Tuesday, December 4, 2018

COLLAGEN


ยิ่งแก่ยิ่งเหี่ยว เห็นเลยถุงใต้ตาชัดมาก ทำไมหรั่งไม่รู้จักหา COLLAGEN มากินแก้เหี่ยวกันบ้างนะ

จากที่ได้อ่านๆมา คอลลาเจนในท้องตลาดตอนนี้มีอยู่ด้วยกัน 3 แบบ คือ
1.hydrolyzed collagen หรือ collagen hydrolysate เป็นคอลลาเจนที่ได้จากการย่อยเจลาติน มีขนาดโมเลกุล 3000-5000Da (ดาลตัน) ถือว่าใหญ่มาก ร่างกายยังใช้ไม่ได้ต้องไปย่อยต่อที่ตับ
ใน 1 วัน กินคอลลาเจนจากปลาไฮโดรไลซ์ได้ไม่เกิน 10 กรัม
2. Collagen peptides มีขนาดโมเลกุล 2,000Da
1 วันกินได้ไม่เกิน 3 กรัม
3. Collagen tripeptide (CTP) มีขนาดโมเลกุล 1,500Da
1 วันกินได้ไม่เกิน 3 กรัม

ล่าสุด มี Collagen Dipeptide ซึ่งมีขนาดโมเลกุลต่ำกว่า 300Da ที่ดูดซึมได้เร็วและดูดซึมได้มากกว่า CTP

สรุปคอลลาเจนที่มีประสิทธิภาพคือ คอลลาเจนไดเปปไทด์ ที่มีขนาดโมเลกุลเล็กกว่า 300 ดาลตัน แน่นอนว่า ราคาย่อมแพงกว่าคอลลาเจนชนิดอื่นๆ

ทีนี้ลองหยิบขวดอาหารเสริมขึ้นมาดูว่า เขาเขียนส่วนประกอบอะไรกันบ้าง

ยี่ห้อที่ 1 บอก เปปไทด์ คอลลาเจน 100 ฟิชคอลลาเจน
(คือ Collagen peptides ขนาด 100Da??? ไม่น่าจะใช่ )

ยี่ห้อที่ 2 บอก คอลลาเจนจากปลาไฮโดรไลซ์ 1000 มิลลิกรัม
(อันนี้เป็น hydrolyzed collagen ขนาดโมเลกุลใหญ่ กินวันละเม็ดน้อยเกินไป ต้องกินทีวันละ 10 เม็ด)

ยี่ห้อที่ 3 บอก คอลลาเจนจากปลาทะเลน้ำลึก 800 มิลลิกรัม
(น่าจะเป็นได้แค่ hydrolyzed collagen)

ยี่ห้อที่ 4 บอก คอลลาเจนแอคทีฟ 10000 มิลลิกรัม
(= Collagen peptides 10000mg อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมในเวบต่างประเทศ พบว่า มีขนาดโมเลกุลเฉลี่ย 2,000 Dalton ก็ยังไม่ใช่ CTP)

ยี่ห้อที่ 5 บอก คอลลาเจนจากปลา 82 มิลลิกรัม
(อันนี้น้อยมากๆ สงสัยต้องกินเป็นขวดๆกว่าจะได้ผล)
ยี่ห้อที่ 6 บอก MARINE COLLAGEN POWDER 10 มิลลิกรัม
ยี่ห้อที่ 7 บอก FISH COLLAGEN (HYDROLYZED) 100 มิลลิกรัม

จะเห็นว่าส่วนใหญ่จะเขียนแต่ว่าเป็นคอลลาเจนจากปลาทะเล ซึ่งเป็น hydrolyzed collagen อย่างหรูหน่อยก็คือ คอลลาเจน 10,000 ซึ่งก็เป็น Collagen peptides ส่วน CTP ยังไม่เห็นมีเจ้าไหน (ในร้าน) ส่วนบางยี่ห้อประกาศว่าเป็น Collagen Dipeptide แต่ราคาถูกชวนสงสัย

เวลาเลือกซื้อคอลลาเจน คงต้องค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อให้คุ้มค่ากับเงินที่เสียไปมากที่สุด

บอกต่ออีกนิดนึงว่า ปริมาณของอาหารเสริมที่กินก็มีความสำคัญ
อย่างเช่น กิน 1 เม็ด วันละครั้ง อาจจะเสียเงินเปล่า เพราะขนาดของอาหารเสริมที่กินไม่ถึงปริมาณที่มีผลออกฤทธิ์ที่ต้องการ แต่ถ้าเพิ่มเป็น 2 เม็ด เช้าค่่ำ กลับโป๊ะเชะ มันใช่เลย
ปริมาณของอาหารเสริมที่กินสำหรับแต่ละคนจึงไม่แน่นอน ไม่เหมือนกับยาที่บอกขนาดการกินอย่างชัดเจน

อีกเรื่องทึ่ทำให้คุณภาพของอาหารเสริมต่างกัน​ คือ​ ยี่ห้อ... สมมุติกินอาหารเสริมชนิดนี้เพื่อ​ (นึกในใจห้ามเอ่ย​ เพราะ​ THAI​ FDA.​ห้ามเด็ดขาด.. อิอิ) สมมุติกินอาหารเสริมยี่ห้อ​ A เพื่อ​.... ปรากฏว่าแพงเว่อร์แต่กินอาทิตย์ละครั้งก็คุมอาการดังกล่าว​ได้​ แต่ต่อมาทนความแพงไม่ไหวลองเปลี่ยนเป็นยี่ห้อ​ B​ ดู​ ก็ยัง​ OK.อยู่​ แต่ต้องกินบ่อยครั้งกว่าเดิม​ คราวนี้กินไปกินมาเริ่มเบื่อ​ เห็นยี่ห้อ​ C.ก็มีแต่ถูกเว่อร์​ ลองกินดู​ ปรากฏ​ว่า​ กิน​ยังไง​ก็ไม่สามารถคุมอาการดังกล่าวได้​ แถมยังต้องกินบ่อยๆเปลืองตังค์​ในกระเป๋ามากมาย​ จนได้ข้อสรุปในใจว่า​ อาหารเสริมยี่ห้อ​ A.กับ​ B.​เท่านั้นที่เป็นยี่ห้อในดวงใจ​ ส่วน​ C​ ถูกก็จริงแต่ไม่เห็นผล

