Wednesday, May 4, 2016

แคลเซียม

คนทั่วไปต้องการแคลเซียมวันละ 800 มิลลิกรัม สตรีตั้งครรภ์ต้องการเพิ่มขึ้นเป็นวันละ 1,200 มิลลิกรัม สตรีก่อนวัยหมดระดูควรได้รับแคลเซียมวันละ 1,000 มิลลิกรัม ส่วนสตรีหลังวัยหมดระดูต้องการแคลเซียมวันละ 1,500 มิลลิกรัม 

ยาในรูปแคลเซียมคาร์บอเนตให้แคลเซียมได้มากที่สุดคือร้อยละ 40 แต่แคลเซียมกลูโคเนตให้แคลเซียมได้น้อยที่สุดคือร้อยละ 9 ดังนั้น จะต้องกินแคลเซียมคาร์บอเนตวันละ 2,500 มิลลิกรัมจึงจะได้แคลเซียม 1,000 มิลลิกรัม หรือ จะต้องกินแคลเซียมกลูโคเนตวันละ 11-12 กรัมจึงจะได้แคลเซียม 1,000 มิลลิกรัมตามความต้องการ

แคลเซียมที่ดูดซึมง่ายกว่าและไม่ต้องการภาวะกรดในกระเพาะอาหารในการแตกตัวเพื่อการดูดซึม คือ แคลเซียมซิเทรท แคลเซียมซิเทรทอาจกินในขณะที่ท้องว่างได้ ข้อเสียคือราคาสูงกว่าและมีปริมาณแคลเซียมต่ำกว่าแคลเซียมคาร์บอเนต

แคลเซียมเม็ดฟู่มักมีองค์ประกอบของแคลเซียมคาร์บอนเนตเพื่อให้มีปริมาณแคลเซียมมากๆและผสมแคลเซียมแลคโตกลูโคเนตช่วยการดูดซึม แคลเซียมชนิดนี้มีราคาแพงกว่าแคลเซียมคาร์บอนเนต แต่อาจทำให้มีอาการท้องอืดได้เช่นกันเนื่องจากมีส่วนผสมของแคลเซียมคาร์บอนเนตด้วย

แคลเซียมทุกชนิดไม่ควรกินพร้อมยาประเภทอื่นเพราะทำให้การดูดซึมยานั้นๆน้อยลง และไม่ควรกินหลังอาหารที่มีผักมากๆ เนื่องจากทำให้การดูดซึมน้อยลงและอาจจับกับผักทำให้อืดแน่นท้อง

วิตามินซี ให้แคลเซียมถูกดูดซึมได้ดีขึ้นจากทางเดินอาหาร และวิตามินดียังช่วยเก็บแคลเซียมไม่ให้ถูกขับออกทางไตด้วย สำหรับวิตามินรวมที่มีแคลเซียมเป็นส่วนประกอบมักจะมีปริมาณแคลเซียมไม่พอสำหรับผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน หากจะกินยานี้ก็ต้องกินอาหารที่มีแคลเซียมเสริม


อ่านเพิ่มเติม
http://www.pharmacy.mahidol.ac.th/th/knowledge/article/30/ยารักษาโรคกระดูกพรุน-ใช้อย่างไร/
http://www.pharmacy.mahidol.ac.th/th/knowledge/article/218/แคลเซียมกับโรคกระดูกพรุน-ตอนที่2/
http://www.rtcog.or.th/html/articles_details.php?id=15
http://www.pr.chula.ac.th/index.php/15-article/81-1-000-1-200-360-600-800-40

PHARMANORD Bio-Calcium+D3+K1

ส่วนประกอบ CALCIUM CARBONATE 75% และ CALCIUM CITRATE 14% คิดเป็น CALCIUM 500 มิลลิกรัม

VITAMIN D3 ประมาณ 200 IU ช่วยในการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกาย

VITAMIN K 35 mcg ลดการเกาะตัวของแคลเซียมในหลอดเลือด

กลืนหรือเคี้ยว 1 เม็ด วันละ 1-2 ครั้ง พร้อมอาหาร

ระวังในผู้ที่มีภาวะแคลเซียมในเลือดสูง เป็นนิ่วในไต หรือ โรคหัวใจ

หมายเหตุ แคลเซียมที่ดูดซึมง่ายกว่าและไม่ต้องการภาวะกรดในกระเพาะอาหารในการแตกตัวเพื่อการดูดซึม คือ แคลเซียมซิเทรท แคลเซียมซิเทรทอาจกินในขณะที่ท้องว่างได้ ข้อเสียคือราคาสูงกว่าและมีปริมาณแคลเซียมต่ำกว่าแคลเซียมคาร์บอเนต และในท้องตลาดส่วนใหญ่จะมีแต่แคลเซียมคาร์บอเนต

