Tuesday, December 4, 2018

Anthocyanins - แอนโทไซยานิน

แอนโทไซยานิน เป็นรงควัตถุที่พบในพืชทั้งในดอกและในผลของพืช ให้สีแดง น้ำเงิน หรือม่วง เป็นสารที่ละลายในน้ำได้ดี มีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ยับยั้งการเกิดออกซิเดชันของลิโปโปรตีน และการตกตะกอนของเกล็ดเลือด ทำให้แอนโทไซยานินมีบทบาทในการป้องการการเกิดโรคเรื้อรังต่างๆ เช่นโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจ มะเร็ง เบาหวาน

มีการศึกษาการใช้สาร anthocyanins เพื่อทดสอบฤทธิ์ในการใช้สารนี้เป็น antioxidant ในผลองุ่นและสารสกัดจากองุ่น พบว่ามีฤทธิ์ antioxidant, anti-inflamatory,ป้องกันโรคเบาหวาน โรคทางระบบประสาท ทั้งยังป้องกันโรคมะเร็ง และยังพบว่าสารนี้สามารถลดไขมันตัวร้าย LDL อีกทั้งป้องกันการเกาะกลุ่มของเกร็ดเลือด ฤทธิ์ของ anthocyanins ยังครอบคลุมถึงการป้องกันโรคหัวใจและโรคทางหลอดเลือดหัวใจ รวมถึงการต้านภาวะไขมันอุดตันในเส้นเลือดและหัวใจเต้นผิดจังหวะอีกด้วย

anthocyanins ออกฤทธิ์โดยต้านการเสื่อมถอยของโรคเรื้อรัง และยับยั้งที่ carcinogenesis receptor ซึ่งต้านการลุกลามของมะเร็ง โดยฤทธิ์ antioxidant ของสาร anthocyanins นั้นมีมากกว่าวิตามินซี เนื่องจากสารนี้สามารถจับกับอนุมูลอิสระโดยใช้ hydrogen atom ของโครงสร้างphenolic ของสาร anthocyanins ซึ่งเป็นเหตุผลที่สารนี้มีฤทธิ์ต้านมะเร็งได้

แหล่งของแอนโทไซยานิน ได้แก่ มันเทศสีม่วง ชมพู่มะเหมี่ยว ชมพู่แดง ลูกหว้า ข้าวแดง ข้าวนิล ข้าวเหนียวดำ ถั่วแดง ถั่วดำ หอมแดง ดอกอัญชัน น้ำว่าน-กาบหอย เผือก หอมหัวใหญ่สีม่วง มะเขือม่วง พริกแดง องุ่นแดง-ม่วง แอปเปิลแดง ลูกไหน ลูกพรุน ลูกเกด ลูกหม่อน (มัลเบอรี่) บลูเบอรี่ เชอรี่ แบล็กเบอรี่ ราสเบอรี่ สตรอเบอรี่

anthocyanins
http://drug.pharmacy.psu.ac.th/Question.asp?ID=11018&gid=3

anthocyanin / แอนโทไซยานิน
http://www.foodnetworksolution.com/wiki/word/1103/anthocyanin-แอนโทไซยานิน

#มอร์มูฟเป็นข่าว น่าชื่นชม!! เมื่อล่าสุด 'อุทยานวิทยาศาสตร์ภาคเหนือ' เปิดตัวข้าวสายพันธุ์ใหม่ 'ก่ำเจ้า มช.107' ข้าวก่ำล้านนาสายพันธุ์ใหม่ ที่มาจากการปรับปรุงสายพันธุ์ระหว่างข้าวก่ำดอยสะเก็ดกับข้าวหอมมะลิ 105 #ช่วยต้านมะเร็งกระเพาะป้องกันโรคหัวใจและลดน้ำตาลในเลือด เป็นข้าวเจ้าเมล็ดสีดำสนิทไม่มีสีอื่นเจือปน เมื่อหุงสุกหรือเย็นแล้วก็ยังคงมีลักษณะอ่อนนุ่ม อุดมด้วยคุณค่าทางโภชนาการ มีปริมาณธาตุเหล็ก สังกะสี และสานแอนโทไซยานินสูง #ถือเป็นการพัฒนาและยกระดับข้าวไทยเพื่อเพิ่มมูลค่าตลอดห่วงโซ่คุณค่าอย่างครบวงจร

Source : https://mgronline.com/science/detail/9610000111174

โดยเรื่องนี้ น.ส.ทิพวัลย์ เวชชการัณย์ ผอ.สำนักงานเลขานุการคณะกรรมการส่งเสริมกิจการอุทยานวิทยาศาสตร์ (สอว.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) พร้อม ผศ.ดร.ธัญญานุภาพ อานันทนะ ผอ.อุทยานวิทยาศาสตร์ภาคเหนือ ได้เปิดเผยเพิ่มเติมว่า ข้าวก่ำเจ้า มช. 107 นี้ มีผลผลิตต่อไร่ประมาณ 300-550 กิโลกรัมต่อไร่ แต่ถ้าดูแลดีๆ อาจได้ผลผลิตสูงถึง 600-700 กิโลกรัมต่อไร่ #ขณะนี้ได้ขึ้นทะเบียนพันธุ์กับกรมการข้าวกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แล้ว

ด้าน รศ.ดร.ชนากานต์ เทโบลต์ พรมอุทัย นักวิจัยกล่าวว่า ก่ำเจ้า มช.107 เป็นข้าวก่ำล้านนาสายพันธุ์ใหม่ มีการพัฒนาพันธุ์จากข้างเหนียวมาเป็นข้าวเจ้า #ใช้เวลาทดลองประมาณ10ปีจึงประสบความสำเร็จ ข้าวพันธุ์ใหม่ถือเป็นการพัฒนาและยกระดับข้าวไทยเพื่อเพิ่มมูลค่าตลอดห่วงโซ่คุณค่าอย่างครบวงจร ขณะนี้มีเกษตรกรต้นน้ำกว่า 100 รายได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการปลูกและสามารถผลิตเมล็ดพันธุ์และปลูกข้าวก่ำสายพันธุ์ใหม่ เพื่อเข้าสู่กระบวนการกลางน้ำ โดยอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคเหนือผลักดันให้เกิดมูลค่าเพิ่ม การกระจายเมล็ดพันธุ์ #โดยจะมอบเมล็ดพันธุ์ข้าวก่ำสายพันธุ์ใหม่สู่เชิงพาณิชย์อย่างเป็นทางการครั้งแรก ในงาน 'ล้านนา 4.0 พลิกโฉมเมืองเหนือด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม' ที่อุทยานวิทยาศาสตร์ภาคเหนือ จ.เชียงใหม่

"นอกจากนี้ อุทยานวิทยาศาสตร์ภาคเหนือยังได้พัฒนาข้าวก่ำสายพันธุ์ใหม่ที่พัฒนาจากสายพันธุ์พื้นเมืองเดิมอีก 2 สายพันธุ์ ได้แก่ ข้าวก่ำหอม มช. เป็นข้าวเหนียว มีกลิ่นหอม มีปริมาณธาตุเหล็ก สังกะสี และแอนโทไซยานินสูง โดยข้าวสายพันธุ์นี้ยังอยู่ในขั้นตอนการใช้เทคโนโลยีพัฒนาสายพันธุ์เพื่อให้ได้ข้าวก่ำคุณภาพดีที่สุด และข้าวก่ำดอยสะเก็ด เมล็ดจะมีเปลือกสีม่วง เป็นจ้าวเหนียวดำที่มีปริมาณแกมมาโดไรซานอล วิตามินอี และสารแอนโทไซยานินระดับสูง และพร้อมกระจายพันธุ์แก่เกษตรกร" น.ส.ทิพวัลย์ กล่าวทิ้งท้าย.


MOREMOVE
Photo

“Ruby Mangosteen” มีสารแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) และแซนโทน (Xanthone) ซึ่งมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) สูงกว่ามังคุดเนื้อขาวปกติถึง 5 เท่า”

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1441095818

#แอนโธไซยานิน : สารพฤกษเคมีเพื่อสุขภาพดวงตา
ผศ.ดร.เอกราช บำรุงพืชน์ ประธานฝ่ายวิชาการ ชมรมโภชนวิทยามหิดล

การรับประทานผักและผลไม้หลากหลายสีพบว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างมากมาย ทั้งนี้เนื่องมาจากองค์ประกอบในผักและผลไม้ที่มีสารพฤกษเคมี หรือที่เรียกว่าไฟโตเคมีคอล (#Phytochemical) ซึ่งก็คือสารที่มีฤทธิ์ทางชีวภาพที่พบเฉพาะในพืช มีความสำคัญต่อการทำงานของร่างกายมนุษย์ อาจช่วยต่อต้านหรือป้องกันโรคบางชนิด นอกจากสารอาหารหลัก เช่น วิตามินและเกลือแร่ต่าง ๆ แล้ว สารพฤกษเคมีจากผักและผลไม้ก็เป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง เป็นที่รู้จักและนิยมนำมาใช้อย่างกว้างขวาง ได้แก่ แคโรทีนอยด์ (Carotenoids), โพลีฟินอล (Polyphenols) เช่น แอนโธไซยานิน (Anthocyanins), ไฟโตเอสโตรเจน (Phytoestrogens), ซาโปนินส์ (Saponins) และไฟโตสเตอรอล (Phytosterol) เป็นต้น(1)

ปัจจุบันด้วยกระแสสังคมออนไลน์ทำให้พฤติกรรมการใช้ชีวิตของเราต่างไปจากอดีต ผู้คนส่วนใหญ่มักใช้เวลาไม่ว่าจะทำงานหรือพักผ่อน ดูหนัง ฟังเพลงอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือโทรศัพท์สมาร์ทโฟนเป็นประจำ โดยเฉพาะในกลุ่มวัย Gen Y มีสถิติว่ามีการใช้อินเตอร์เน็ตสูงที่สุดเมื่อเทียบกับคนช่วงอายุอื่น ๆ โดยใช้เวลาเฉลี่ยถึง 7.6 ชั่วโมงต่อวัน(2) การที่ใช้ดวงตาเพ่งหน้าจอเป็นระยะเวลานานจะทำให้เกิดอาการตาล้า ตาเบลอ หรือตาแห้ง และเสี่ยงต่อโรคจอประสาทตาเสื่อมได้ เนื่องจากถ้ายิ่งใช้สายตาเพ่งหน้าจอนานขึ้น ดวงตาจะได้รับแสงพลังงานสูงอย่างต่อเนื่อง บวกกับการสั่นกะพริบของหน้าจอ ส่งผลให้กล้ามเนื้อลูกตาทำงานหนักในการจับภาพ มีการกะพริบตาลดน้อยลงจากปกติที่ควรจะกะพริบตา 10-15 ครั้งต่อนาที ผลก็คือทำให้เกิดน้ำตาระเหยออกไปมาก ทำให้เกิดอาการตาแห้ง และอาการที่แสดงออกจะยิ่งมากขึ้นคือ ปวดตา แสบตา เห็นภาพซ้อน รวมทั้งปวดคอ ไหล่ ร่วมด้วย(3,4) หากมีพฤติกรรมติดจอต้องเจอกับแสงจ้าเป็นประจำเป็นเวลานาน ๆ ในระยะยาวจะเร่งการเสื่อมของดวงตา อาจทำให้เกิดภาวะกระจกตาอักเสบเป็นแผล กระจกตาขุ่น และยังพบอีกว่าเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีส่วนให้เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อม นอกจากปัจจัยกระตุ้นอื่น ๆ ได้แก่ อายุ การสูบบุหรี่ การรับประทานอาหารไม่ถูกหลักโภชนาการ และกรรมพันธุ์ เป็นต้น(4,6)