นอกจากนี้ก็ยังมีเรื่องส่วนประกอบของอาหารเสริม​ เช่นคอลลาเจนถ้ามีวิตะมินซีจะเสริมฤทธิ์​ หรือแม้กระทั่งเวลาที่กินเช่นควรกินคอลลาเจนก่อนนอนเพื่อให้มันทำงานในขณะหลับ
PhotoPhotoPhoto
01/12/2018
3 Photos - View album

เถาวัลย์เปรียง...กินแล้วฝ้าจาง จริงหรือ ?
สมุนไพรอะไรใช้แก้ปวดครับ คุณหมอแผนปัจจุบันท่านหนึ่งเอ่ยถามเข้ามาในไลน์กลุ่มองค์กร
พี่ต้อม (ภญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร : ผู้บุกเบิกสมุนไพรอภัยภูเบศร) ตอบกลับไปว่า "เถาวัลย์เปรียง" มีความลับจะบอกอีกอย่าง ตัวนี้กินแล้วฝ้าจาง ฉันหูผึ่งขึ้นมาทันที อะไรไม่เชื่อ ใช้แก้ปวด จะมาแก้ฝ้าได้จริงหรอ วันรุ่งขึ้นจึงไลน์ส่วนตัวไปถามพี่ต้อม ว่าจริงหรอคะ พี่ต้อมตอบกลับมาว่า “……แม่พี่กินฝ้าหายไปชัดเจนเลย ให้แม่ต้มกินแก้ปวดเมื่อย พี่บอกนักธุรกิจคนหนึ่งเขาเอาไปให้ คนงานเขาลองใช้กลุ่มหนึ่งพบว่าดีขึ้น….”
พอมาถามพี่ท่านหนึ่งที่อยู่หน้าร้านอภัยภูเบศร มานานก็ให้ข้อมูลตรงกันว่า มีลูกค้าท่านหนึ่งทานเถาวัลย์เปรียงเพื่อแก้ปวดเมื่อย ทานไปซักประมาณ 1 เดือน ฝ้าจางเลย
จึงไปค้นข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์ พวกงานวิจัย ปรากฏว่าเจอต่างประเทศจดสิทธิบัตรไปแล้วจ้า ช่วยทำให้ผิวขาวได้จริงๆ ลดการสร้างเม็ดสีผิว และช่วยเรื่องริ้วรอยด้วย อีกอย่างเถาวัลย์เปรียงมีสารไฟโตเอสโตรเจนอ่อนๆ (ฮอร์โมนเพศหญิงจากธรรมชาติ)
อันนี้เอาความลับมาบอกแฟนเพจ เพราะอยากให้คนไทยรู้ว่าสมุนไพรไทยมีอะไรดีๆเยอะแยะในตัวของมันเอง ไม่ได้มาเชียร์ให้ไปซื้อมากินกัน เพราะข้อมูลความปลอดภัยในทางคลินิกส่วนใหญ่ศึกษาการใช้เพียง 1 เดือน พบว่าปลอดภัย และเป็นการใช้ที่ยืนยันในเรื่องแก้ปวดนั้น ประสิทธิภาพดีจริงเทียบเท่ายาแผนปัจจุบันอย่าง Ibuprofen, Naproxen, Diclofenac เป็นยาที่อยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ ข้อห้ามใช้ : ห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์
ข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อใครอยากรู้รายละเอียดเชิงลึก แปลมาให้แล้ว
ข้อมูลจากสิทธิบัตร หมายเลขการตีพิมพ์ US8772252 B2
พบกลไกของสารสกัดเถาวัลย์เปรียง มีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน และโปรโมทผิวให้ขาวกระจ่างใส โดยมีการใช้ในส่วนผสมของยา หรือเครื่องสำอาง เพื่อรักษาฝ้า กระ จุดด่างดำ หรือสีผิวไม่สม่ำเสมอ
ล่าสุดในปี ค.ศ.2012 บริษัทเครื่องสำอางเอวอน ได้จดสิทธิบัตร หมายเลขการตีพิมพ์ EP2506829 A1 ในการนำเถาวัลย์เปรียงมาใช้ในส่วนผสมของเครื่องสำอางทาผิว โดยพบว่านอกจากจะทำให้ผิวขาวแล้ว ยังช่วยลดริ้วรอย จากกลไกการกระตุ้น LOXL-1 ยับยั้ง calcineurin (มียาในกลุ่ม Topical calcineurin inhibitors ที่มีประสิทธิภาพดีในการรักษาภูมิแพ้ผิวหนัง หรือผิวหนังอักเสบ แต่มีอาการข้างเคียงน้อยกว่ายาในกลุ่มสเตียรอยด์ แต่ก็มีราคาสูงมาก) กระตุ้นการสร้างไกลโคสะมิโนไกลแคน (glycosaminoglycan) หรือ มิวโคโพลีแซ็กคาไรด์ (mucopolysaccharide) มีหน้าที่ทำให้ผิวหนังชั้นหนังแท้มีความชุ่มชื้นเพราะมีความสามารถในการดูดความชื้นสูง เช่น hyaluronic acid ไกลโคสะมิโนไกลแคนที่ลดลง ส่งผลให้ความยืดหยุ่นของผิวลดลง เกิดริ้วรอย ผิวหยาบกร้าน เกิดความแก่ของผิวหนัง
จากการจดสิทธิบัตรของเอวอน พบว่าเถาวัลย์เปรียงมีฤทธิ์ต่อผิวหนังดังนี้
(a) treatment, reduction, and/or prevention of fine lines or wrinkles -- รักษา/ลดริ้วรอย
(b) reduction of skin pore size – ลดขนาดรูขุมขน
(c) improvement in skin thickness, plumpness, and/or tautness; -- ทำให้ชั้นผิวแข็งแรง (เมื่อแก่ลง ผิวจะบางลง)
(d) improvement in skin suppleness and/or softness; -- ทำให้ผิวนุ่ม อวบอิ่ม
(e) improvement in skin tone, radiance, and/or clarity;-- ทำให้ผิวขาว สีผิวสม่ำเสมอ
(0 improvement in procollagen and/or collagen production; (8) improvement in maintenance and remodeling of elastin; (n) improvement in skin texture and/or promotion of retexturization; (0 improvement in skin barrier repair and/or function; -- ทำให้คอลลาเจนใต้ผิวมากขึ้น ชั้นผิวแข็งแรง
0) improvement in appearance of skin contours; -- ปรับปรุงรูปลักษณ์ของผิว
(k) restoration of skin luster and/or brightness; -- ทำให้ผิวสว่าง กระจ่างใส
ตอนนี้ข้อบ่งใช้หลักคือ แก้ปวดลดอักเสบนะคะ รับประทานครั้งละ 1-2 แคปซูล หลังอาหาร 3 มื้อ เวลามีอาการปวด ไม่ควรทานติดต่อกันเกิน 1 เดือน ส่วนเรื่องฝ้าเป็นเพียงการพบข้อมูลเบื้องต้นเท่านั้นนะคะ
หัวหอมมีซัลเฟอร์ จึงช่วยเพิ่มการสร้างคอลลาเจน ป้องกันผมร่วง

อาหารอื่นๆที่มีซัลเฟอร์ ก็อย่างเช่น กระเทียม น้ำมะพร้าว น้ำมันมะพร้าว กะทิ บรอคโคลี่ กะหล่ำปลี นม ผลไม้แห้ง ไข่

onion juice may help prevent hair loss and promote hair growth. Onions work because they are rich in sulfur. By increasing your intake of sulfur, you give your body a chance to produce collagen, which is essential for the production of new hair.