เพิ่มมวลกระดูกสูงสุดให้มากที่สุด
1.เสริมแคลเซียม
2.เสริมวิตามินดี
3.ออกกาลังกาย
4.ลดปัจจัยเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน


http://www.med.cmu.ac.th/hospital/ngenprivate/2013/th/knowledge_gen_private/130-osteoporosis.html

กระดูกพรุน
โรคนี้พบมากในคนสูงอายุ พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย 2 เท่า ผู้ที่มีพ่อแม่พี่น้องเป็นโรคกระดูกพรุน หรือมีรูปร่างผอม ตัวเล็ก จะมีโอกาสเป็นโรคนี้มากกว่าคนทั่วไป บริเวณที่พบการหักของกระดูกได้บ่อย ได้แก่ ข้อมือ สะโพก และสันหลัง โรคนี้สามารถป้องกันได้ด้วยการมีพฤติกรรมสุขภาพที่ดี เช่น กินอาหารที่มีแคลเซียมสูง ออกกำลังกายสม่ำเสมอ รับแสงแดดอ่อนๆ เป็นประจำ ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มสุราจัด เป็นต้น
รายละเอียด :>> http://bit.ly/1lddplC

ความต้องการแคลเซียมเสริมส่วนใหญ่อยู่ที่ประมาณ 600- 800 มก. ต่อวัน

แคลเซียมที่ดูดซึมง่ายกว่าและไม่ต้องการภาวะกรดในกระเพาะอาหารในการแตกตัวเพื่อการดูดซึม คือ แคลเซียมซิเทรท แคลเซียมซิเทรทอาจรับประทานในขณะที่ท้องว่างได้ ข้อเสียคือราคาสูงกว่าและมีปริมาณแคลเซียมต่ำกว่าแคลเซียมคาร์บอเนต

แคลเซียมคาร์บอเนต มีปริมาณแคลเซียมอยู่ประมาณ 40% แต่อัตราการดูดซึมค่อนข้างต่ำและต้องการภาวะกรดของกระเพาะอาหารในการแตกตัวและดูดซึม ทำให้มีอาการท้องอืด ไม่สบายท้อง บางรายจะมีอาการท้องผูกมาก

การดูดซึมแคลเซียมยังขึ้นกับระดับวิตามินดีในร่างกาย ถ้าขาดวิตามินดี ร่างกายจะดูดซึมแคลเซียมได้น้อย เมื่อดูดซึมแล้วร่างกายก็ไม่สามารถนำแคลเซียมไปใช้ในการสร้างกระดูกได้ดี

นมถั่วเหลืองมีปริมาณแคลเซียมค่อนข้างน้อย เต้าหู้ก้อนมีแคลเซียมมากกว่า
http://www.pr.chula.ac.th/index.php/15-article/81-1-000-1-200-360-600-800-40
http://drug.pharmacy.psu.ac.th/Question.asp?ID=13602&gid=1

กล้วยน้ำว้า จะมีแคลเซียมสูงมาก เมื่อรับประทานเข้าไปจะทำให้ช่องปากมีสภาพเป็นด่าง ช่วยป้องกันฟันผุได้ การกินกล้วยน้ำว้า ควรกินตอนห่ามๆ อย่าให้สุกมากไป

กล้วยน้ำว้ามีวิตามินซี แคลเซียมสูงมาก กินวันละ 4 ลูก จะได้แคลเซียมพอดี รวมทั้งโปแตสเซียม มีโปรตีนครบเหมือนนมแม่ มีฮิสโตแฟน ซึ่งเป็นสารตั้งต้นของการหลั่งเอ็นโดรฟิน เมื่อกินกล้วยแล้วจึงทำให้มีความสุข หลับสบาย กินแล้วฟันไม่ผุ เพราะมีสารเพคติน ซึ่งมีฤทธิ์ฝาดสมาน จะเคลือบตั้งแต่ในปาก ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ ถือเป็นยามหัศจรรย์ ใครท้องเสียให้กินดิบ ห่ามก็ได้ จะหยุดท้องเสียที่ไม่รุนแรงได้