คนเรามีดวงตาเพียงคู่เดียว โดยเฉพาะจอประสาทตาซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่สุดในการมองเห็น และการแพทย์ปัจจุบันยังไม่สามารถรักษาโรคจอประสาทตาเสื่อมให้หายขาดได้ การดูแลและปกป้องดวงตาและจอประสาทตาเป็นเรื่องที่ควรให้ความสำคัญตั้งแต่เนิ่น ๆ การดูแลสุขภาพดวงตานั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การปรับพฤติกรรมการใช้งานอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่อาจมีผลต่อดวงตา เช่น การเล่นหรือทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือโทรศัพท์สมาร์ทโฟน ให้อยู่ในระยะเวลาที่เหมาะสม พักสายตาเป็นระยะ และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ อย่างไรก็ตาม จากความจำเป็นของพฤติกรรมการใช้ชีวิตของคนในยุคปัจจุบัน ทำให้การเลี่ยงพฤติกรรมการติดจอเป็นเรื่องยาก ดังนั้น เราจึงควรดูแลดวงตาและจอประสาทตาเป็นพิเศษเพิ่มเติมจากการพักผ่อน และการบริโภคผักและผลไม้ในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะการรับประทานผักและผลไม้ที่ให้สารพฤกษเคมีที่มีประโยชน์เพื่อการดูแลดวงตาโดยเฉพาะ และควรดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอเพื่อเป็นการเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ดวงตา ลดอาการตาแห้งอีกด้วย(5)

สารพฤกษเคมีที่มีประโยชน์ต่อดวงตา ได้แก่ แคโรทีนอยด์ ซึ่งเป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ (โปรวิตามินเอ) พบได้ในผักและผลไม้ที่มีสีเหลืองและสีส้ม เช่น แครอท ฟักทอง มะละกอสุก และแอนโธไซยานิน ซึ่งจะพบได้ในผลไม้ที่มีสีม่วงและแดง จำพวกผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ เช่น สตรอเบอร์รี่ บิลเบอร์รี่ แบลคเคอร์แรนต์ แครนเบอร์รี่ มัลเบอร์รี่ เป็นต้น(7)

ประโยชน์ของวิตามินเอและแคโรทีนอยด์
แหล่งของแคโรทีนอยด์ตามธรรมชาติส่วนใหญ่จะอยู่ในผักและผลไม้ที่มีสีส้มหรือสีเหลือง ได้แก่ แครอท มะม่วง มะละกอ ฟักทอง ส้ม ขนุน ส่วนสารเบต้าแคโรทีนพบได้ในผักและผลไม้สีเข้มแทบทุกชนิด เช่น พริกแดง มะเขือเทศ ตำลึง เป็นต้น แคโรทีนอยด์เป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ (โปรวิตามินเอ) เมื่อเรารับประทานเข้าไป ร่างกายจะทำหน้าที่เปลี่ยนให้กลายเป็นวิตามินเอที่มีส่วนช่วยในการมองเห็น โดยเฉพาะการมองเห็นในที่มืด เนื่องจากวิตามินเอเป็นองค์ประกอบสำคัญของโรดอปซิน (Rhodopsin) ซึ่งเป็นโปรตีนสำคัญที่อยู่ที่จุดรับแสงเรตินาในดวงตา ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของเยื่อบุตา และกระจกตา(8)

ประโยชน์ของแอนโธไซยานินต่อสุขภาพดวงตา
แหล่งของแอนโธไซยานินพบได้จากผลไม้ที่มีสีม่วงอมน้ำเงินและแดง พบมากในผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ แอนโธไซยานิน เป็นสารสำคัญเพื่อการดูแลดวงตา เพราะเป็นสารต้านอนุมูลอิสระประสิทธิภาพสูงเมื่อเทียบกับผักและผลไม้อื่น ๆ มีฤทธิ์ที่ทำงานโดยตรงต่อดวงตา โดยปริมาณของแอนโธไซยานินจะสัมพันธ์กับสีม่วงแดง ยิ่งเบอร์รี่มีสีม่วงแดงจนไปถึงน้ำเงินเข้ม ยิ่งแสดงว่ามีปริมาณแอนโธไซยานินอยู่สูง(9,10) แอนโธไซยานินจะถูกดูดซึมไปยังเซลล์ตาในรูปของมาลวิดิน ไกลโคไซด์ (Mulvidin glycosides) ซึ่งเป็นรูปแบบเดียวกับที่พบในผลเบอร์รี่ การศึกษาในสัตว์ทดลองพบว่า หลังจากรับประทานแอนโธไซยานินเสริมจะสามารถตรวจพบแอนโธไซยานินได้ที่ส่วนของกระจกตา เลนส์ตา จอประสาทตา(11) จึงเป็นการพิสูจน์ว่า เมื่อรับประทานผลไม้ตระกูลเบอร์รี่จึงให้ประโยชน์โดยตรงในการปกป้องดวงตา งานวิจัยของแอนโธไซยานินด้านต่าง ๆ มีดังนี้

1. ผลต่อการมองเห็นในที่มืด หรือที่มีแสงน้อย
มีข้อมูลพบว่า เบอร์รี่เป็นผลไม้ใช้เพื่อบำรุงดวงตามาตั้งแต่สมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เนื่องจากนักบินของอังกฤษสังเกตว่าการรับประทานบิลเบอร์รี่ทำให้ความสามารถในการมองเห็นในเวลากลางคืนดีขึ้น ทำให้อาการเมื่อยล้าของดวงตาจากการใช้งานนาน ๆ ลดน้อยลง(9,10) หลังจากนั้นจึงมีการศึกษาถึงประโยชน์ด้านนี้เพิ่มมากขึ้น งานวิจัยทางคลินิกในกลุ่มอาสาสมัครสุขภาพดีโดยให้รับประทานสารสกัดแอนโธไซยานินจากแบลคเคอร์แรนต์เสริมที่ปริมาณแตกต่างกันคือ 12.5, 20 และ 50 มิลลิกรัม เทียบกับกลุ่มควบคุมและทำการวัดค่าดัชนีการมองเห็นในที่มืดก่อนและหลังจากการรับประทานเสริม 2 ชั่วโมง ผลการทดลองพบว่า หลังจากการรับประทาน 30 นาที กลุ่มที่เสริมด้วยแอนโธไซยานินจากแบลคเคอร์แรนต์ที่ 50 มิลลิกรัม มีผลช่วยให้ความสามารถในการมองเห็นในที่มืดดีขึ้น โดยแอนโธไซยานินจะช่วยในการเร่งคืนสภาพของโรดอปซิน ซึ่งเป็นโปรตีนสำคัญที่ไวต่อการรับแสงที่เซลล์รับแสงรูปแท่งในจอประสาทตาได้ดี จึงช่วยให้ดวงตาสามารถรับภาพในที่มืดเวลากลางคืนได้ชัดเจนมากขึ้น(12) Lee J และคณะ (2005) ได้ทำการศึกษาทางคลินิกถึงผลของการรับประทานสารสกัดบริสุทธิ์ของแอนโธไซยานินในปริมาณสูงต่อความสามารถในการมองเห็นในเวลากลางคืน โดยทำการวิจัยในผู้ที่มีอาการตาล้าและสายตาผิดปกติ จำนวน 60 คน ให้รับประทานสารสกัดบริสุทธิ์ของแอนโธไซยานินต่อเนื่องเป็นเวลา 4 สัปดาห์ ผลการศึกษาพบว่า 73.3% มีการมองเห็นที่ดีขึ้น(13) นอกจากนี้ยังพบอีกว่า แอนโธไซยานินมีผลช่วยคลายความเหนื่อยล้าของดวงตาในกลุ่มที่ทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ เนื่องจากช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของเส้นเลือดฝอย และเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในหลอดเลือดฝอยที่ตา ทำให้ดวงตาได้รับสารอาหารและออกซิเจนไปเลี้ยงได้ดีขึ้น(12,14)

2. ผลช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดต้อกระจก
ต้อกระจกเกิดจากการที่ตาต้องเจอกับแสงจ้า ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดอนุมูลอิสระขึ้นที่เซลล์ของดวงตา ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของโปรตีนในเนื้อเลนส์ มีการเพิ่มขึ้นของโปรตีนชนิดที่ไม่ละลายน้ำ ทำให้เลนส์แก้วตาแข็งและทึบแสงมากขึ้น จากการศึกษาทางคลินิกโดยให้อาสาสมัครที่มีต้อกระจกจำนวน 50 คน รับประทานสารสกัดจากบิลเบอร์รี่ที่มีปริมาณแอนโธไซยานิน 25% 180 มิลลิกรัม ร่วมกับวิตามินอี 100 มิลลิกรัม 2 ครั้งต่อวัน ติดต่อกันเป็นเวลา 4 เดือน พบว่ากลุ่มที่รับประทานบิลเบอร์รี่สกัดเสริมสามารถยับยั้งการเกิดต้อกระจกเพิ่มได้ถึง 96% เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุมที่เห็นผลการยับยั้งที่ 76%(15) จึงกล่าวได้ว่าแอนโธไซยานินช่วยลดอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นที่เซลล์ของดวงตา และช่วยป้องกันเลนส์ตาจากการถูกทำลายได้