คอลลาเจน - กลูต้า...ดีจริงหรือแค่กระแส ?
เอกราช บำรุงพืชน์

http://www.superbhealthy.com//index.php/แหล่งความรู้/84-คอลลาเจน-กลูต้า-ดีจริงหรือแค่กระแส
http://www.superbhealthy.com/images/Resources/collagen.jpg
Photo
Add a comment...
คำแนะนำเกี่ยวกับการกินคอลลาเจน

ตามคำแนะนำขององค์การอาหารและยาแนะนำว่าผู้ที่ต้องการกินคอลลาเจนเสริม สามารถกินเป็นอาหารเสริมได้ 5,000-7,000 มิลลิกรัม/วัน แต่ไม่ควรเกิน 10,000 มิลลิกรัม/วัน เพราะจะทำให้เกิดอันตรายได้
ควรเลือกกินที่เป็นคอลลาเจนสายสั้น (Hydrolyzed collagen)เพราะจะทำให้ร่างกายดูดซึมได้ดีกว่าคอลลาเจนสายยาว โดยสังเกตที่ข้างกล่องผลิตภัณฑ์ตอนซื้อ
ควรกินตอนท้องว่างแล้วดื่มน้ำตามมาก ๆ หรือกินควบคู่กับวิตามินซี เพื่อการดูดซึมที่ดี


https://med.mahidol.ac.th/ramachannel/home/article/%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%99-%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%9A%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B8%9C%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0/

7 วิธีกินคอลาเจน กินแล้วจะได้ผลดีขึ้นหลายเท่า

By Collagen Peptide
์มิถุนายน 13, 2018

                คอลลาเจน เป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่กำลังเป็นที่นิยมมากที่สุดในตอนนี้ และทำให้หลายคนทันมาสนใจการทานคอลลาเจนมากขึ้น แต่น้อยคนที่จะรู้วิธีการกินคอลลาเจนให้ได้ผลดี ซึ่งวันนี้เราอยากมาแนะนำวิธีการกินคอลลาเจนให้ได้ผลดีขึ้นหลายเท่า ว่าต้องทานแบบไหน ทานตอนไหนถึงจะดีที่สุด


1.กินคอลลาเจนกับวิตามินซี

                ด้วยคุณสมบัติของวิตามินซี ที่ช่วยในการกระตุ้นสร้างสิ่งต่างๆ ในร่ายกาย โดยเฉพาะการช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในส่วยเซลล์ใต้ชั้นผิวหนัง ช่วยให้ร่างกายดูซึมคอลลาเจนได้ดีมากขึ้น นอกจากนี้แล้วยังช่วยนำกรดอะมิโนที่ย่อยสลายจากคอลลาเจน ให้ถูกนำกลับมาใช้ใหม่อีกครั้ง เพราะฉนั้นเวลาเราทานคอลาเจน หากทานคู่กับวิตามินซี จะได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น

ในปัจจุบันนี้มีผลิตภัณฑ์อาหารเสริมวิตามินจำนวนมาก ซึ่งหาซื้อตามท้องตลาดได้ หรือใครที่อยากได้แบบธรรมชาติ ก็สามารถทานผักผลไม้ที่อัดแน่นไปด้วยวิตามินซีได้เช่นกัน ได้แก่ ส้มโอ มะขนาป้อม กีวี มะละกอสุก ฝรั่ง เป็นต้น

 

2.กินคอลลาเจนกี่มิลลิกรัม

                ข้อมูลจากองค์การอาหารและยา อนุญาตให้ร่างกายของเรากินคอลลาเจนได้ไม่เกินวันล่ะ 10 กรัม หรือ 10,000 มิลลิกัรม แต่โดยความเป็นจริงแล้วหากอยากเห็นผลไว ไม่จำเป็นต้องทานเต็มลิมิต 10,000 มิลลิกัรม เพราะว่าแค่กินเพียงประมาณ 5 กรัม หรือ 5,000 มิลลิกรัมต่อวัน ก็เพียงพอแล้ว

แนะนำว่าการกินคอลลาเจน เพื่อให้ได้ผลไวที่สุดนั้น มันมีปัจจัยอื่นๆ ประกอบเช่น อุปนิสัยการบริโภคอาหาร หรือการใช้ชีวิตประจำวัน สิ่งเหล่านี้จะส่งผลโดยตรงเช่นกัน การนิยมทานเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ มลพิษจากควันรถยนต์ หรือสภาวะจิตตึงเครียด และการตาดแดดเป็นเวลานาน โดยเฉพาะเมื่อเราอายุมากขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายจะผลิตคอลลาเจนออกจากน้อยมาก จึงควรหาทานอาหารเสริมที่มีคอลลาเจนและหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้เป็นต้น

 

3.กินคอลาเจน ก่อนนอน

                ช่วงเวลาที่นอนหลับสนิทร่างกายจะเริ่มทำการซ่อมแซมเซลล์ส่วนต่างๆ ที่สึกหรอ เวลานี้เองที่คอลลาเจนจะถูกทำงานได้อย่างเต็มที่

 

4.กินคอลลาเจน ตอนท้องว่าง

                อีกอย่างที่จะช่วยคอลลาเจนถูกนำไปใช้ได้อย่างเต็มที่คือ การกินคอลลาเจนตอนท้องว่าง หรือก่อนอาหาร 15 นาที บางคนกินคอลลเจนตอนตื่นนอน ตอนที่ท้องว่างร่างกายจะดูดซึมคอลลาเจนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