เปลือกกล้วย ยังมีสรรพคุณ แก้เม็ดผื่นคันจากยุงกัด โดยใช้เปลือกกล้วยด้านในทาบริเวณที่โดนยุงกัด จะช่วยลดอาการคันและทำให้เม็ดผื่นคันยุบตัวลงเร็วขึ้น

http://www.thairath.co.th/content/449753

วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับแคลเซียม (Calcium) ว่าการรับประทานแคลเซียมที่ถูกต้องและเพีย­งพอต่อความต้องการของร่างกายนั้นต้องรับปร­ะทานอย่างไร มาหาคำตอบกันเลยค่ะ ในรายการ สุขใจใกล้หมอ ช่วง"ใกล้หมอชะลอวัยกับหมอแอมป์ "โดย นพ.ตนุพล วิรุฬหการุญ

https://www.youtube.com/watch?v=middXzY5oQs

แคลเซียมและวิตามินดี
วิตามินบี
โอเมกา 3
โพแทสเซียม
แมกนีเซียม


http://health.haijai.com/3170/

มีแคลเซียมสูง มีวิตามินบี ๑, บี ๓, บี ๖ ช่วยบำรุงสมอง ทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงสมองส่วนกลางดีขึ้น ป้องกันหัวล้าน ป้องกันผมหงอกก่อนวัย ฟื้นฟูเส้นผมให้กลับมาดกดำเป็นหนุ่มสาวอีกครั้งหนึ่ง ช่วยฟิ้นฟูต่อมไร้ท่อต่างๆ เช่น ต่อมไทรอยด์ ต่อมใต้สมอง ต่อมหมวกไต ป้องกันไทรอยด์เป็นพิษ ช่วยบำรุงหัวใจ ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรง เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงหัวใจดีขึ้น ช่วยปรับสมดุลความดันโลหิต สำหรับคนเป็นความดันสูง กินน้ำกระชายคุมไว้ความดันขะปกติ ส่วนคนที่เป็นความดันต่ำจะอันตรายกว่าเพราะอาจช็อกได้ง่าย 

http://www.gotoknow.org/posts/532062

แร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกายได้แก่
แคลเซียม ไม่จำเป็นต้องได้มากถึง 1000 มิลลิกรัม ตามที่กำหนดใน RDA

แมกนีเซียม มีมากในธัญพืช ส่วนใหญ่มักจะขาด RDA = 250 mg

เหล็ก ผู้หญิงต้องการ 18 mg ผู้ชายต้องการ 10 mg

สังกะสี RDA = 15 mg  จะเกิดพิษเมื่อได้รับมากกว่า 50 mg

ทองแดง กินเสริมได้จากวิตะมินรวม RDA = 2 mg 

ซีเลเนี่ยม อยู่ในอาหารน้อย กินเสริมได้จากวิตะมินรวม RDA = 70 mcg 

โครเมี่ยม อยู่ในอาหารน้อย กินเสริมได้จากวิตะมินรวม RDA = 120 mcg 

ไอโอดีน กินเสริมได้จากอาหารเสริมไอโอดีน หรือวิตะมินรวม RDA = 150 mcg 

แมงกานีส  กินเสริมได้จากวิตะมินรวม RDA = 2 mg 

โมลิบดีนัม กินเสริมได้จากวิตะมินรวม RDA = 75 mcg 

โบรอน มักจะขาดในดินและอาหารส่วนใหญ่ ต้องการ 3 มิลลิกรัม

ซิลิกอน ต้องการ 10 มิลลิกรัม

VANADIUM ต้องการ 1000 mcg 

STRONTIUM ต้องการ 1000 mcg 

โคบอลต์ จำเป็นต่อการสร้างวิตะมินบี 12 ต้องการ 25 mcg 

GERMNIUM ต้องการ 100 mcg 

ดีบุก ต้องการ 30 mcg 

นิกเกิล ต้องการ 100 mcg 

GALLIUM ต้องการ 100 mcg 

CESIUM ต้องการ 100 mcg 


รายละเอียดเพิ่มเติม 
สืบค้นได้จากหนังสือ The Supplements You Need (2006)
Photo

น้ำมะนาวมีความเป็นกรดสูง จะละลายแคลเซียมออกจากผิวฟัน ทำให้ฟันกร่อน และกรดจากมะนาวยังระคายเคืองเหงือก อาจทำให้เหงือกอักเสบได้ เมื่อเคลือบฟันกร่อน ทำให้มีอาการเสียวฟันตามมา และการที่เคลือบฟันถูกทำลายจะเพิ่มโอกาสเกิดฟันผุได้ง่ายอีกด้วย
ส่วนเบคกิ้งโซดาเป็นสารที่มีความสามารถในการทำความสะอาด จึงสามารถกำจัดคราบต่างๆ ที่ติดบน ผิวฟัน รวมถึงคราบสีจากการดื่มน้ำชา กาแฟ จึงทำให้ฟันขาวสะอาดขึ้น แต่ไม่สามารถทำให้ฟันขาวจากเนื้อฟัน ข้างในได้