3. ผลช่วยลดความเสี่ยงของโรคจอประสาทตาเสื่อม
Wang Y และคณะ(16) ศึกษาผลของความสัมพันธ์ของการได้รับแสงที่มากเกินควรต่อเซลล์รับแสงของจอประสาทตาซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดจอประสาทตาเสื่อม ซึ่งทำการศึกษาในหลอดทดลอง โดยใช้เซลล์ตาของสัตว์ทดลองทดสอบกับแอนโธไซยานินที่สกัดมาจากบิลเบอร์รี่ในปริมาณเข้มข้นที่ 250 และ 500 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมต่อวัน และให้รับแสงพลังงานสูงเป็นเวลาต่อเนื่องนาน 2 ชั่วโมง ติดตามผลเป็นเวลา 7 วัน ผลการศึกษาพบว่า แอนโธไซยานินสามารถยับยั้งการตายของเซลล์จอประสาทตาได้โดยเพิ่มระดับของเอนไซม์ Superoxide dismutase, Glutathione peroxidase และ Catalase ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการต้านอนุมูลอิสระและยับยั้งกระบวนการ Lipid peroxidation โดย Jang YP และคณะ ทำการศึกษาพบว่า แอนโธไซยานินที่สกัดมาจากบิลเบอร์รี่มีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระ สามารถยับยั้งการออกซิเดชั่นของสารรงควัตถุ A2E ที่เกิดจากการกระตุ้นด้วยแสงและสะสมที่เซลล์รับแสงของจอประสาทตา Retinal pigment epithelium (RPE) ทำให้เกิดความผิดปกติของจอประสาทตา เช่น โรคจอประสาทตาเสื่อมได้ การศึกษานี้ทำในหลอดทดลอง(17) นอกจากนี้การศึกษาของ Liu Y และคณะ(18) ที่ทำการศึกษาผลของเซลล์รับแสงของจอประสาทตา Retinal pigment epithelium (RPE) เมื่อถูกกระตุ้นด้วยแสงในช่วงความยาวคลื่นของอัลตราไวโอเลตช่วงคลื่น 100-380 นาโนเมตร และแสงที่มองเห็นได้ในช่วง 380-760 นาโนเมตร ในหลอดทดลองพบว่าสารสกัดจากบิลเบอร์รี่ช่วยยับยั้งการตายของเซลล์รับแสงของจอประสาทตาที่ถูกกระตุ้นด้วยแสงจ้าเป็นเวลานานได้ จึงอาจกล่าวได้ว่าแอนโธไซยานินจากเบอร์รี่สามารถช่วยป้องกันความเสื่อมของจอประสาทตาได้(17) สำหรับอาการของโรค ผู้ที่เป็นโรคนี้ในระยะเริ่มแรกจะยากต่อการสังเกตอาการ อาจเริ่มมีเพียงแค่การมองเห็นภาพเบลอ ๆ มัว ๆ ไม่ชัด ซึ่งอาการมักจะเห็นผิดปกติชัดเจนคือ เห็นภาพบิดเบี้ยวไป และไม่สามารถเห็นตรงกลางภาพได้ก็ต่อเมื่อเป็นในระยะที่เริ่มรุนแรงแล้ว หากไม่ได้รับการรักษา จุดดำตรงกลางภาพจะขยายขนาดมากขึ้น จนทำให้ตาบอดได้ในที่สุด ซึ่งมีหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเพิ่มความเสี่ยงการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อมคือ อายุที่เพิ่มมากขึ้น การสูบบุหรี่ พันธุกรรม เชื้อชาติ ความดันโลหิตสูง และโรคอ้วน เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญคือ พฤติกรรมการติดจอ เนื่องจากแสงจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ เช่น จากจอคอมพิวเตอร์ หรือโทรศัพท์สมาร์ทโฟน จะไปกระตุ้นให้เกิดการสะสมของอนุมูลอิสระทำให้เกิด Lipofuscin ที่ทำลายเซลล์รับภาพในจอประสาทตา(18) ได้แก่ การช่วยให้มองเห็นในเวลากลางคืนดีขึ้นโดยเร่งกลับคืนสู่สภาพของสารโรดอปซิน (Rhodopsin) ทั้งนี้เนื่องจากสารแอนโธไซยานินอาจมีผลต่อเอนไซม์เรตินีน-ไอโซเมอเรส (Retinene-isomerase) และแลคเตท ดีไฮโดรจีเนส (Lactate dehydrogenase) ช่วยให้การปรับสายตาดีขึ้น ช่วยป้องกันการเกิดต้อกระจก (Cataracts) ช่วยป้องกันเอนโดทีเลียล เซลล์ (Endothelial cell) และเซลล์เม็ดเลือดแดงให้มีความยืดหยุ่น จึงช่วยให้เส้นเลือดฝอย (Capillaries) เกิดความยืดหยุ่นยืดขยายได้ดีขึ้น เพิ่มการไหลเวียนโลหิต จึงทำให้สามารถนำพาสารอาหารและออกซิเจนผ่านเส้นเลือดฝอยไปยังเนื้อเยื่อต่าง ๆ ในร่างกาย เช่น เรตินาของตาได้ดีขึ้น ช่วยป้องกันความเสื่อมของเรตินาที่เกิดจากโรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูง นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันความเสื่อมของจุดทางออกของเส้นประสาทตา (Macula degeneration) สารสกัดแอนโธไซยานินจากบิลเบอร์รี่ยังมีฤทธิ์ต้านการเกาะกันของเกล็ดเลือด ซึ่งช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในระดับเซลล์ และการไหลเวียนโลหิตที่ขาเพิ่มขึ้น

จากงานวิจัยข้างต้นอาจกล่าวได้ว่าบิลเบอร์รี่และสารสกัดแอนโธไซยานินจากบิลเบอร์รี่ให้สรรพคุณในการส่งเสริมสุขภาพของดวงตาและป้องกันดวงตาจากความผิดปกติต่าง ๆ รวมทั้งช่วยให้ระบบไหลเวียนโลหิตดีขึ้น จึงนับเป็นคุณประโยชน์ของสารไฟโตเคมีคอลจากพืชที่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระเพื่อช่วยบรรเทาความเจ็บป่วยของมนุษย์ได้อีกทางหนึ่ง

สรุป
การดูแลและถนอมสายตาเพื่อชะลอความเสื่อมของสุขภาพตาไม่ให้เกิดการเสื่อมขึ้นเร็วกว่าวัยอันควร ทำได้โดยการเลี่ยงปัจจัยและพฤติกรรมเสี่ยงต่าง ๆ รับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง เช่น แอนโธไซยานิน และวิตามินเอ เป็นต้น จากงานวิจัยบางส่วนที่ผ่านมา ได้มีการศึกษาถึงบทบาทที่น่าสนใจของสารแอนโธไซยานินในด้านต่าง ๆ เช่น ผลต่อการมองเห็นในที่มืดหรือที่ที่มีแสงน้อย ผลช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดต้อกระจก และผลช่วยลดความเสี่ยงของโรคจอประสาทตาเสื่อม ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของคุณประโยชน์จากสารพฤกษเคมีในผักและผลไม้ที่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ เพื่อช่วยบรรเทาความเจ็บป่วยและดูแลสุขภาพของคนเราได้อีกทางหนึ่งด้วย

เอกสารอ้างอิง
1. รศ.ดร.วินัย ดะห์ลัน. เอกสารประกอบการบรรยาย "โภชนาการพื้นฐานเพื่อการมีสุขภาพสมบูรณ์สูงสุด" พ.ศ. 2550.
2. รายงานผลการสำรวจพฤติกรรมผู้ใช้อินเตอร์เน็ตในประเทศไทยปี พ.ศ. 2559. สำนักยุทธศาสตร์ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) สังกัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที). สิงหาคม พ.ศ. 2559
3. Moschos MM, Chatziralli IP, Siasou G, Papazisis L. Visual problems in young adults due to computer use. Klin Monbl Augenheilkd. 2012;229(4):379-81.
4. Blehm C, et al. Computer vision syndrome: A review. Survey of Ophthalmology. 2005;50(3):253-262.
5. Loh KY. and Reddy SC. Understanding and preventing computer vision syndrome. Malaysian Family Physician. 2008;3(3):1-4.
6. Thierry V. Blue light hazard: New knowledge, new approaches to maintaining ocular health report of a roundtable. New York city, USA. 2013.
7. Brown NA, et al. Nutrition supplements and the eye. Eye (Lond). 1998;12(1):127-33.
8. Smith J. and Steinemann TL. Vitamin A Deficiency and the Eye. International Ophthalmology Clinics. 2000:83-91.
9. Antal DS, et al. The Anthocyanins: Biologically-active substances of food and pharmaceutic interest. The Annals of the University Dunarea de jos of Galati Fascicle VI-Food technology 2003.
10. Maarit Rein. Copigmentation reactions and color stability of berry anthocyanins. University of Helsinki, 2005.
11. Michael Rhone and Arpita Basu. Phytochemicals and age-related eye diseases. Nutrition Reviews®. 2008;66(8):465-472.
12. Nakaishi H, et al. Effects of blackcurrant anthocyanoside intake on dark adaptation and VDT work-induced transient refractive alteration in healthy humans. Altern Med Rev. 2000;5(6):553-6.
13. Lee J, Lee HK, Kim CY, Hong YJ, Choe CM, You TW, Seong GJ. Purified high-dose anthocyanoside oligomer administration improves nocturnal vision and clinical symptoms in myopia subjects. Br J Nutr. 2005;93:895-899.
14. Ghosh D. and Konishi T. Anthocyanins and anthocyanin-rich extracts: role in diabetes and eye function. Asia Pac J Clin Nutr. 2007;16(2):200-208.
15. Head KA. Natural therapies for ocular disorders, part two: cataracts and glaucoma. Altern Med Rev. 2001;6(2):141-66.
16. Wang Y, et al. Retinoprotective effects of bilberry anthocyanins via antioxidant, anti-inflammatory, and anti-apoptotic mechanisms in a visible light-induced retinal degeneration model in pigmented rabbits. Molecules. 2015;20:22395-22410.
17. Jang YP, Zhou J, Nakanishi K, Sparrow JR. Anthocyanins protect against A2E photooxidation and membrane permeabilization in retinal pigment epithelial cells. Photochem Photobiol. 2005;81:529-536.
18. Liu Y, et al. Blueberry anthocyanins: protection against ageing and light-induced damage in retinal pigment epithelial cells. British Journal of Nutrition. 2012;108:16-27.


https://www.facebook.com/Wongkarnpat/posts/1305337382855793
Photo

มันม่วง...ป้องกันความชราค่ะ

มันเทศสีม่วง เนื้อมันเทศมีสีม่วงเข้ม เป็นมันเทศที่มีสาร “แอนโทไซยานิน” (Anthocyanin) อยู่สูง ซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์ในการต่อต้านอนุมูลอิสระ มีส่วนช่วยในการชะลอความเสื่อมของเซลล์ ช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและเส้นเลือดอุดตันได้ ช่วยชะลอความเสื่อมของดวงตา