5.กินคอลลาเจน 4 เวลา

                สามารถแบ่งทานคอลลาเจนได้ตลอดทั้งวัน แต่ว่าเมื่อรวมกันแล้วแนะนำว่าให้อยู่ในประมาณ 5,000 มิลลิกรัมต่อวัน หารแบ่งทานนั้นจะช่วยให้ร่างกายได้รับคอลลาเจนตลอดทั้งวัน โดยเราจะแบ่งเป็น 4 ช่วงเวลาที่ได้ผลดีที่สุด คือ ตื่นนอน , 15 นาที ก่อนอาหารเที่ยง , 15 นาที ก่อนอาหารเย็น และก่อนนอน

 

6.กินคอลลาเจนต้องดูแลตัวเองด้วย

                คอลลาเจนนั้นไม่ใช่ยาวิเศษ เมื่อทานเข้าแล้วจะมีผิวสวยโดยไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะว่าร่างกายของเรามีปัจจัยต่างๆ ที่ให้เกิดการต่อต้านคอลลาเจนได้ หลายคนอาจมีความสงสัยว่าทานคอลลาเจนมานานแล้ว แต่ไม่เห็นผลสักที กินเท่าไรผิวก็ไม่ดีขึ้น นั่นเป็นเพราะว่าร่างกายอางต้องเผชิญกับแสงแดดเป็นเวลานานทุกวันติดต่อกัน หรือได้รับมลพิษทางอากาศ ตลอดจนการทานเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ

 

7.กินคอลลาเจนต่อเนื่อง

                ทั้งหมดที่ได้กล่าวมาจะไม่เห็นผลเลย หากไม่ได้กินคอลลาเจนอย่างต่อเนื่อง บางคนกินวันเว้นวัน บางคนสองวันกินที อันนี้พลอดอย่างแรง การกินคอลลาเจนต้องกินอย่างต่อเนื่องเท่านั้น อย่างน้อยควรกินคอลลาเจนมากว่า 15 วันขึ้นไป ผลลัพทธ์ที่ได้ขึ้นอยู่แต่ละคน เพราะว่าร่างกายของแต่ละคนแตกต่างกัน บางคนต้องใช้เวลามากกว่า 45 วัน จึงจะเห็นผล แต่ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วการกินคอลลาเจน ก็จะช่วยบำรุงร่างกายอย่างมาก ถึงผลลัพธ์ที่เฝ้ารอจะเกิดขึ้นช้า นานกว่าจะเห็นผลอย่างชัดเจน แต่ภายในร่างกายนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา


Photo

ผิวเหี่ยวฝ่อ ข้อกระดูกลั่น กินคอลลาเจนแล้วช่วยได้จริงหรือ? – THE STANDARD THE STANDARD : STAND UP FOR THE PEOPLE https://thestandard.co/what-is-collagen/
Add a comment...

เมื่อเรารับประทานคอลลาเจนจะไปเสริมการทำงาน ในช่วง 2-3 ชั่วโมงแรกของการหลับ ซึ่งต่อมพิทูอิตารีในสมองจะหลั่งโกรทฮอร์โมน (Growth Hormone) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยในการเจริญเติบโตและควบคุมการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย สู่กระแสเลือดเพื่อฟื้นฟูส่วนต่างๆ ของร่างกาย หากมีคอลลาเจนเพียงพอก็จะช่วยในการสังเคราะห์โปรตีนเพื่อซ่อมแซมเซลล์ผิวที่สึกหรอได้ดียิ่งขึ้น และยังมีผลทางอ้อมต่อการลดน้ำหนักไปพร้อมกัน เพราะเมื่อร่างกายมีการสร้างกล้ามเนื้อมากขึ้นก็จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเผาผลาญไขมันมากขึ้นด้วย

สำหรับเคล็ดลับสำหรับการทานคอลลาเจนให้ได้ประโยชน์สูงสุด มีดังนี้
1. ดื่มน้ำมาก ๆ เพราะคอลลาเจนนั้นต้องการสารละลายในการดูดซึมเข้าร่างกาย หากร่างกายได้รับน้ำในปริมาณที่ไม่เพียงพอ ร่างกายก็จะไม่สามารถดูดซึมคอลลาเจนไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้
2. รับประทานพร้อมวิตามินซี เพราะวิตามินซี มีส่วนช่วยในการดูดซึมคอลลาเจนเข้าสู่ร่างกาย ดังนั้นการทานควบคู่ไปกับอาหารที่มีวิตามินซีสูงจึงเป็นทางเลือกที่ดีทีเดียว
3. รับประทานขณะท้องว่าง การเลือกรับประทานคอลลาเจนชนิดเม็ดหรือน้ำนั้นควรรับประทานตอนเช้าขณะท้องว่าง หรือก่อนรับประทานอาหารจะได้ผลของการดูดซึมดีที่สุด
การเลือกรับประทานคอลลาเจนจึงเป็นทางเลือกเสริมที่ดีสำหรับสาว ๆ หรือผู้มีปัญหาเรื่องข้อต่อต่างๆ

http://www.uniserv.buu.ac.th/forum2/pop_printer_friendly.asp?TOPIC_ID=5999
Photo
Photo
12/1/18
2 Photos - View album


ข่าวรอบสัปดาห์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ฉบับที่ 49 วันที่ 3-9 ธันวาคม 2561
>>https://t.co/A8GcyTzK0N https://t.co/Si4p4j70eA
PhotoPhotoPhoto
11/30/18
3 Photos - View album

สารสกัดจากงาดำ จากงานวิจัยของอจ.ปรัชญา คงทวีเลิศ คณะแพทยศาสตร์​ มช.มีผลดังนี้
1. กระตุ้นภูมิต้านทาน คือ เพิ่ม IL-2 และ IFN-γ รักษามะเร็งระยะสุดท้าย
2. ต้านการอักเสบ โดยยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ Delta-5 desaturase แก้ปวดต้านการอักเสบได้สารพัดโรคที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบ และ NCD
3. ยับยั้งการทำงานของ MMP13 ในเซลกระดูกอ่อน ลดการสลายกระดูก ป้องกันกระดูกพรุน และยังช่วยให้แคลเซียมไปจับกับสายคอลลาเจนได้มากขึ้น ทำให้กระดูกแข็งแรง
ทั้งหมดมีผลงานวิจัยรองรับ​ ตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์ต่างประเทศ​ และคณะแพทยศาสตร์มช.ได้ขายผลงานวิจัยนี้ให้แก่บริษัทต่างๆเพื่อนำไปต่อยอดทางการค้า​ (ยกเว้น​ THAI.FDA ที่ยังคงยืนยันอย่างหนักแน่นว่า​ อาหารไม่มีผลรักษาโรคใดๆทั้งสิ้น)​