และมีข้อควรระวังในการใช้ ควรหลีกเลี่ยงในผู้ที่มีเหงือกอักเสบและเสียวฟันอยู่แล้ว นอกจากนี้ ยังห้ามใช้เบคกิ้งโซดาเป็นประจำต่อเนื่อง จะมีโอกาทำให้ฟันกร่อนได้เช่นกัน และเป็นข้อห้ามสำหรับผู้ที่ติดเครื่องมือจัดฟัน เบคกิ้งโซดาจะทำให้กาวยึดเครื่องมือจัดฟันอ่อนตัวและหลุดได้

http://www.thairath.co.th/content/458965

อาหาร โดยเฉพาะแคลเซียมที่ถือเป็นอาหารหลักของกระดูก แต่เมื่อเทียบกับกรรมพันธุ์จะส่งผลต่อความสูงได้มากกว่า โดยทั่วไปความสูงจะเริ่มชะลอการเพิ่มขึ้นในผู้หญิงที่อายุ 14 ปี ผู้ชาย 16 ปี หรือมากกว่าน้อยกว่าอย่างน้อย 1-2 ปี แต่เกือบทั้งหมดจะเริ่มหยุดสร้างการเจริญเติบโตที่ช่วงอายุดังกล่าว โดยส่วนสูงจะมาจากสองส่วนคือ ลำตัวท่อนบนจะเริ่มสร้างถึงอายุ 10 ปี ส่วนท่อนขาจะเริ่มยืดอย่างรวดเร็วที่อายุ 7-14 ปี เมื่อพ้นช่วงอายุดังกล่าวไปแล้วความสูงก็แทบจะไม่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการกินอาหารเสริมในผู้ใหญ่จึงไม่มีทางเป็นไปได้


http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/650232

แคลเซียมจากธรรมชาติ

ความสำคัญของแคลเซียม
แคลเซียมเป็นแร่ธาตุที่ มีมากที่สุดในร่างกายประมาณ 1.5–2% ของน้ำหนักตัว พบในกระดูกและฟัน 99% ที่เหลือจะอยู่ในเลือด ร่างกายของเราสร้างแคลเซียมเองไม่ได้ ต้องได้รับจากอาหารเท่านั้น

แคลเซียมมีหน้าที่สำคัญต่อสุขภาพ คือช่วยส่งเสริมพัฒนาการโครงสร้างกระดูกและฟันของทารกตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ช่วยเพิ่มน้ำนมให้กับมารดาหลังคลอด รักษาความหนาแน่นของกระดูก ทำให้กระดูกแข็งแรงในทุกช่วงวัย ลดความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนในวัยสูงอายุ นอกจากนี้ถ้าร่างกายได้รับแคลเซียมเพียงพอจะช่วยรักษาสมดุลของสารเคมีในเลือดให้ทำงานร่วมกันอย่างปกติ ป้องกันภาวะความดันโลหิตสูงลดการเกิดตะคริว

แหล่งอาหารของแคลเซียมจากธรรมชาติ พบมากในนมถั่วเหลืองที่เพิ่มแคลเซียม นมวัว และผลิตภัณฑ์จากนม เช่น โยเกิร์ต ชีส ปลาตัวเล็ก หรือสัตว์น้ำอื่นๆ ที่กินได้ทั้งกระดูก เช่น กุ้งฝอย ปู ธัญพืชต่างๆ เช่น ถั่วเหลือง ถั่วแดง เต้าหู้ ผักใบเขียวเข้ม ซึ่งร่างกายจะดูดซึมแคลเซียมจากพืชผักได้น้อยกว่านม
วางแผนการกินเพื่อให้ได้แคลเซียมที่เพียงพอ

ร่างกายต้องการแคลเซียมวันละ 800-1,000 มิลลิกรัม ซึ่งทำได้ไม่ยากโดยการดื่มนมวันละ 1-2 แก้ว โดยดื่มนมวัว 1 แก้ว สลับกับนมถั่วเหลืองเสริมแคลเซียมอีก 1 แก้ว ปลาที่กินทั้งกระดูกได้ 2 ช้อนกินข้าว ไข่ 3-4 ฟอง ต่อสัปดาห์ ธัญพืชต่างๆ วันละ 3-4 ช้อนโต๊ะ ผักใบเขียวมื้อละ 1 ทัพพี ผลไม้ 2-3 ชนิด และเลือกอาหารไทยๆ ที่มีกะปิเป็นส่วนประกอบ เช่น แกงเลียง ต้มส้ม แกงป่า และแกงเผ็ดต่าง ๆ เป็นต้น
เคล็ดลับการกินอาหารเพื่อรักษาคุณค่าของแคลเซียม ควรหลีกเลี่ยงอาหารบางชนิดที่จะขัดขวางการดูดซึมแคลเซียม

* เครื่องดื่มหรืออาหารที่มีคาเฟอีน เพราะคาเฟอีนจะทำให้ร่างกายขับแคลเซียมออกทางปัสสาวะเพิ่มมากขึ้น

* อาหารเค็มจัด เช่น ปลาร้า ไข่เค็ม เบคอน ปลาเค็ม อาหารเหล่านี้มีโซเดียมสูง ซึ่งจะขัดขวางการดูดซึมแคลเซียมที่ลำไส้เล็ก