และพบว่าสารชนิดนี้ช่วยยับยั้งเชื้ออีโคไลซึ่งเป็นสาเหตุของโรคท้องร่วง ในธรรมชาติผักและผลไม้ที่มีสารแอนโทไซยานินมากมักจะสีม่วง เช่นองุ่นแดง บลูเบอรี่ ฯลฯ สำหรับพืชหัวจะมีมากในหัวมันเทศเนื้อสีม่วง โดยเฉพาะมันเทศเนื้อสีม่วงจากประเทศญี่ปุ่นได้มีการปรับปรุงสายพันธุ์ได้เนื้อมันเทศที่มีสีม่วงเข้มตลอดทั้งหัว มันเทศ เป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรตชั้นดีที่ให้พลังงานโดยไม่ก่อพิษต่อร่างกายแบบอาหารแปรรูปจากแป้งและน้ำตาลแบบอื่น ๆ

ส่วนใบและยอดอ่อนของมันเทศ (Sweet potato) สามารถนำมาปรุงเป็นอาหารได้ และยังมีวิตามินเอ วิตามินซี สารอาหารลูทิน (Lutein) ที่ช่วยบำรุงสายตา ผัดยอดมันเทศเป็นอาหารที่คนมาเลเซียรับประทานกันเป็นประจำ 

ส่วนมันเทศเนื้อสีส้มมีสารเบต้าแคโรทีนสูง ซึ่งช่วยลดอัตราการกลายพันธ์ของเซลล์และทำลายเซลล์มะเร็ง การนำยอดมันเทศมาปรุงอาหารพบว่ามีในประเทศญี่ปุ่น จีน และเกาหลีด้วย

ทางด้านคุณค่าทางโภชนาการของมันเทศมีสูงกว่ามันฝรั่งด้วยซ้ำไป ในเนื้อมันเทศนอกจากจะมีปริมาณแป้งสูงแล้ว ยังมีวิตามินและแร่ธาตุมาก มันเทศเนื้อสีส้ม จะมีสารเบต้าแคโรทีนสูงไม่แพ้แครอทและสาหร่ายทะเล

ในขณะที่มันเทศเนื้อสีม่วงจะมีสารแอนโทไซยานินสูง สารแอนโทไซยานินจะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจได้ และยังทำหน้าที่เป็นตัวล้างพิษและช่วยชะลอความแก่ชราได้ มีข้อมูลว่าในบางประเทศมีการใช้เนื้อมันเทศสีม่วงเป็นคาร์โบไฮเดรตแทนข้าวสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า ทำไม ในปัจจุบันมันเทศเนื้อสีม่วงที่มีวางขายในทั่วโลกจึงมีราคาค่อนข้างแพง ขายถึงผู้บริโภคไม่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ 100 บาท

โดย ทางแพทย์สายพุทธ
เครดิต: นานาสาระเพื่อสุขภาพที่ดี
ภาพ: จากอินเตอร์เน็ต

BY ทางแพทย์สายพุทธ
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=603717699719025&set=a.491823914241738.1073741826.491812030909593
Photo

เพจของอ.ดร.ไมตรี สุทธจิตต์

ขอเสริมว่า กินข้าวกล้องหรือข้าวแบบนี้เป็นประจำเลยน่าจะดีกว่ารอกินอาหารเสริม

อาหารเสริมจากข้าวกล้องมันปูหรือ ข้าวแดง สามารถฟื้นฟูสมองได้ วิจัยโดยนักชีวเคมี ม.พะเยา ที่ได้ค้นพบว่า ข้าวแต่ละชนิดให้คุณค่าทางโภชนาการต่างกัน สามารถสกัดออกมาเป็นอาหารเสริมรักษาอาการเจ็บป่วย

ศ.เกียรติคุณ ไมตรี สุทธจิตต์ ผู้ทรงคุณวุฒิ และอดีตคณบดี คณะวิทยาศาสตร์การแพทย์ มหาวิทยาลัยพะเยา หนึ่งในนักวิจัยที่สนใจศึกษาคุณสมบัติพิเศษของข้าว เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับพืชเศรษฐกิจที่เป็นสินค้าส่งออกอันดับหนึ่งของประเทศ

"อาหารเสริมที่มีขายกันส่วนใหญ่ สกัดมาจากผลไม้จากต่างประเทศที่มีประโยชน์สูง อย่างพวกลูกบลูเบอร์รี่ แบล็คเบอร์รี่ ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระเป็นองค์ประกอบ ทำให้อาหารเสริมที่ผลิตจากผลไม้ดังกล่าว ได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้รักสุขภาพทั่วไป ความจริงพืชพื้นบ้านของไทยหลายชนิด มีศักยภาพนำมาทำเป็นอาหารเสริมป้องกันโรคบางโรคได้เหมือนกัน เพียงแต่ยังไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เพียงพอ"

ตลอด 20 ปี ที่ผ่านมา ได้ลงมือค้นหาสารต้านอนุมูลอิสระที่แฝงตัวอยู่ในพืชผักตามธรรมชาติหลากชนิด ไม่ว่าจะเป็นพืชชื่อแปลกอย่างมะเม่า มะเกี๋ยง ที่ฟังดูหลายคนอาจจะยังไม่คุ้นหูนัก เขาได้ทุ่มเทเวลาศึกษาอย่างจริงจัง กระทั่งมีข้อมูลแน่นพอยืนยันได้ว่า พืชเหล่านี้มีสาร "แอนโธไซยานิน"(anthocyanin) มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระอย่างมีนัยสำคัญ
เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า อนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นในร่างกายเป็นตัวการทำให้เซลล์เสื่อมเร็วกว่าปกติ แต่ธรรมชาติได้สร้างคู่ปรับของอนุมูลอิสระในรูปของผักผลไม้สีเข้ม

การค้นหาของ ศ.เกียรติคุณ ไมตรี ไม่ได้หยุดอยู่ที่พืชพื้นบ้านเท่านั้น เขายังพบว่าข้าวกล้อง ข้าวแดง หรือข้าวมันปูของไทยมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระไม่แพ้พืชชนิดอื่น และเริ่มศึกษาคุณสมบัติของข้าวกล้องอย่างจริงจัง เพื่อให้ผลงานเป็นที่ยอมรับในระดับสากล งานวิจัยดังกล่าวจึงออกแบบการทดลองครบทุกกระบวนการตั้งแต่ระดับสัตว์ทดลองในห้องปฏิบัติการวิจัย ไปจนถึงการศึกษาวิจัยในคน ซึ่งเป็นเป้าหมายในอนาคต

คณะกรรมการพิจารณาทุนวิจัยจากบริษัท เซเรบอส (ประเทศไทย) จำกัด เจ้าของผลิตภัณฑ์อาหารเสริมหลากยี่ห้อ ให้ความสนใจงานวิจัยและได้มอบทุนเซเรบอสอวอร์ด 2009 จำนวนเงิน 2 แสนบาท ให้แก่ทีมวิจัย เพื่อนำไปใช้ในการศึกษาฤทธิ์ทางชีวภาพของข้าวกล้องมันปูและข้าวนิล เพื่อการป้องกันโรค #เบาหวาน และโรค #อัลไซเมอร์

ทุนวิจัยเซเรบอสนี้จะแบ่งสำหรับการศึกษา 2 ช่วง คือ 1. การทดสอบในอาสาสมัครผู้ป่วยเบาหวาน 10 คน เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของข้าวดังกล่าว คาดว่าปี 2553 จะทราบผลที่ชัดเจน และ 2. โรคอัลไซเมอร์จะเริ่มทดลองในเซลล์สมองของหนู เพื่อดูปริมาณไขมันในสมองภายหลังรับสารจากข้าวทั้ง 2 ชนิด หากปริมาณไขมันในสมองมากผิดปกติ จะไปทำลายเซลล์สมอง และส่งผลต่อความจำ ในทางตรงกันข้าม หากปริมาณไขมันลดลงย่อมส่งผลดีต่อเซลล์ความจำเช่นกัน

" #ข้าวกล้อง มีวิตามินและแร่ธาตุมากกว่าข้าวขาว 2-3 เท่าตัว และยังมีสรรพคุณกระตุ้นให้อินซูลินหลั่งช้าๆ ทำให้ลดระดับคอเลสเตอรอลต่ำ จึงเป็นไปได้ที่จะสกัดเอาประโยชน์ของข้าวใช้เป็นอาหารเสริมสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน" นักวิจัยกล่าว

นอกจากนี้ สารต้านอนุมูลอิสระที่พบในข้าวกล้อง ยังช่วยป้องกันไม่ให้เซลล์ในร่างกายและเซลล์ประสาทเสื่อมสภาพ ส่งเสริมการทำงานของระบบประสาท จึงมีความเป็นไปได้สำหรับรักษาอาการความจำเสื่อม หรืออัลไซเมอร์

ทีมวิจัยจับตาคุณสมบัติของข้าวแดงมันปูและข้าวนิลเป็นพิเศษ ข้าวทั้งสองชนิดมีสารแอนโทไซยานินสูงกว่าข้าวขาวทั่วไปถึง 20-30 เท่า ทั้งยังมีกลไกยับยั้งการเกิดไกลเคชั่นในโรคเบาหวาน โดยเฉพาะกระบวนการเปลี่ยนแป้งเป็นน้ำตาลจะน้อยกว่าข้าวปกติ ซึ่งส่งผลดีต่อผู้ป่วยเบาหวาน

ปัจจุบัน อยู่ระหว่างพัฒนาวิธีการตรวจวัด พร้อมศึกษาถึงผลต่อความเป็นพิษในเซลล์มะเร็ง ความเป็นพิษในการทำงานของตับ และผลต่อระดับคอเลสเตอรอลในหนูทดลองที่เป็นเบาหวาน

"สิ่งที่จะได้รับ คือ สามารถนำประโยชน์จากข้าวแดงมันปูและข้าวนิล ไปใช้ร่วมในการรักษาผู้ป่วยเบาหวาน เพื่อลดการเกิดภาวะแทรกซ้อน เนื่องจากข้าวมันปูสามารถรับประทานได้เป็นประจำ จึงเป็นผลดีต่อเนื่องสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน"
เขาเชื่อว่า อาหารเสริมสกัดจากข้าวกล้องจะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มได้นอกเหนือจากข้าวกล้องทั่วไป เนื่องจากข้อจำกัดของข้าวกล้อง คือ หุงยาก ปลูกยาก ทำให้ข้าวมีราคาแพง และไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร

นอกจากงานวิจัยฤทธิ์ของข้าวกล้องมันปูและข้าวนิล เพื่อการป้องกันโรคเบาหวานและโรคอัลไซเมอร์แล้ว ยังมีงานวิจัยอีก 3 ที่ได้รับการสนับสนุนจากทุนวิจัยเซเรบอสอวอร์ด จำนวนเงิน 1 แสนบาทต่อโครงการ

การรักษามะเร็งตับโดยธรรมชาติบำบัด
ดร พรชัย ปรีชาปัญญา
โครงการวิจัยและพัฒนาอาหารเป็นยา
บริษัท เชียงใหม่ชยาดา จำกัด

มะเร็งตับ เกิดจากตับพิการที่ได้รับสารเคมีจากการกินอาหาร ยาย้อมผม พิษไวรัสบี เชื้อราเอลฟา และไขมันพอก มะเร็งชนิดนี้พบในคนทุกวัย
มะเร็งตับมีรูปร่างเป็นเส้นรอบตับไว้ และรัดจนตับตาย เริ่มจากไขมันพอกตับ การรักษาควร

1. กินเซซามิน 3 เม็ด ก่อนนอนและตื่นนอน ซึ่งทำลายมะเร็งตับโดยการตัดให้เป็นชิ้นเล็กและทำลาย หากร้อนในลดปริมาณลง นอกจากนั้นในเซซามินยังประกอบด้วย
• ทริปโตเฟนที่เป็นสารตั้งต้นของสารเมลาโทนินที่สังเคราะห์ด้วยต่อมไพเนียมซึ่งอยู่ใต้สมองสารชนิดนี้ลดการแพร่กระจายของเชลล์มะเร็ง
• แคลเซียมสูงมาก มากกว่านม 10 เท่า ใช้ป้องกันกระดูกจากมะเร็งที่จะลามมา
• ไฟเบอร์สูงใช้ป้องกันมะเร็งลำไส้ และกระตุ้นการขับถ่าย ซึ่งช่วยทำให้ลำใส้ใหญ่สร้างสารเมลาโทนินที่ช่วยป้องกันมะเร็งลาม
• คิวเท็นที่ช่วยป้องกันเซลล์ให้แข็งแรงโดยเฉพาะศูนย์กลางของเซลล์
• ไบโอทินช่วยสร้างวิตามินซี ซึ่งเป็นสารที่ล้อมให้มะเร็งไม่โต

2. ดื่มน้ำผึ้งญาดาตอนเช้าและก่อนนอนครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะ ที่ผสมวีนีก้าน้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ ตำลึง 100 กรัม และน้ำ 1 แก้ว ปั่นผสมกันแล้วดื่ม
• โดยน้ำผึ้งให้สารเควอซิทินที่ต้านการลามของมะเร็งมาที่ลำไส้ และเพิ่มประสิทธิภาพของวิตามินซีในการล้อมมะเร็ง
• ไคซีนที่เพิ่มประสิทธิภาพของเอสโตรเจนและเทสโทสเตอโรน ซึ่งฮอร์โมนทั้งสองต้านการลามของมะเร็งไปที่ระบบสืบพันธุ์ นอกจากนั้นไคซีนยังทำหน้าที่ป้องกันเซซามินจากสารก่อมะเร็งในระหว่างเส้นทางที่เดินทางและให้คอลลาเจนที่คอยเก็บมะเร็งที่ตายออกจากร่างกาย หากปล่อยไว้มะเร็งจะฟื้นขึ้นมาอีก ทำให้การรักษาไม่ประสพความสำเร็จ
• วิตามินซีที่ทำหน้าล้อมเซลล์มะเร็งไม่ให้โต
• วีนีก้าน้ำผึ้งให้สารอาซิติกที่ช่วยทำลายแลคติกที่เกาะที่ตับและไขมันเลือด และสารเอลลาจิกที่ช่วยทำลายการก่อตัวเพิ่มของมะเร็ง
• ตำลึงให้คลอโรฟิลล์ช่วยทดแทนการขาดเลือด โดยคลอโรฟิลล์มีโครงสร้างเหมือนเลือด แต่มีศูนย์กลางเป็นแมกนีเซียม เมื่อได้เหล็กจากน้ำผึ้งเข้าไปทดแทนทำหน้าที่คล้ายเลือด นอกจากนั้นครอโรฟิลล์ยังลดพิษของมะเร็ง
• ให้เบต้าแคโรทินที่ช่วยต้านการระบาดของมะเร็งไปที่ปอด รังไข่ มดลูก หรือต่อมลูกหมาก

3. เอลลาจิก 1 เม็ด ก่อนนอน ซึ่งเอลลาจิกจะทำลายการก่อตัวของมะเร็งทั้งระบบของร่างกาย โดยการเหนียวนำรหัสดีเอ็นเอของมะเร็งให้เป็นเซลล์ปกติ

4. น้ำมันเพอรีล่า หลังอาหารทุกมื้อ 1 เม็ด ให้โอเมก้า 3 สูงมาก ช่วยกำจัดไขมันที่พอกตับที่เป็นสาเหตุของมะเร็ง เบต้าแคโรทิน และไฟโตรเอสโตรเจนที่ช่วยจับมะเร็งจะระบาดไปที่ระบบสืบพันธุ์ นอกจากนั้นเพอรีล่ายังทำละลายวิตามินเอ ดี และอีได้ดี จะทำให้ได้วิตามินดังกล่าวที่ช่วยต้านมะเร็ง

5. นวดด้วยน้ำมันเพอรีล่าสกัดเย็นให้ทั่วตัวอย่างน้อย 1 ครั้ง ต่อ 7 วัน ให้โอเมก้า 3 ทำให้น้ำเหลืองหมุนเวียนและไปติดที่ร่างแหของต่อมน้ำเหลืองและกวาดสารก่อมะเร็งออกจากร่างกาย

6. เดินให้โดนแสงแดดทุกวันละ 1 ชม ก่อนเดินควรทาน้ำมันเพอรีล่าป้องกันแสงยูวีทำลายผิวหนัง ซึ่งได้วิตามินดี 3 และทำให้น้ำเหลืองหมุน วิตามินดีและเซซามินช่วยขนแคลเซียมเพื่อป้องกันกระดูกและเลือดจากมะเร็งที่จะกระจายเข้ามา

7. กินข้าวดำกล้อง เช่น ไรซเบอรี หอมนิล หรือข้าวเหนียวก่ำทุกมื้อให้เบต้ากลูแคน และแอนโทไซยานิน ที่ช่วยต้านการก่อมะเร็ง และคิวเทนช่วยทำให้ศูนย์กลางเซลล์ร่างกายแข็งแรง

8. ดื่มน้ำแม่เหล็กแทนน้ำทั่วไป ทุกชั่วโมงๆละ 1 แก้ว และ

9. จัดที่นอนให้ให้ขนานกับแนวแม่เหล็กโลก และอาบน้ำแม่เหล็ก เพื่อให้จัดโมเลกุลในร่างกายให้เป็นระเบียบในการต้านฤทธิ์ของมะเร็ง

10. อาหารที่ควรกิน เช่น ขิงสด 10 ชิ้นบางๆหลังอาหาร ช่วยต้านมะเร็ง ต้มจืดบวมบางมื้อ ช่วยลดอาการบวม ขับเสมหะ ส้มตำ หรือมะละกอสุก บางมื้อ มีสารปาเปนช่วยย่อย มี แคโรทีน ไลโคปีน วิตามินซี และอี ต้านมะเร็งไปลำไส้ อินทผาลัม วันละ 3 ผล มีกรดคอร์บิก กระตุ้นความอยากอาหาร ต้านมะเร็งลามไปม้าน เพิ่มออกซิเจนและอาหารให้เลือดและกล้ามเนื้อ กระเทียม 1 กลีบ หลังอาหาร ให้สารอัลลีลซัลไฟค์ ล้างพิษมะเร็ง และละลายลิ่มเลือด บรอกโคลี บางมื้อให้แคโรทีนอยด์ ยั้บยั้งการเจริญเติบโตของมะเร็ง สารซัลโฟราเฟน กำจัดการก่อตัวมะเร็งในเซลล์ นมถั่งเหลืองวันละ 1 แก้ว ให้สารเจสตีน ช่วยต้านมะเร็ง แอบเปิล บางวัน ยั้บยั้งการกระจายของมะเร็ง ซ๊อมมะเขือเทศ และฟิซ่าที่ใส่ซ๊อสมะเขือเทศ บางมื้อ ให้ไลโคปีนช่วยต้านมะเร็งเต้านม ส้ม หรือน้ำมะนาวทั้งเปลือก บางวัน ให้สารโมโนเทอร์ปีน ลดการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง องุ่นบางวันเคี้ยวเมล็ดด้วยให้สารซาโปนินทำลายดีเอ็นเอของมะเร็ง ลำไยดำที่อบทั้งผล ให้สารเอลลาจิกและนมเปี้ยวหรือโยเกิสต์บ้าง ให้แลคโตบาซีลัส ช่วยกำจัดมะเร็งล่ามไปที่ลำไส้เล็ก กินมะม่วงดิบและผักใบสีเขียวเข้มให้วิตามินอีต้านสารก่อมะเร็ง เกสรผึ้งวันละ 1 ช้อนชาให้กรดแอสพาร์ติกทำให้สดชื่น เซซามอนบางมื้อ 1-2 เม็ด ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอก

11. อาหารที่ต้องงด เนื้อสัตว์ และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ อาหารใส่ภาชนะพลาสติก ปนเปื้อนน้ำยาล้างจาน และยากำจัดแมลง เพราะว่าให้สารที่มีรูปร่างคล้ายฮอร์โมนเพศ แต่เป็นพิษและเป็นสาเหตุหลักของมะเร็งเต้านม และงดอาหารผัด ย่าง และปิ้ง ที่ใช้ไฟแรงสูง ซึ่งให้น้ำมันเสียจะเป็นอันตรายต่อตับ หัวใจ และหลอดเลือด ซึ่งอาจทำให้มะเร็งบุกเข้ามาได้ง่าย และงดแอลกอฮอเพราะว่าทำให้เกิดการอักเสบเพิ่ม

12. อย่ากินอาหารหลัง 19.00 น เพราะว่ารบกวนการนอน
13. อย่าทำงานในตอนกลางคืน เพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อน
14. ก่อนนอนให้ทำสมาธิ 20 นาที เพื่อให้สารเมลาโทนิน และใช้สมาธิกำหนดให้สารดังกล่าวเดินทางไปทำลายมะเร็ง