“การสกัดคอลลาเจนที่ละลายในกรดจาก หนังปลานิล” ปัจจุบันเศษเหลือทิ้งจากการแปรรูปสัตว์น้ำส่วนใหญ่ถูกใช้ในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์และการทำปุ๋ย ซึ่งนับว่ามีมูลค่าค่อนข้างต่ำ จึงมีแนวคิดที่จะนำเศษเหลือทิ้งจากปลานิล....... อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/biz/gov/512408

มีงานวิจัยพบว่าบัวบกสามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนังได้ จึงมีส่วนสำคัญในการสมานแผล รักษาแผลเป็น

http://www.abhaiherb.com/product/herb-medicine/520
Photo

ผลทับทิมมีประโยชน์ในการต่อต้านริ้วรอยสำหรับผิวของคุณเพื่อให้ผิวนุ่มเนียนและดูอ่อนเยาว์ เนื่องจากมีวิตามิน C ทับทิมจึงช่วยในการสร้างคอลลาเจนซึ่งจะช่วยชะลอการเสื่อมและลดริ้วรอย บำรุงผิวให้ขาวกระจ่างใส ทับทิมยังมีสารอาหารอื่น ๆ ที่ยังช่วยชะลอกระบวนการชรา

การศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Ethnopharmacology ระบุว่าทับทิมช่วยส่งเสริมการขยายตัวและการสังเคราะห์โปรคอลลาเจนและยับยั้งการสร้างเมทริกซ์ metalloproteinase-1 ในเซลล์ผิว สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการรักษาผิวที่ดูอ่อนเยาว์และสุขภาพดีอยู่เสมอ
Photo

 รองศาสตราจารย์ เภสัชกรหญิง ดร. พรอนงค์ อร่ามวิทย์ ภาควิชาเภสัชกรรมปฏิบัติ คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้คิดค้นและประดิษฐ์ จนได้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นประโยชน์ ภายใต้ชื่อผลงานว่า “แผ่นเนื้อเยื่อปิดแผลจากโปรตีนกาวไหมที่กระตุ้นการหายของบาดแผล”

“โปรตีนที่ได้จากกาวไหมมีส่วนประกอบของกรดอะมิโนที่สำคัญต่อร่างกาย เช่น serine เป็นปริมาณสูง สามารถแข็งตัวเป็นเจลที่มีความแข็งแรงและยืดหยุ่นต่างๆ กันได้ตามอุณหภูมิในการผลิตและสารประกอบร่วมอื่นๆ อีกทั้งยังมีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ และสามารถป้องกันการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย

“มีงานวิจัยพบว่า เซริซินสามารถกระตุ้นการสร้างและเพิ่มการยึดเกาะกันของเซลล์ผิวหนังมนุษย์ ผลการวิจัยเบื้องต้นยังพบอีกว่า เซริซินสามารถเพิ่มการสร้างคอลลาเจนทำให้บาดแผลในหนูทดลองหายได้รวดเร็วขึ้น”

บาดแผลที่ได้รับการรักษาด้วยโปรตีนกาวไหมสามารถหายสนิทได้ภายใน 14 วัน ในขณะที่บาดแผลที่ได้รับการรักษาด้วยผลิตภัณฑ์ในท้องตลาดใช้เวลาหายสนิทนานถึง 21 วัน 

โดยโปรตีนกาวไหมที่มีประสิทธิภาพในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้สูงและก่อให้เกิดการแพ้ต่ำมาก คือ รังไหมสีขาว สายพันธุ์จุล 1/1”

http://www.technologychaoban.com/news_detail.php?tnid=956&section=11
20 ตุลาคม วันกระดูกพรุนโลก "STOP AT ONE” หักครั้งเดียวก็เกินพอ
โรคกระดูกพรุน ไม่ใช่อุบัติเหตุ ป้องกันและบำรุงกระดูกไว้ .....ก่อนสายเกินไป
เพชรสังฆาต....สมุนไพรช่วยเพิ่มมวลกระดูกให้แข็งแรง

มีการศึกษาในสัตว์ทดลองพบว่าเพชรสังฆาตช่วยเสริมสร้างมวลกระดูก จากการที่มีฤทธิ์กระตุ้นเซลล์สร้างกระดูกให้เพิ่มขึ้น และเพิ่มการสร้างคอลลาเจนในเซลล์สร้างกระดูก และยังป้องกันการสูญเสียมวลกระดูกในหนูทดลองที่ถูกตัดรังไข่ เพื่อจำลองให้เกิดสภาวะเหมือนหญิงวัยทอง โดยมีผลเทียบเท่ากับยาแผนปัจจุบัน คือ raloxifene

โดยน่าจะเป็นผลจากการที่ในเพชรสังฆาตพบสารกลุ่ม ไฟโตเอสโตรเจนมาก เนื่องจากในหนูที่ได้รับเพชรสังฆาต พบการเพิ่มขึ้นของระดับเอสโตรเจน และวิตามินดีในเลือด

ข้อดีของเพชรสังฆาต เมื่อเปรียบเทียบกับการให้ฮอร์โมนเอสโตรเจนทดแทน พบว่าเพชรสังฆาต ให้ผลดีทั้งในเรื่องของความหนา ความแข็งแรง และความหนาแน่นมวลกระดูก ขณะที่เอสโตรเจน จะไม่มีผลในเรื่องความหนาแน่นของมวลกระดูก เพชรสังฆาตยังมีฤทธิ์ลดอาการปวด โดยการศึกษาหนึ่ง ทดลองให้รับประทานวันละ 3200 มิลลิกรัม เป็นเวลา 2 เดือน พบว่าให้ผลดีในการลดอาการปวดข้อ

https://www.facebook.com/abhaiherb/photos/a.136960229702392.26552.136694259728989/751629668235442/
Photo

ในปี ค.ศ.1959 นักวิทยาศาสตร์ ทำการวิจัยผนังของตัวหอยทาก และพบองค์ประกอบของ คอลลาเจน และมิวโคโพลีแซคคาไลด์ ซึ่งอุดมไปด้วยอมิโนแอซิด เช่น ไกลซิน โปรลีน และ กลูตามิคแอซิด ต่อมาในปี 2006 องค์ประกอบดังกล่าวถูกค้นพบว่าเป็นส่วนประกอบสำคัญของการรักษาแผลอักเสบของผิวหนัง 