* เนื้อสัตว์จำนวนมาก โปรตีนที่มากเกินไปจะไปสลายแคลเซียมมากขึ้น ควรบริโภคเนื้อสัตว์ในปริมาณที่พอเหมาะ

* แอลกอฮอล์ จะไปขัดขวางการดูดซึมแคลเซียมในร่างกาย

* อาหารที่มีน้ำมันมากเกินไป เพราะไขมันจะไปรวมกับแคลเซียมทำไห้ประสิทธิภาพของการดูดซึมลดน้อยลง

* กรดออกซาลิก (oxalic acid) พบมากในผักบางชนิด เช่น ผักโขม ใบชะพลู ผักปลัง หน่อไม้ฝรั่ง กรดออกซาลิกจะไปจับแคลเซียมที่มีในอาหาร ทำให้แคลเซียมถูกดูดซึมได้น้อยลง

Credit : HealthToday
Photo

สุขภาพแข็งแรงด้วย #แคลเซียม

ร่างกายทุกคนต้องการแคลเซียมเพื่อสุขภาพที่ดีและร่างกายที่แข็งแรง ความแข็งแรงของกระดูกและฟันของเรามาจากการได้รับแคลเซียมที่เพียงพอ ถ้าเราได้รับแคลเซียมไม่พอเพียง ร่างกายจะดึงแคลเซียมที่มีในกระดูกเรามาบำรุงเซลล์ ซึ่งในระยะยาวจะนำไปสู่ภาวะของโรคกระดูกพรุน

ดังที่เราจะสังเกตได้ว่า ผู้ใหญ่มักมีปัญหาเรื่องกระดูก เวลาที่ล้ม กระดูกจะหักง่าย เนื่องจากว่า แคลเซียมเป็นสิ่งที่เราต้องสะสม และเมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายจะผลิตแคลเซียมได้น้อยลง สิ่งที่ทำได้คือ รักษาปริมาณของแคลเซียมไม่ให้น้อยลง

ปริมาณของแคลเซียมที่เราควรได้รับในแต่ละวันคือ 1,000 มิลลิกรัม ถ้าเป็นผู้ใหญ่ก็อาจจะมากถึง 1,200 มิลลิกรัม พยายามรับแคลเซียมจากแหล่งที่มาของอาหารมากกว่าอาหารเสริม ให้อาหารเสริมทำหน้าที่เติมเต็มส่วนที่ขาดก็พอ รับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยแคลเซียม และหลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้แคลเซียมลดน้อยลง เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง เป็นต้น ออกกำลังกายด้วยการยกน้ำหนักบ้าง รับประทานอาหารเสริมที่ช่วยการทำงานของแคลเซียมให้ดียิ่งขึ้นอันได้แก่ แมกนีเซียม วิตามินดี และวิตามินเค

อาหารที่อุดมไปด้วยแคลเซียมนั้นหลัก ๆ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ที่มาจากนม เช่น นม โยเกิร์ต ชีส พืชผัก เช่น คะน้า เซเลอรี่ บรอกโคลี ผักกาด หน่อไม้ฝรั่ง และถั่วต่าง ๆ เช่น ถั่วดำ ถั่วแดง ถั่วขาว เป็นต้น

กระดูกและฟันเปรียบเหมือนเสาบ้าน ถ้าเราอยากให้ร่างกายเราเป็นเหมือนบ้านที่แข็งแรง อย่าลืมให้ความสำคัญกับแคลเซียมนะครับ.

Cr. พล ตัณฑเสถียร
Photo

กรดออกซาลิก มีอยู่ในผักหลายชนิด ได้แก่ ใบชะพลู ยอดพริกชี้ฟ้า ผักปลัง ผักโขม ผักชีฝรั่ง ผักกระเฉด หัวไชเท้า ใบโหระพา หน่อไม้ฝรั่ง บรอกโคลี ผักกาด แครอท มันสำปะหลัง ดอกกะหล่ำ มะเขือ กระเทียม

ในผักบางชนิดนอกจากจะมีกรดออกซาลิกมากแล้ว จะมีแคลเซียมอยู่ในตัวมันเองเยอะด้วย ก็ยิ่งจะรวมตัวกัน และทำให้เกิดนิ่วได้ง่ายขึ้น