15. การให้กำลังใจกับตัวเองด้วยความสงบและออกกำลังกายจะทำให้ร่างกายสร้างสารเอ็นโดฟิลที่ให้ความสุขและต้านมะเร็ง ในทางตรงข้ามหากกลัวกังวลทำให้ร่างกายสร้างสารคอร์จินอลที่ก่อมะเร็งเพิ่มและทำให้อักเสบ

16. นอนหลับในสนิท ให้เป็นตามเวลาของโลก อย่าอดนอน ก่อนนอนกินถั่งเช่า 1 แคปซูล สารคอรปไรเซปทำให้นอนหลับสนิท และเซลล์แข็งแรงพร้อมที่ต้านการบุกทำลายของมะเร็ง (หากแพ้ต้องงด) นอกจากนั้นพบว่าทำให้เซลล์เม็ดเลือดแข็งแรง และภูมิกันที่แข็งแรงพร้อมที่จะทำให้เยื่อหุ้มของเซลล์มะเร็งเป็นรูและตาย การนอนที่ดีพบว่าควรปิดไฟให้สนิท ห้ามนอนในที่มีแสง นอนหน้าทีวี แสงเหล่านี้กระตุ้นสารก่อมะเร็งให้ทำงาน และควรปิดโทรศัพท์มือถือหรือเก็บไว้นอกห้องนอน คลื่นโทรศัพท์ก็เป็นตัวกระตุ้นเช่นกัน

17. บ้านที่อยู่อาศัย ควรอยู่ห่างจากเสาไฟแรงสูง เพราะว่าคลื่นไฟฟ้าเหล่านี้กระตุ้นการทำงานสารก่อมะเร็ง หากเลี่ยงไม่ได้พยายามปลูกต้นไผ่บังไว้
18. งดเครื่องไดผม เครื่องปิ้งขนมปัง ที่ใช้ใยแก้วที่เป็นสาเหตุของมะเร็งปอด หรือเปลี่ยนฝ้า กระเบื้อง หรือหินอัคนีที่ใช้สร้างบ้านที่มีไยแก้วมาก
19. งดอาหารเสริมที่ผ่านการสกัดให้เป็นอนุมูลที่เล็กจัดจนเป็นสารก่อมะเร็ง


https://www.facebook.com/pornchai.yadahoney/posts/1595617100508694

สารสกัดเมล็ดองุ่นผสมมัลเบอร์รี สูตรอาหารเสริมโดดเด่น สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน

ผู้ที่มีน้ำตาลในเลือดสูงเป็นระยะเวลานาน จะมีหลอดเลือดทั่วร่างกายที่แข็ง เปราะ หงิก งอ ทำให้ ผู้ป่วยเบาหวาน เป็นผู้ป่วยที่มีอัตราเสี่ยงสูงสุดต่อภาวะเส้นเลือดในสมองตีบ หรือแตก รวมทั้งมีอัตราเสี่ยงสูงสุดต่อการเกิดภาวะไตวาย และนำมาซึ่งโรคแทรกซ้อนอื่นๆ เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ กระจกตาเสื่อม จอประสาทตาเสื่อม และต้อกระจก

สารสกัดจากเมล็ดองุ่น มีสารสำคัญ ชื่อ OPC (Oligomeric Proanthocyanidine) ซึ่งมีคุณสมบัติสำคัญ ช่วยลดภาวะเลือดหนืดในผู้ป่วยเบาหวาน ทำให้หลอดเลือดทั่วร่างกายแข็งแรงขึ้น และยืดหยุ่นมากขึ้น ช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่างๆของโรคเบาหวานได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการป้องกันเส้นเลือดในสมองแตก โรคของหัวใจ และหลอดเลือด โรคไต และภาวะความดันโลหิตสูงในเบาหวาน

นอกจากนี้ สาร OPC ยังช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน ทั้งประเภทที่พึ่งอินซูลิน และประเภทที่ไม่ต้องพึ่งอินซูลิน และยังช่วยป้องกันการเกิดตาบอดในเบาหวาน เนื่องจากสาร OPC ช่วยฟื้นฟูผนังหลอดเลือด ยับยั้งการรั่วซึม และฟื้นฟูสภาพกระจกตาที่เสื่อม ยับยั้งภาวะจอตาเสื่อม และต้อกระจก ในผู้ป่วยเบาหวาน

ผลมัลเบอร์รี่ หรือ ผลลูกหม่อน มีสารออกฤทธิ์กลุ่มแอนโทไซยานิน (Anthocyanins) ชื่อ Cyanidin 3-rutinoside และ Cyanidin 3-glucoside (C3G) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระประสิทธิภาพสูง มีงานวิจัย ทั้งในสัตว์ทดลอง และในมนุษย์ โดดเด่นในเรื่องการป้องกัน และการร่วมบำบัดจอประสาทตาเสื่อม ทำให้สายตามองเห็นในเวลากลางคืนดีขึ้น รวมทั้งโรคทางสายตา และการมองเห็นอื่นๆ เช่น ภาวะเบาหวานขึ้นจอประสาทตา ภาวะที่ไม่สามารถมองในที่มีแสงสลัว หรือเวลากลางคืน ต้อหิน และต้อกระจก และยังทำให้หลอดเลือดแข็งแรง ป้องกันการรั่วซึมของหลอดเลือด ทำให้อาการจอประสาทตาเสื่อมดีขึ้น

C3G จากผลลูกหม่อน มีกลไกทำให้เซลล์ร่างกายไวต่ออินซูลินมากขึ้น โดยที่ตับอ่อนไม่ได้ทำงานหนักขึ้น และยังมีฤทธิ์ทำให้ผนังหลอดเลือดแข็งแรง และยืดหยุ่นมากขึ้น และยังมีฤทธิ์ต้านมะเร็ง โดยการกระตุ้นการฆ่าตัวตาย (Apoptosis) ของเซลล์มะเร็งหลายชนิด และยังป้องกันการเกิดเบต้า อะมิลอยด์ พลัค (Beta Amyloid Plague) ในสมอง สาเหตุสำคัญของโรคอัลไซเมอร์ ซึ่งพบมากในผู้ป่วยเบาหวานอีกด้วย

กระเทียมดำนั้นดีกว่ากระเทียมสดถึง 13 เท่า ทั้งนี้สารอาหารที่เคยอยู่ในกระเทียมขาวนั้นยังอยู่เช่นเดิม แต่กลิ่นฉุนและเผ็ดร้อนของกระเทียมสดได้แปรเปลี่ยนเป็นสารประกอบที่มีความเสถียรขึ้น นั่นคือ

-สาร S-allycysteine (SAC) ในกระเทียมดำ ซึ่งมีคุณสมบัติในการต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดคอเลสเตอรอล (LDL) ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ ช่วยให้อาการของโรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis) ดีขึ้นได้

-สาร S-allyl melcaptocystein (SAMC) ในกระเทียมดำซึ่งมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันมะเร็ง

-สาร Y-Aminobutyric acid (GABA) ในกระเทียมดำซึ่งเป็นสารประกอบอินทรีย์ชนิดหนึ่งที่ทำหน้าที่ในระบบประสาทของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม มีคุณสมบัติบำรุงสมอง และป้องกันโรคความผิดปกติของระบบประสาทลดความเสี่ยงของโรคที่มีการทำลายของเซลล์ประสาทในสมอง (neurodegenerative damage) เช่น อัลไซเมอร์ และพาร์กินสัน

สาร SAC (s-allylcycteine) ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกายเป็นอย่างมาก เช่น ช่วยยับยั้งการสังเคราะห์คอเลสเตอรอล (LDL)

กระเทียมดำมีกรดอะมิโน18 ชนิด โปรตีน เอนไซม์ SOD และจากงานวิจัยพบว่าสีดำที่เกิดขึ้นคือสารแอนโทไซยานิน (anthocyanins) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) สารฟลาโวนอยด์ชนิดนี้มีสูงมากในกระเทียมดำ และมีค่าต้านอนุมูลอิสระสูงกว่ากระเทียมสด 2 เท่า จึงช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ ช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและเส้นเลือดอุดตันในสมอง ด้วยการยับยั้งไม่ให้เลือดจับตัวเป็นก้อน ชะลอความเสื่อมของดวงตา ช่วยยับยั้งจุลินทรีย์ก่อโรค (pathogen) ในระบบทางเดินอาหาร ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคท้องร่วงและอาหารเป็นพิษด้วย

กระเทียมดำไม่ระคายเคืองต่อระบบการย่อยอาหาร สามารถนำกระเทียมดำมาปรุงอาหารได้ตามปกติเช่นเดียวกับกระเทียมสด แต่จะปราศจากกลิ่นฉุนและรสชาติเผ็ดร้อนของกระเทียม จึงช่วยให้การรับประทานกระเทียมง่ายขึ้นและได้รสชาติที่ดีขึ้น

http://www.naewna.com/sport/316941

อ่านเพิ่มเติม
Black garlic: A critical review of its production, bioactivity, and application
https://www.sciencedirect.com/science/article/pii/S1021949816301727

วิธีทำกระเทียมดำ Black Garlic - Pantip
https://pantip.com/topic/34561487

"สารพัดประโยชน์ของข้าวโพดสีม่วง"
ข้าวโพดสีม่วงถูกพัฒนาสายพันธุ์มาจากข้าวโพดสีม่วงผสมกับข้าวโพดข้าวเหนียว โดยในข้าวโพดสีม่วงยังพบ "สารแอนโทไซยานิน" ซึ่งมีคุณสมบัติในการต่อต้านสารอนุมูลอิสระระดับสูง ช่วยลดอัตราการเกิดโรคมะเร็ง (ชนิดเนื้องอก) ช่วยเสริมสร้างการทำงานของเม็ดเลือดแดง ลดการเกิดไขมันอุดตันในหลอดเลือด ควบคุมระดับน้ำตาล ช่วยชะลอความแก่ชราและความเสื่อมสภาพของดวงตา รวมถึงยังสามารถลดอัตราการเกิดโรคหัวใจได้อีกด้วย

From the album: Timeline Photos
By สำรวจโลก
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=10151325164872226&set=a.478177772225.261896.146609607225 
Photo

มารู้จักกับผลไม้ตระกูล เบอร์รี่ ของไทยกันคะ

"ประโยชน์ดีๆ จากเบอร์รี่ไทย"

หากพูดถึง “ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่” เพื่อนๆ จะนึกถึงผลไม้ชนิดใดเป็นอันดับแรกๆคะ สตรอเบอร์รี่ บูลเบอร์รี่หรือราสเบอร์รี่ ที่ส่วนใหญ่จะต้องนำเข้าจากต่างประเทศ แต่ที่จริงแล้วบ้านเราก็มีเบอร์รี่แบบไทยๆ ที่มากด้วยประโยชน์ไม่แพ้ผลไม้นำเข้า แถมยังราคาถูก แล้วบางทีอาจจะหาได้ง่ายใกล้ตัวมากกว่าอีกด้วย งั้นมาดูกันค่ะว่าเรานำเบอร์รี่แบบไทยๆชนิดไหนมากฝากเพื่อนๆ กันบ้าง