ปี ค.ศ. 1980 ชาวนา ชิลี ซึ่งมีอาชีพเลี้ยงหอยทากส่งภัตตาคารที่ฝรั่งเศส พบโดยบังเอิญว่า มือของเค้านุ่มและลื่นขึ้นอย่างมากจากการที่ต้องจับและสัมผัสตัวหอยทากทุกวัน และสังเกตุว่าถ้ามีบาดแผลที่มือ จะหายอย่างรวดเร็วโดยไม่อักเสบ 

ประโยชน์ทางการแพทย์และเครื่องสำอาง
รักษาแผลไฟไหม 
สมานแผล
บำรุงผิว
ทั้งนี้ผลดีทั้งหมดเกิดจากน้ำเมือกสดเท่านั้น แต่ไม่มีการทดสอบกับครีมหอยทากแต่ประการใด

http://www.pharmacy.mahidol.ac.th/th/knowledge/article/276

บัวบก อาหารป้องกันอัลไซเมอร์

พูดถึงบัวบก ผมมั่นใจเลยครับว่าทุกคนจะต้องนึกถึงเรื่องแก้ช้ำใน เป็นอันดับต้นๆ แต่เค้าช่วยเราได้มากกว่านั้นครับ หนึ่งในนั้นคือ ป้องกันอัลไซเมอร์ บำรุงสมองให้ใสปิ๊ง แล่นปรื้ดกันเลยทีเดียว 555555
...อัลไซเมอร์ (Alzheimer’s disease) หรือโรคสมองเสื่อม เป็นอาการของวาตะ(ธาตุลม)พิการอย่างชัดเจน เพราะเป็นความฟุ้งกระจาย ความไร้ทิศทางของความทรงจำและความคิด เนื่องจากความเสื่อมของสมองที่มีการสูญเสียเซลล์ประสาทไปจำนวนมาก โดยเฉพาะส่วนที่ควบคุมความจำและการคิด และการลดลงของสารเคมีในสมองที่มีความสำคัญต่อความจำ ทำให้สูญเสียความทรงจำและการทำงานของจิตใจ จนไม่สามารถตัดสินใจได้ อาจลืมกิจวัตรง่ายๆ ความสามารถในการพูดลดลง ควบคุมการขับถ่ายไม่ได้ และมีอารมณ์แปรปรวน เช่น ก้าวร้าว เก็บตัว

...แม้จะยังไม่มีวิธีรักษาโรคนี้ให้หายขาด แต่อาจช่วยฟื้นฟูการทำงานของสมองได้ในระยะแรก หรือชะลออาการในรายที่มีอาการมากแล้ว ด้วยการให้กินสมุนไพรและอาหารที่ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองได้ดีขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ความจำดีขึ้น ช่วยต้านอนุมูลอิสระ เพื่อรักษาเซลล์ประสาทไม่ให้ถูกทำลายเพิ่มขึ้น สมุนไพรที่มีคุณสมบัติดังกล่าว ได้แก่ บัวบก แปะก๊วย ขมิ้นชัน ขิง พริกไทย รวมถึงอาหารที่มีโอเมก้า-3 สูง เช่น น้ำมันรำข้าว วอลนัท เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ เมล็ดทานตะวัน งาขี้ม้อน งา ไข่แดง น้ำมันปลา เป็นต้น นอกจากนี้การออกกำลังกาย การฝึกสมองโดยการอ่านหนังสือ เล่มเกมปริศนาอักษรไขว้ หรือบริหารความจำ ผ่อนคลาย ตลอดจนการเอาใจใส่ของครอบครัว ก็มีส่วนสำคัญที่จะช่วยทำให้สมองและความจำของผู้ป่วยดีขึ้น การกินอาหารบำรุงสมอง และกิจวัตรกระตุ้นสมองเหล่านี้ ไม่ได้เหมาะสำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์แล้วเท่านั้น แต่ยังเป็นวิธีป้องกันโรคนี้สำหรับคนที่เริ่มเข้าสู่วัยชราอีกด้วย

...บัวบกเป็นสมุนไพรที่มีคุณสมบัติชั้นเลิศในการบำรุงสมอง ในตำรายาไทยกล่าวว่า บัวบกมีรสเฝื่อนขมเย็น แก้อ่อนเพลีย เมื่อยล้า บำรุงธาตุ บำรุงหัวใจ ขับปัสสาวะ ขับโลหิตเสีย ส่วนในคัมภีร์อายุรเวทของอินเดียบันทึกไว้ว่า บัวบกมีกลิ่นฉุน มีรสขมอมหวานย่อยได้ง่าย เป็นยาเย็น ยาระบาย ยาบำรุง ช่วยฟื้นฟูสภาพ บำรุงเสียง ช่วยให้ความจำดีขึ้น เป็นยาเจริญอาหาร แก้ไข้ แก้อักเสบ ผิวหนังเป็นด่างขาว โลหิตจาง มีหนองออกจากปัสสาวะ หลอดลมอักเสบ น้ำดีในร่างกายมากเกินไป ม้ามโต หืด กระหายน้ำ แก้คนเป็นบ้า โรคเกี่ยวกับเลือดและโรคที่สมุฏฐานเกี่ยวกับเสมหะ

...ในการศึกษาองค์ประกอบของบัวบกพบว่า มีสารสำคัญหลายอย่าง ที่สำคัญคือ "อะซิเอติโคไซด์" ซึ่งช่วยลดการอักเสบ ลดการระคายเคือง ทำให้การไหลเวียนของเลือดในเส้นเลือดฝอยดีขึ้น ทำให้เซลล์ได้รับอาหารมากขึ้น ซึ่งช่วยบำรุงอวัยวะต่างๆ โดยเฉพาะสมอง การศึกษาในสัตว์ทดลองพบว่า บัวบกเพิ่มการเรียนรู้ เพิ่มสมาธิและความจำ ส่วนการศึกษาในคนพบว่า บัวบกมีฤทธิ์ เพิ่มการเรียนรู้ เพิ่มความจำ ช่วยลดความผิดปกติที่เกิดจากความกังวล ลดความเครียด และการซึมเศร้า ทำให้ความเต็มใจที่จะปรับตัวและเรียนรู้ดีขึ้น แถมยังมีคุณสมบัติอื่นๆ อีกมากมาย เช่น เพิ่มประสิทธิภาพในการสร้างคอลลาเจน ซึ่งช่วยทำให้แผลหายเร็ว โดยการรับประทานหรือใช้ทาก็ได้ ช่วยลดการอักเสบ ต้านอนุมูลอิสระได้ดี