ส่วนผลไม้ที่มีกรดออกซาลิก ได้แก่ สับปะรด กล้วยไข่ พุทรา 

กรดออกซาลิกจะชอบไปจับแคลเซียม ทำให้เกิดแคลเซียมออกซาเลตได้ง่าย ยิ่งในปัจจุบันคนชอบกินแคลเซียมเม็ด กรดออกซาลิกก็จะไปจับกับแคลเซียมที่กินเข้าไป หรือไปจับกับแคลเซียมในกระดูก ทำให้เกิดผลึกนิ่ว กระดูกงอก กระดูกย้อย พอกระดูกของคนเราถูกดึงแคลเซียมออกไป กระดูกก็จะพรุนง่าย ทำให้มีหินปูนงอกตามเนื้อเยื่อต่าง ๆ เอกซเรย์แล้วอาจจะเจอกระดูกงอกตรงนั้นตรงนี้ กลายเป็นก้อนนิ่วเลยก็ได้ 

คนที่กินแคลเซียมเม็ด ก็ไม่ควรกินผักที่มีกรดออกซาลิก หรือถ้ากินผักที่มีกรดออกซาลิก ก็ไม่ควรกินร่วมกับอาหารที่มีแคลเซียม ดังนั้นการกินผัก ผลไม้ ที่มีกรดออกซาลิก ไม่ควรกินในปริมาณที่มากเป็นกิโลกรัม หรือกินติดต่อกันเป็นเวลานาน หรือกินร่วมกับอาหารที่มีแคลเซียม 

 ภาวะไตวายจากมะเฟืองไม่ได้พบบ่อยในคนปกติ แต่จะพบได้หากผู้ที่รับประทานอยู่ในช่วงที่ขาดน้ำ ไตมีการทำงานที่ไม่ดีอยู่เดิม หรือรับประทานเข้าไปในรูปแบบของน้ำคั้นในปริมาณที่มาก ดังนั้นผู้ที่มีโรคไตอยู่เดิมหรือมีโรคประจำตัวที่ทำให้ไตเสื่อม จึงควรระมัดระวังการใช้มะเฟือง หรือหากต้องการรับประทานมะเฟืองก็ควรเลือกมะเฟืองหวานซึ่งมีปริมาณออกซาเลตต่ำกว่ามะเฟืองเปรี้ยว

หลักสำคัญในการกิน คือ กินอาหารที่หลากหลาย ไม่ควรกินอะไรซ้ำ ๆ โดยเฉพาะยอดผัก มีสีเขียวจัด กลิ่นฉุน กลิ่นแรง.

"กรดออกซาลิก"ในผัก ผลไม้
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=bubujung&month=02-2009&date=05&group=2&gblog=184

อันตรายจากมะเฟืองต่อโรคไต
http://www.ganomedicals.com/อันตรายจากมะเฟืองต่อโรคไต.aspx

ใช้พืชสมุนไพรอย่างไรให้ปลอดภัยกับไตของเรา
http://health.kapook.com/view98462.html
Photo

อาหารรักษามวลกระดูก ป้องกันภาวะกระดูกพรุน

กระดูกในร่างกายของเราประกอบด้วย 2 ส่วนสำคัญ คือ กระดูกส่วนนอก และ กระดูกส่วนใน เมื่อคนเรามีอายุที่มากขึ้น มวลกระดูกจะมีความหนาแน่นลดน้อยลง ทำให้ความแข็งแรงของกระดูกลดลง กระดูกจึงเปราะ แตก หรือหักได้ง่ายมากขึ้น ซึ่งก่อให้เกิดโรคกระดูกพรุนตามมา เป็นเรื่องอันตรายและทรมาน โดยเฉพาะสำหรับผู้สูงอายุ ที่มวลกระดูกไม่ได้ดี หรือหนาแน่นเหมือนเมื่อวัยหนุ่มสาว

ความหนาแน่นของมวลกระดูก

ตั้งแต่ช่วงวัยเด็กจนถึงช่วงก่อนอายุ 30 ปี มวลกระดูกจะมีความหนาแน่นมากที่สุด แต่เมื่ออายุ 30 ปีขึ้นไปแล้ว ความหนาแน่นของกระดูกจะเริ่มลดลง การสลายของกระดูกจะเร็วกว่าการสร้าง ทำให้กระดูกบางลงและอ่อนแอ การตรวจความหนาแน่นของมวลกระดูก (Bone Mineral Density) หรือ BMD จะช่วยให้เรารู้ถึงความหนาแน่นของกระดูกในส่วนต่างๆ ของร่างกาย การตรวจวินิจฉัยจะใช้วิธีการตรวจทางรังสีที่เรียกว่า Bone Densitometer การตรวจมวลกระดูกสามารถตรวจได้ตั้งแต่อายุ 20 ปีขึ้นไป และผู้ที่อาจประสบกับภาวะกระดูกพรุนได้ง่าย ซึ่งภาวะกระดูกพรุนคือภาวะที่ความหนาแน่นของกระดูกลดลง โครงสร้างของกระดูกเสื่อมลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่อยู่ในผู้สูงอายุ และวัยหมดประจำเดือน ซึ่งเป็นช่วงที่กระดูกเกิดภาวะเสื่อมตามวัย กระดูกเปราะบาง มีโอกาสหักได้ง่าย