1. "ลูกหม่อน"
ลูกหม่อนหรือจะเรียกเก๋ๆ อีกชื่อว่า “มัลเบอร์รี่” รูปทรงเรียวยาวผลที่ยังไม่แก่จัดมีสีแดง รสชาติเปรี้ยว เมื่อสุกจะมีสีแดงเข้มจนดำ รสหวาน จัดเป็นสุดยอดเบอร์รี่ก็ว่าได้เพราะลูกหม่อน 100 กรัม มีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าบลูเบอร์รี่ 2-3 เท่า และจากงานวิจัยพบว่าสารสกัดจากลูกหม่อนสามารถช่วยควบคุมความหิว ควบคุมน้ำหนักได้อีกด้วย

2. "มะยม" แค่ได้ยินชื่อน้ำลายก็สอกันแล้วใช่ไหมคะ มะยมรสเปรี้ยวๆ หวานๆ อมฝาดนิดๆ อุดมไปด้วยวิตามินซี และสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยชะลอวัย และความเสื่อมของเซลล์ต่างๆ ในร่างกายได้ ช่วยให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติและลดการสะสมของเสียในร่างกาย

3. "มะขามป้อม" สมุนไพรหรือผลไม้เพื่อสุขภาพ มีรสฝาดอมเปรี้ยวแต่เมื่อดื่มน้ำตามจะชุ่มคอ แก้กระหาย สรรพคุณที่เด่นชัดของมะขามป้อมคือมีวิตามินซีสูงมาก โดยมะขามป้อม 1 ผล จะมีปริมาณวิตามินซีเท่ากับส้ม 1-2 ผลเลยทีเดียว และมีแร่ธาตุอีกหลายชนิดที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก เป็นต้น ถึงแม้ว่าผลสดจะทานยากเนื่องจากมีรสฝาด วิธีการทานให้อร่อยขึ้นด้วยการผ่าเอาแต่เนื้อมะขามป้อม ปรุงรสด้วยน้ำตาลทราย เกลือและพริกป่น แค่นี้ก็อร่อยลืมเลยล่ะค่ะ

4. "เชอร์รี่ไทย" ผลไม้ลูกเล็กๆ สีแดงสดสวย มีรสชาติ และกลิ่นที่เฉพาะตัวแบบไทยๆ อุดมไปด้วยวิตามินซี วิตามินเอ เบต้าแคโรทีน ไลโคปีน และยังมีสารสำคัญในกลุ่มแอนโทไซยานินซึ่งช่วยลดอาการอักเสบและเจ็บปวดกล้ามเนื้อได้ ช่วยบรรเทาอาการซึมเศร้าได้ ถ้ากินเป็นประจำจะทำให้อารมณ์ดีและกระปรี้กระเปร่า

5. "ลูกหว้า"
ลูกหว้า ผลไม้ที่ได้ยินชื่อบ่อยๆแต่หาทานได้ยาก มีรสชาติออกเปรี้ยวหวานอมฝาดเล็กน้อย ผลสุกจะมีสีม่วงเข้มจนถึงดำคล้ายองุ่น เห็นลูกเล็กๆ แบบนี้แต่มีสารต้านอนุมูลอิสระช่วยชะลอวัย ธาตุเหล็กเสริมสร้างกระดูกและฟัน และช่วยลดอัตราความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจได้ด้วย

6. "ตะขบ"
ตะขบลูกเล็กๆ รสหวานหอม มีใยอาหารสูงช่วยดูดซับคอเลสเตอรอล ลดความเสี่ยงการเป็นมะเร็งและเส้นเลือดอุดตัน พร้อมแร่ธาตุจัดเต็มอย่างโพแทสเซียม แคลเซียม ฟอสฟอรัสที่ช่วยบำรุงกระดูก ตะขบยังมีสารสีแดงอย่างสารไลโคปีน ที่มีอยู่ในมะเขือเทศช่วยต้านอนุมูลอิสระ ปกป้องและชะลอความเสื่อมของเซลล์ไม่ให้แก่เร็ว

7. "มะเม่าหรือหมากเม่า" ผลไม้พื้นบ้านพบมากทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ผลเล็กๆ เกาะกันเป็นพวงคล้ายพวงองุ่น สีแดงสดเมื่อสุกจะแดงเข้มจนดำ นิยมนำมาแปรรูปเป็นน้ำผลไม้ ไวน์และแยม มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงเช่นเดียวกับเบอร์รี่ทั้งหลาย แต่พิเศษตรงที่มีธาตุเหล็กสูงจึงใช้ผลไม้ชนิดนี้ในการรักษาภาวะโลหิตจางและบำรุงเลือดได้ด้วย มีประโยชน์ต่อสุขภาพผู้หญิงอย่างเราๆ มากเลยทีเดียวค่ะ

8. "มะเกี๋ยง" ผลไม้พื้นบ้านทางภาคเหนือ ลักษณะคล้ายลูกหว้าแต่มีขนาดเล็กกว่า มีสีม่วงออกแดง รสเปรี้ยว นอกจากมีวิตามินซีสูงแล้วยังมีสารประกอบฟีนอลิกที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระที่กระตุ้นให้เกิดเซลล์มะเร็ง บำรุงประสาทและช่วยในการดูดซึมวิตามินบี 12

9. "โทงเทงฝรั่ง"
เป็นพืชจำพวกหญ้าจัดเป็นพืชตระกูลมะเขือ พริก มีชื่อเรียกแตกต่างกันในแต่ละท้องถิ่น เช่น บ่าตอมต๊อก (ภาคเหนือ), หญ้าเถาเถง (ภาคกลาง), ปุงปิง (ภาคใต้) ลักษณะเป็นลูกเล็กสีเหลืองสวยแปลกตา เพราะมีกลีบสีน้ำตาลหุ้มอยู่รอบผล มีรสเปรี้ยวอมหวานและกลิ่นหอม อุดมไปด้วยวิตามินซี ช่วยให้สายตาดี ผมสวย ผิวสวย มีวิตามินเอ วิตามินบี และสารแคโรทีนอยย์สูงป้องกันการเกิดเซลล์มะเร็ง และโรคหัวใจอีกด้วย นอกจากหน้าตาสวยแล้วประโยชน์ก็มีมากด้วย

ไม่ว่าจะเป็นผลไม้ไทยหรือต่างประเทศ ต่างก็มีประโยชน์ไม่แพ้กัน และจะให้ดีเลือกทานผลไม้แบบสดๆ ที่ปราศจากน้ำตาลจากการแปรรูปนั้นจะดีที่สุดค่ะ

Cr: dailynews , http://www.sharp-weeclub.com/blog/blog-detail.aspx?id=4&bid=271

เมื่อไม่กี่วันมานี้ในงาน FOOD EXPO ที่ AIRPORT คณะอก. มช. แสดงผลงานผลิตภัณฑ์แปรรูปจากลูกหม่อน น่าสนใจมาก

ลูกหม่อน : ลดเสี่ยงหลอดเลือดหัวใจ มะเร็ง
ผลสุกสีออกม่วงแดง รสชาติหวานอมเปรี้ยว มีสารต้านอนุมูลอิสระโพลีฟีนอล แอนโทไซยานิน และเรสเวอราทอล ช่วยลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจและมะเร็ง มีกรดไขมันที่จำเป็นต่อเยื่อหุ้มเซลล์ประสาทและสมอง ทำให้ความจำดีขึ้น สารสกัดจากลูกหม่อน ช่วยลดน้ำหนักได้ ใบหม่อนนำมาทำชา ช่วยลดความดันโลหิตสูง (เครดิตภาพ : mimt, egae41, ใบเลี้ยงเดี่ยว, Yood, TaMOR, keata)

https://www.facebook.com/folkdoctorthailand/photos/a.10150455862432028.419400.172425057027/10152784385322028/
Photo

5 สมุนไพรไทย...พิชิตความดันโลหิตสูง

โดย...รพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์

ปัจจุบันนี้ทั่วโลกมีผู้ที่มีความดันโลหิตสูงมากถึงพันล้านคน ซึ่งสองในสามของจำนวนนี้อยู่ในประเทศกำลังพัฒนา โดยประชากรวัยผู้ใหญ่ทั่วโลก 1 คน ใน 3 คนมีภาวะความดันโลหิตสูงและประชากรวัยผู้ใหญ่ในเขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็พบ มี 1 คน ใน 3 คน ที่มีภาวะความดันโลหิตสูงรวมถึงคนไทยที่อายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไปเป็นโรคความดันโลหิตสูงถึงร้อยละ 22 และได้คาดการณ์ว่าในปี พ.ศ. 2568 ประชากรวัยผู้ใหญ่ทั่วทั้งโลกจะป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูง 1.56 พันล้านคน ซึ่งโรคความดันโลหิตสูงเป็น 1 ในสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร

ในแต่ละปีประชากรวัยผู้ใหญ่ทั่วโลกเสียชีวิตจากโรคนี้ถึงเกือบ 8 ล้านคน ส่วนประชากรในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีผู้เสียชีวิตจากโรคความดันโลหิตสูงประมาณ 1.5 ล้านคน ซึ่งโรคความดันโลหิตสูงนี้ ยังเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต และโรคหัวใจอีกด้วย

ทางโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรได้แนะนำสมุนไพรไทยใกล้ตัวไว้ในหนังสือบันทึกของแผ่นดินหลายเล่ม ซึ่งที่มีผลช่วยลดอาการความดันโลหิตสูง วันนี้จึงได้รวบรวมสมุนไพรที่น่าสนใจ 6 ชนิด มานำเสนอดังนี้

“กระเจี๊ยบแดง” ความโดดเด่นของกระเจี๊ยบ คือ ไม่ว่ากระเจี๊ยบแดงจะงอกงาม ณ ประเทศไหน คนในประเทศนั้นจะมีการใช้กระเจี๊ยบแดงที่เหมือนกัน คือ ใช้เป็นยาลดความดันโลหิต เป็นยาขับปัสสาวะ และยังเชื่อว่ากระเจี๊ยบแดงมีสรรพคุณในการบำรุงไต และหัวใจ