เส้นใยไหมจะมีโปรตีนสำคัญ 2 ชนิด คือ “ซิริซิน” (เป็นกาวเหนียว) ซึ่งส่วนใหญ่จะถูกความร้อนชะล้างออกไปเมื่อต้มรังในกระบวนการสาวไหม เหลือเพียง “ไฟโบรอิน” ที่ใช้ทำเป็นเส้นใย ที่ผ่านมาจึงเป็นการใช้ประโยชน์จากไฟโบรอิน เช่น ในเครื่องสำอางแต่งหน้าสำหรับผู้แสดงละครคาบูกิ ซึ่งนอกจากทำให้รู้สึกสบายผิวมากขึ้น เมื่อต้องอยู่ท่ามกลางแสงแดดยังช่วยป้องกันอันตรายจากรังสีอัลตราไวโอเลตได้อีกด้วย

ข้อดีคือ เส้นใยที่เป็นธรรมชาติเหมาะสำหรับขัดผิวและไม่ทำให้เกิดการอุดตันของสิว

ผงไหมมีกรดอะมิโนมากถึง 16-18 ชนิด มีสารต้านอนุมูลอิสระช่วยรักษาแผลให้หายเร็วขึ้น สามารถกำจัดเชื้อจุลินทรีย์บางชนิดที่เป็นสาเหตุของโรคผิวหนัง ทั้งยังช่วยรักษาปริมาณน้ำในผิวหนัง กำจัดสิ่งสกปรกในเซลล์และยืดอายุเซลล์ได้อีกด้วย

รังไหมมีโปรตีนชนิดเดียวกับร่างกายมนุษย์ จึงช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ริ้วรอยตื้นขึ้น และยังทำหน้าที่เป็นเหมือนสกินไวเทนนิ่ง ช่วยลบฝ้าและจุดด่างดำ


http://www.matichon.co.th/news/216180
Photo

กลูโคซามีน (glucosamine) นำไปใช้เป็นสารตั้งต้นในการสร้างสารขนาดโมเลกุลใหญ่ เช่น โปรตีโอไกลแคน, ไกลโคโปรตีน (glycoprotein), ไกลโคสามิโนไกลแคน (glycosaminoglycan), กรดไฮยาลูโรนิก (hyaluronic acid) สารเหล่านี้เป็นส่วนประกอบในเนื้อเยื่อเกือบทุกชนิดของร่างกาย โดยจะพบได้มากที่กระดูกอ่อน (cartilage)ซึ่งจะอยู่ที่บริเวณส่วนปลายของกระดูกโดยเฉพาะที่ข้อต่อ กระดูกอ่อนนั้นประกอบด้วยเมทริกซ์ของเส้นใยคอลลาเจนที่มีโปรตีโอไกลแคนอยู่ภายใน โดยโปรตีโอไกลแคนเป็นสารโมเลกุลใหญ่ที่มีความสามารถในการดึงน้ำเข้ามาหาตัวเองได้ดี จึงทำให้กระดูกอ่อนมีความยืดหยุ่น และสามารถรองรับการเคลื่อนไหวของกระดูกข้อต่อได้ ซึ่งจัดเป็นบทบาทสำคัญของกลูโคซามีนในเรื่องการทำงานของข้อ นอกจากนี้กลูโคซามีนยังมีผลยับยั้งการทำงานของสารอักเสบได้หลายชนิด จึงมีผลลดการอักเสบของข้อด้วย

การให้ผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมได้รับกลูโคซามีนซัลเฟตในขนาด 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน เป็นเวลานาน 3 ปี ช่วยลดอาการปวด และช่วยลดการแคบของข้อได้ ส่วนการใช้กลูโคซามีนซัลเฟตในระยะสั้น เช่น 3-6 เดือน พบว่าผลการศึกษามีทั้งสองแบบ คือ ให้ผลดีในการรักษา และไม่เห็นความแตกต่าง

- อาการไม่พึงประสงค์ที่พบได้บ่อยจากการรับประทานกลูโคซามีน คือ คลื่นไส้ ท้องเสีย แสบท้อง ปวดท้อง ท้องอืด นอกจากนี้ยังอาจพบอาการง่วงซึม ผื่นแพ้ผิวหนัง แพ้แสง ปากคอบวม (angioedema) หรือกระตุ้นให้เกิดการจับหืดได้

- ควรระมัดระวังการแพ้ในผู้ป่วยที่มีประวัติแพ้อาหารทะเล โดยเฉพาะกุ้ง ปู เพราะกลูโคซามีนที่มีจำหน่ายสังเคราะห์มาจากเปลือกของสัตว์ดังกล่าว

- ควรระมัดระวังการใช้ในผู้ป่วยโรคเบาหวาน โดยเฉพาะถ้าไม่สามารถคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ตามเป้าหมายการรักษา เพราะมีรายงานในสัตว์ทดลองว่ากลูโคซามีนทำให้การหลั่งอินซูลินลดลงได้ ถึงแม้ว่าจะยังไม่พบรายงานดังกล่าวในคนก็ตาม

VITAMIN C เป็นวิตะมินที่ละลายในน้ำ หมายความว่า ไม่สามารถเก็บสะสมในร่างกาย จึงต้องได้รับวิตะมินซีจากอาหารประเภทต่างๆ โดยร่างกายใช้วิตะมินซี ในการสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของผิวหนัง กระดุก เอ็น หลอดเลือด 

VITAMIN C มีคุณสมบัติเป็น ANTIOXIDANT เช่นเดียวกับ VITAMIN E และ BETACAROTENE ยับยั้งการทำลาย  DNA จากอนุมูลอิสระ ชะลอการเกิดโรคต่างๆ อาทิเช่น โรคหัวใจ ความดัน หวัด มะเร็ง ข้อเสื่อม หอบหืด 

การกิน VITAMIN C 500 MG + ZINC 80 MG + BETA CAROTENE 15 MG และ VITAMIN E 400 IU จะป้องกันการเกิด Age-Related Macular Degeneration (AMD) ที่ทำให้คนอายุมากกว่า 55 ปี ตาบอด

VITAMIN C ในผู้ใหญ่กินไม่เกินวันละ 500 - 1000 mg โดยดื่มน้ำตามมากๆ ในกรณีที่เป็นโรคกระเพาะ หรือ กรดไหลย้อน สามารถใช้ "Buffered" vitamin C แทนวิตะมินซีปกติได้ 