โดยปัจจัยที่ส่งเสริมทำให้เกิดภาวะกระดูกพรุนได้ง่ายขึ้นคือ ผู้หญิงที่เข้าสู่วัยหมดประจำเดือน เพราะรังไข่หยุดการทำงาน การผลิตฮอร์โมนจะลดลง โดยเฉพาะฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) ร่างกายของผู้หญิงจะเกิดการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมาก การได้รับแคลเซียมหรือวิตามินดีน้อย การดื่มสุรา และการสูบบุหรี่ รวมถึงน้ำอัดลม ปัจจัยทางด้านพันธุกรรมรวมถึงโรคประจำตัวบางชนิด และการใช้ยาในกลุ่มสเตียรอยด์ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน

ปกป้องมวลกระดูกด้วยอาหาร

กระดูกของคนเรามีการพัฒนาและค่อยๆ เติบโตตั้งแต่เรายังอยู่ในครรภ์ของแม่ ไปจนถึงอายุ 25-30 ปี เพราะฉะนั้นการเลือกบริโภคอาหารเพื่อรักษาความหนาแน่นของมวลกระดูก และเป็นการสะสมแคลเซียมตั้งแต่เนิ่นๆ ก็เป็นการช่วยให้มวลกระดูกแข็งแรงตามที่ควรจะเป็น การปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร เพื่อมวลกระดูกเสียแต่วันนี้ ป้องกันปัญหาเกี่ยวกับกระดูกในอนาคต การเลือกรับประทานอาหารที่มีวิตามินแร่ธาตุช่วยในการบำรุงกระดูก ก่อนอื่นเราต้องดูก่อนว่า แร่ธาตุชนิดใดที่มีความสำคัญต่อกระดูกกันบ้าง

1.แคลเซียม (Calcium) แคลเซียมเป็นแร่ธาตุสำคัญที่มีมากในร่างกาย พบได้มากในกระดูกและฟัน ช่วยในการป้องกันและรักษาโรคกระดูกพรุน การเสริมแคลเซียมด้วยอาหาร พบมากในอาหารประเภท นมสด ปลาเล็กปลาน้อย กุ้งแห้ง งาดำ ผักใบเขียว เต้าหู้ เป็นต้น

การดูดซึมแคลเซียมขึ้นอยู่กับระดับของวิตามินดีในร่างกาย ถ้าร่างกายขาดวิตามินดี หรือวิตามินดีอยู่น้อย ร่างกายก็จะดูดซึมแคลเซียมได้น้อยเช่นกัน ดังนั้น วิธีการที่จะทำให้ร่างกายได้รับวิตามินดีเพิ่มมากขึ้น คือ ควรให้ร่างกายได้รับแสงแดดบ้าง

2.ไนอะซีน (Niacin) จัดอยู่ในกลุ่มวิตามินบี ร่างกายสามารถสังเคราะห์วิตามินชนิดนี้ได้จากโปรตีนในอาหารที่รับประทานเข้าไป โดยจะทำหน้าที่ช่วยน้ำย่อยในการเผาผลาญอาหารประเภทโปรตีน ให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารที่มีประโยชน์ มีส่วนสำคัญในการดูดซึมแคลเซียม สามารถพบได้ในอาหารประเภท ผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ ปลา เป็ด ไก่ เป็นต้น

3.แมงกานีส (Manganese) ทำหน้าที่ในการกระตุ้นเอนไซม์จำเป็น มาใช้ให้เกิดประโยชน์กับร่างกาย ช่วยในการปกป้องกระดูกไม่ให้สูญเสียแคลเซียมมากเกินไป นอกจากนี้ประโยชน์อื่นๆ ของแมงกานีสคือ ช่วยเรื่องการตอบสนองของกล้ามเนื้อ ให้สามารถยืดหดตัวได้ดี ช่วยให้ความจำดีลดอาการหงุดหงิด พบได้ในอาหารประเภท ผักใบเขียว ผักกะหล่ำ ไข่ ตับ ถั่ว เนื้อสัตว์ และ อาหารทะเล เป็นต้น

4.วิตามินดี (Vitamin D) ทำหน้าที่เสริมในการดูดซึมแคลเซียม และฟอสฟอรัสให้กับกระดูกและฟัน ปกติแล้วร่างกายเราได้รับวิตามินดีจากรังสีอัลตราไวโอเลตที่มากับแสงแดด โดยจะทำปฏิกิริยากับผิวหนัง เกิดการสร้างวิตามินดี นอกจากนี้วิตามินดียังพบได้ในอาหารประเภท น้ำมันตับปลา ปลาทูน่า และปลาแซลมอน เป็นต้น