จากการทดลองในสัตว์และมนุษย์ พบว่า กระเจี๊ยบแดงสามารถลดความดันโลหิต ขับปัสสาวะ ขับยูริค รวมทั้งลดการอักเสบของระบบทางเดินปัสสาวะภายหลังการผ่าตัดในไตได้ นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่าการดื่มชากระเจี๊ยบวันละ 2 - 3 ครั้ง สามารถลดความดันโลหิต diastolic ลงตั้งแต่ร้อยละ 7.2 ถึง 13 เลยทีเดียว ดังนั้น ชากระเจี๊ยบจึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ป่วยความดันโลหิตสูง

นักวิทยาศาสตร์วิจัยพบว่า การที่กระเจี๊ยบแดงสามารถลดความดันโลหิตได้ เนื่องมาจากสาร “แอนโธไซยานิน” (anthocyanins) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และสร้างความแข็งแรงให้กับหลอดเลือดนั่นเอง

“คึ่นไฉ่” ชาวเอเชีย นิยมใช้คึ่นไฉ่เป็นยาลดความดันโลหิตมากว่า 2000 ปีแล้ว ชาวจีน ชาวเวียดนามแนะนำให้รับประทานคึ่นไฉ่วันละ 4 ต้น เพื่อรักษาความดันให้เป็นปกติ แพทย์อายุรเวทในอินเดียจะสั่งจ่ายเมล็ดคึ่นไฉ่เพื่อขับปัสสาวะสำหรับผู้ป่วยที่บวมน้ำ

ปัจจุบันมีการศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาพบว่า คึ่นไฉ่มีฤทธิ์ลดความดันโลหิต ขับปัสสาวะ ลดบวม คุมกำเนิด ลดจำนวนอสุจิ ลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดคอเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ ยับยั้งการเกิดมะเร็ง ยับบั้งเนื้องอก ต้านการอักเสบ ทำให้กล้ามเนื้อเรียบคลายตัว ขับระดู เป็นต้น

“บัวบก” เป็นพืชสมุนไพรที่มีประโยชน์ต่อผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง เนื่องจากบัวบกทำให้การไหลเวียนของเลือดทั้งในหลอดเลือดดำและเส้นเลือดฝอยมีการไหลเวียนดีขึ้น มีคุณสมบัติขยายหลอดเลือด ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดี จึงสามารถลดความดันโลหิตได้

ทั้งนี้ มีรายงานการวิจัยที่สนับสนุนว่า สารสกัดเอทานอลจากต้นบัวบก มีฤทธิ์ลดความดันโลหิตในหนูข่าวเมื่อให้ทางหลอดเลือดดำ น้ำคั้นจากต้น และสารสกัดด้วยน้ำมีฤทธิ์ลดความดันโลหิตในหนูขาวและสุนัข บัวบกยังทำให้หลอดเลือดดำและเส้นเลือดฝอยแข็งแรงขึ้น ซึ่งจะมีประโยชน์ต่อคนที่มีปัญหาเส้นเลือดขอดและคนที่เป็นริดสีดวงทวาร นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ต่อระบบประสาท ทำให้การเรียนรู้ดีขึ้น มีฤทธิ์คลายความเครียด ซึ่งฤทธิ์คลายความเครียดนี้เป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยความดันโลหิตสูงด้วย

“คาวตอง หรือพลูคาว” หมอยาทั่วไป ทั้งอีสาน ภาคเหนือ หรือไทยใหญ่มีความเชื่อว่าการกินคาวตองสดๆ กับน้ำพริก ลู่ ลาบ หรือใช้รากต้มกับปลาไหล รากตำเป็นน้ำพริกกินจะเป็นยารักษาโรคได้ เช่น ช่วยรักษาความดันโลหิตสูง ริดสีดวงทวาร แผลในกะเพาะอาหาร

พลูคาว นับเป็นผักสมุนไพรที่มีการศึกษาวิจัยและจดสิทธิบัตรมากตัวหนึ่ง ซึ่งจากการวิจัยทั้งในและต่างประเทศ ต่างพบฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของพลูคาวเช่นเดียวกับการใช้ประโยชน์ของหมอยาพื้นบ้าน ในประเทศเกาหลีก็ได้มีการใช้พลูคาวเป็นยาลดความดันโลหิตสูง ภาวะหลอดเลือดแข็งตัวเนื่องจากมีการสะสมของไขมัน (atherosclerosis) และมะเร็งอีกด้วย

“มะรุม” นับเป็นอาหารสุขภาพที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงมากที่สุด โดยจากประสบการณ์การใช้ของชาวบ้านทั้งในไทยและต่างประเทศ และการศึกษาทางเภสัชวิทยา พบว่า ส่วนของใบและรากของมะรุม มีฤทธิ์ในการลดความดันโลหิตได้ รวมทั้งพบสารสำคัญที่ออกฤทธิ์ลดความดันโลหิต เช่น niazinin A, niazinin B, niazimicin และ niaziminin A and B

สำหรับตำรับยาแก้ความดันโลหิตสูง ซี่งต้องกินอย่างต่อเนื่อง เช่น

ตำรับที่ 1 นำรากมาต้มกินเป็นซุป

ตำรับที่ 2 นำยอดมาต้มกิน

ตำรับที่ 3 นำยอดอุ๊ปใส่เนื้อวัวกิน ซึ่งต้องเป็นเนื้อวัวเท่านั้น

ตำรับที่ 4 นำรากมะรุมต้มกับรากย่านางกิน

ตำรับที่ 5 ใช้ยอดมะรุมสด โดยจะเป็นยอดอ่อนหรือยอดแก่ก็ได้ นำมาโขลกคั้นเอาน้ำ (ถ้าไม่มีน้ำให้เติมน้ำลงไปพอให้เหลวข้น) ผสมน้ำผึ้งพอหวาน กินวันละ 2 ครั้ง ครั้งละครึ่งแก้ว ยานี้จะช่วยลดความดัน เมื่อหยุดกินยาความดันโลหิตก็เพิ่มขึ้นมาอีก จึงต้องกินอย่างต่อเนื่อง

ข่าวล่าสุด ในหมวด
แฉหมอเลือกปฏิบัติ ไม่ตรวจผู้ป่วยประกันสังคม หวั่นกระทบต้นทุน รพ.
“ระบบดูแลวัยใส” แนวคิดพยาบาล รพ.สต.โคกหล่าม ช่วยแก้ปัญหาคุณแม่วัยรุ่น
สปสช.ลั่นยินดีรับการตรวจสอบงบจาก ก.สาธารณสุข
ดื้อไม่ใส่รีเทนเนอร์ ทำฟันห่าง-ล้ม จัดฟันใหม่ เตือนทำหลายรอบเหงือกอักเสบ
วิตามินบี 1 ช่วยลดอาการลงแดงเลิกเหล้า ฟื้นตัวเร็วขึ้น


https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1646638005658303&set=gm.1746902328919398&type=3
Photo


(highheels)"เส้นเลือดขอด" ปัญหาหนักใจของสาวๆ

ปัญหาเส้นเลือดขอด (Varicose Veins) หรือ Spider Vein เป็นหนึ่งในปัญหาผิวพรรณที่ผู้หญิงกลุ้มใจและมีโอกาสเป็นมากกว่าผู้ชาย 3 เท่า! เส้นเลือดขอดมักเกิดตามผิวของขาตั้งแต่บริเวณตาตุ่มขึ้นไปจนถึงขาหนีบด้านในและน่อง และพบมากกับผู้ที่ต้องใช้ขารับน้ำหนักตัวมาก เช่น คนอ้วน หญิงตั้งครรภ์ คนที่ต้องยกของหนักเป็นประจำ หรือคนที่ต้องยืนนานๆ และบางคนก็เกิดจากกรรมพันธุ์ หรืออาจมีความผิดปกติของหลอดเลือดดำ-แดงที่ขาอักเสบอุดตัน ฯลฯ

(star)วิธีป้องกันการเกิดเส้นเลือดขอด(star)
1. ถ้าคุณเป็นคนอ้วนควรลดน้ำหนักเป็นอันดับแรก เพื่อลดแรงกดน้ำหนักลงที่เท้าและขา

2. หลีกเลี่ยงการยืน หรือการนั่งเฉยๆ หรือนั่งไขว้ขาเป็นเวลานาน เพราะจะทำให้กล้ามเนื้อไม่บีบตัวไล่เลือด และพยายามออกกำลังกายผ่อนคลายกล้ามเนื้อน่องและขา โดยการเขย่งปลายเท้าขึ้นและลง หรือการบีบและคลายนิ้วเท้าทุกครึ่งชั่วโมง และพอถึงช่วงที่ได้นั่งพัก ให้ถอดรองเท้าส้นสูงออก นั่งลงบนเก้าอี้ หลังตรงและยกขาขึ้นหนึ่งข้างให้สูงระดับสะโพกและหมุนข้อเท้าเป็นวงกลมไปมา จากนั้นให้งุ้มเท้าชี้ขึ้นและลง จากนั้นทำสลับอีกข้าง

3. หลีกเลี่ยงการใส่ถุงเท้ายาวหรือถุงน่องที่รัดเหนือเข่า ซึ่งทำให้ระบบหมุนเวียนเลือดไหลไม่สะดวก ในกรณีที่จำเป็นต้องสวมถุงเท้าหรือถุงน่อง ควรเลือกเนื้อผ้าที่มีความยืดหยุ่น และเลือกแบบที่ขอบถุงเท้าหรือถุงน่องรัดห่างใต้เข่าประมาณ 2 นิ้ว

4. รับประทานผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง และให้สารต้านอนุมูลอิสระแอนโธไซยานิน เช่น ส้ม ฝรั่ง แครนเบอร์รี เพราะช่วยทำให้ผนังหลอดเลือดฝอยแข็งแรง และทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตทำงานได้ดีขึ้น

ในกรณีที่เส้นเลือดขอดเห็นชัดมาก อาจต้องได้รับการรักษาด้วยการฉีดยาหรือผ่าตัด ทั้งนี้การรักษาเส้นเลือดขอดไม่ว่าจะวิธีใดก็ตาม ไม่สามารถรับประกันว่าจะไม่เกิดเส้นเลือดขอดใหม่ 100% และแพทย์อาจให้การรักษามากกว่า 1 วิธีร่วมกัน เพื่อประสิทธิภาพในการรักษาให้ได้ผลดีมากที่สุด และที่สำคัญบริเวณที่เป็นเส้นเลือดขอดมีอาการปวดหรือบวม คุณควรไปปรึกษาแพทย์ทันที
Photo





ด้วยความห่วงใย
.....................
BETTER PHARMACY เจ็ดยอด เชียงใหม่
เราคัดสรรสิ่งที่ดี มีคุณภาพ เพื่อคุณ

FACEBOOK / BetterPharmacyCMG
LINE ID - BETTERCM
.....................




UPDATE  -  2018.12.04

No comments:

Post a Comment