ห้ามใช้
1.ผู้ที่แพ้ข้าวโพด ควรเลือกวิตะมินซีจากแหล่งอื่น อาทิเช่นจาก SAGO PALM
2. ผู้ที่เป็นโรคเลือดชนิดที่มีธาตุเหล็กเกิน Hemochromatosis  วิตะมินซีจะเพิ่มการดูดซึมเหล็กจากอาหาร จนเกิดอันตรายได้

ระมัดระวังการใช้
1. ผู้ป่วยโรคไต
2. ผู้ป่วยเบาหวาน การกินวิตะมินซีมากกว่าวันละ 300 มิลลิลกรัม จะเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด

ห้ามกินวิตะมินซีร่วมกับยาดังนี้

- ASPIRIN และ ยาแก้อักเสบกลุ่ม NSAID จะเพิ่มการขับวิตะมินซีออกจากร่างกาย
- ยาคุมกำเนิด และ ESTROGEN จะมีระดับยาในเลือดเพิ่มขึ้น และลดประสิทธิภาพของวิตะมินซี
- ยาแก้ปวดลดไข้ PARACETAMOL จะมีระดับยาในเลือดเพิ่มขึ้น 
- ยาลดกรดชนิดเม็ดและน้ำ รวมทั้ง GAVISCON จะมีระดับยาในเลือดเพิ่มขึ้น
- ยาฆ่าเชื้อ TETRACYCLINE MINOCYCLINE DOXYCYCLINE จะมีระดับยาในเลือดเพิ่มขึ้น และลดประสิทธิภาพของวิตะมินซี


http://umm.edu/health/medical/altmed/supplement/vitamin-c-ascorbic-acid

 
Photo

เมล็ดองุ่นสารอาหารสำหรับหนุ่มสาวสมัยใหม่
โดย ภญ. สมปรารถนา เสาวภาคย์ | 31/05/2556

Grape seed extract ซึ่งให้สารสำคัญ คือ OPC (Oligomeric proanthocyanidins) มีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระ มีความแรงกว่า วิตามินซี 20 เท่า และแรงกว่าวิตามินอี 50 เท่า จึงได้รับการขนานนามว่า Super antioxidant จึงมีบทบาทในการป้องกันการเสื่อมหรือการถูกทำลายของเซลล์ต่างๆในร่างกายจากอนุมูลอิสระได้อย่างดี

มีคุณสมบัติทำให้เส้นเลือดแข็งแรง เส้นเลือดมีความยืดหยุ่นเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้มีการไหลเวียนเลือดที่ดี ป้องกันการเสื่อมสลายของคอลลาเจน บริเวณใต้ผิวหนัง และหลอดเลือดดำ จึงมีคุณสมบัติในการป้องกัน และรักษาโรคหลอดเลือดดำอุดตัน รวมทั้งเส้นเลือดขอด

สำหรับผู้ที่ต้องการบำรุงผิว ต้านอนุมูลอิสระ ทำให้เส้นเลือดมีความยืดหยุ่น 50 มิลลิกรัม/วัน
สำหรับป้องกัน หรือรักษาเส้นเลือดขอด 150 มิลลิกรัม/วัน 

Praphatphon is Sexy (คลิปความรู้เรื่อง Glutathione & Collagen) โดย เภสัชจุฬาฯ
https://www.youtube.com/watch?v=rBYcQ2PHmys

บัวบก ตัวช่วยที่ต้องมีติดไว้.... ถ้าคิดจะศัลยกรรม !!!!

มีประสบการณ์การใช้บัวบกในผู้ที่ศัลยกรรม เช่น ทำตา ทำจมูก แล้วมีการใช้บัวบกร่วมด้วยหลังทำศัลยกรรม พบว่าบัวบกมีผลลดอาการบวม อาการช้ำ รวมถึงทำให้การสมานแผลหายเร็วขึ้น ลดการเกิดแผลเป็น

ซึ่งเมื่อศึกษากลไกการออกฤทธิ์ของบัวบกก็พบว่าบัวบกนั้นมีสารสำคัญเป็น Triterpenoid compounds ได้แก่ Asiatic acid Madecassic acid Asiaticoside Madecassoside ซึ่งมีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา ในการรักษาแผล กระตุ้นการสร้าง collagen, DNA & protein เร่งกระบวนการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ ลดการเกิด fibrosis ของแผล ลดการอักเสบ เพิ่ม antioxidants ของแผล

โดยขนาดที่แนะนำคือครั้งละ 1-2 แคปซูล วันละ 3 ครั้ง หลังอาหาร เช้า กลางวัน เย็น หรือจะกินต้นสดหรือปั่น/คั้นน้ำกินวันละ 10-20 ต้น ก็ได้ค่ะ โดยสามารถทานได้จนกว่าแผลจะหายเป็นปกติค่ะ


https://www.facebook.com/abhaiherbshop/posts/801613543208805
Photo

ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว อุตส่าห์พูดถึง เจลแต้มสิวอภัยภูเบศร จะไม่พูดถึง ครีมบัวบก ของอภัยภูเบศร์ก็กระไรอยู่ เพราะเป็นของคู่กัน เหมือนกินน้ำพริหนุ่มแล้วก็ต้องมีแคบหมู .... เพราะหลังจากที่สิวหาย หรือ สิวยุบไปแล้ว ให้ทาครีมบัวบกเป็นประจำ จะช่วยป้องกันการเกิดรอยแผลเป็นจากสิว หรือ ช่วยให้รอยแผลเป็นจางลง เพราะ สารสกัดcentella ที่มีอยู่ในบัวบกช่วยสมานแผล,ป้องกันแผลเป็น กระตุ้นcollagen  นอกจากนี้ยังออกฤทธิ์ทำลายเชื้อแบคทีเรีย ที่ก่อให้เกิดอาการอักเสบที่ผิวหนัง
Photo


Vitamin C
Vitamin E
Coenzyme Q10
Glucosamine
Polypodium Leucotomos Extract (PLE)
หมายเหตุ แทนที่จะกิน Glucosamine กิน COLLAGEN เกรดดีๆ น่าจะให้ผลเช่นเดียวกัน่ ส่วน PLE มีขายแล้วยังยังไม่ทราบ นอกจากว่าจะหิ้วเข้ามา

These supplements may be worth adding to your anti-aging beauty regimen: http://spr.ly/618383XlB






ด้วยความห่วงใย
.....................
BETTER PHARMACY เจ็ดยอด เชียงใหม่
เราคัดสรรสิ่งที่ดี มีคุณภาพ เพื่อคุณ

FACEBOOK / BetterPharmacyCMG
LINE ID - BETTERCM
.....................




UPDATE  -  2018.12.04

No comments:

Post a Comment