : เนื่องจากถั่วเหลืองอุดมไปด้วย กรดไขมันไม่อิ่มตัว และ โปรตีนที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย ทำให้ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ
    • ชะลอวัย : การดื่มนมถั่วเหลือ ร่างกายจะได้รับสารต้านอนุมูลอิสระไอโซฟลาโวน ที่สามารถช่วยลดรอยเหี่ยวย่นของผิวหนังและช่วยชะลอความแก่ก่อนวัยได้
    • ลดน้ำหนัก : สำหรับผู้ที่ต้องการบริโภคนมถั่วเหลือเป็นประจำทุกวัน ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องความอ้วน เนื่องจากในนมถั่วเหลืองประกอบไปด้วย โปรตีนที่สามารถย่อยง่าย ไม่มีคอเลสเตอรอล ไขมันต่ำ ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักเป็นอย่างมาก

    รู้แล้วอย่าลืมดูแลสุขภาพ และแชร์ต่อเพื่อนๆด้วยนะครับ 🙂

    ขอบคุณข้อมูลจาก... สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)


    Photo





    ด้วยความห่วงใย
    .....................
    BETTER PHARMACY เจ็ดยอด เชียงใหม่
    เราคัดสรรสิ่งที่ดี มีคุณภาพ เพื่อคุณ

    FACEBOOK / BetterPharmacyCMG
    LINE ID - BETTERCM
    .....................




    UPDATE  -  2018.11.26