5.ฟอสฟอรัส (Phosphorus) เป็นแร่ธาตุที่อยู่ภายในเซลล์ทั่วร่างกาย โดยทำงานร่วมกับแคลเซียมในรูปของแคลเซียมฟอสเฟต ทำหน้าที่ช่วยรักษาสมดุลกรดด่างของของเหลวในเซลล์ ทั้งยังช่วยในการปกป้องกระดูกและฟัน แหล่งอาหารที่มีฟอสฟอรัสคือ อาหารที่มีปริมาณแคลเซียมสูง ปลาเล็กปลาน้อย (ที่สามารถรับประทานได้ทั้งตัว) เนยแข็ง ถั่วต่างๆ

ดังนั้น เราควรปกป้องมวลกระดูกของเราตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อป้องกันภาวะกระดูกพรุน หรือเสี่ยงต่อกระดูกแตกหักได้ง่าย เมื่อวัยสูงขึ้น การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะอาหารที่บำรุงแคลเซียม เสริมสร้างความแข็งแรงให้กระดูก จึงเป็นวิธีที่ใกล้ตัวที่สามารถปฏิบัติได้ แต่ก็ต้องทำเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อผลดีกับกระดูกของเราในระยะยาว...
Cr.ข่าวhttp://health.haijai.com/3934/
Photo

อาการที่สำคัญของข้อเข่าเสื่อม ได้แก่ ปวดข้อ ข้อฝืด มีปุ่มกระดูกงอก มีเสียงดังกรอบแกรบเมื่อเคลื่อนไหว หรือเคลื่อนไหวได้ลดลง มักเป็นเรื้อรังและปวดมากขึ้นเมื่อใช้งานในท่างอเข่า การขึ้นลงบันได หรือลงน้ำหนักบนข้อนั้นๆ และทุเลาลงเมื่อพักการใช้งาน หากการดําเนินโรครุนแรงขึ้นอาจปวดตลอดเวลา แม้เวลากลางคืนหรือขณะพัก

การรักษาข้อเข่าเสื่อมแบบไม่ใช้ยา เริ่มแรกจะเกี่ยวกับการปรับพฤติกรรม และการลดน้ำหนัก ส่วนยาที่ใช้จะเป็นยาบรรเทาปวดตามอาการ หรือยาที่มีผลต่อกระดูกอ่อน หรือน้ำไขข้อ เช่น glucosamine

แคลเซียมไม่ได้เป็นยาที่แนะนำให้ใช้ในกรณีเพื่อรักษาหรือป้องกันภาวะข้อเข่าเสื่อม แต่แคลเซียมเป็นยาที่มีประโยชน์ ในกรณีใช้รักษาหรือป้องกันโรคกระดูกพรุน (osteoporosis) ซึ่งเป็นภาวะที่เกิดได้มากขึ้นเพื่ออายุเพิ่มสูงขึ้น และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในหญิงวัยหมดประจำเดือน ขนาดแคลเซียมที่แนะนำให้รับประทานแต่ละวันก็จะแตกต่างกันไป โดยทั่วไปปริมาณแคลเซียมที่แนะนำในผู้ใหญ่จะเป็น 800 มิลลิกรัมต่อวัน แต่หากอายุมากกว่า 50 ปี แนะนำเป็น 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน


http://www.pharmacy.mahidol.ac.th/dic/qa_full.php?id=3839

ถามเรื่อง calcium บำรุงกระดูก เช่นในสตรีวัยหมดประจำเดือน หรือผู้ที่ขาดแร่ธาตุ calcium ต้องกินก่อนอาหาร พร้อมอาหาร หรือหลังอาหารครับ

ตอบ แคลเซียมกินเพื่อบำรุงกระดูกควกินหลังอาหาร 1-1.5 ชั่วโมง 
เนื่องจากต้องการกรดเพื่อช่วยในการดูดซึม 
แต่ที่ต้องรอไปสัก 1-1.5 ชั่วโมงก็เพื่อหลีกเลี่ยงฟอสเฟตจากอาหาร 
เนื่องจากแคลเซียมอาจจะจับกับฟอสเฟตทำให้ไม่ดูดซึม

การกินหลังอาหารทันทีนอกจากจะทำให้แคลเซียมดูดซึมน้อยแล้ว 
ยังอาจจะทำเกิดแร่ธาตุฟอตเฟสในเลือดต่ำได้

นอกจากนี้ต้องหลีกเลี่ยงการดื่มร่วมกับนมด้วย เนื่องจากนมก็เป็นแหล่งของฟอสเฟตที่สำคัญเช่นเดียวกัน

แคลเซียมควรกินแยกกับธาตุเหล็ก ยา Tetracycline ยาในกลุ่ม Quinolone อย่างน้อย 2 ชั่วโมง ก่อน หรือหลังก็ได้

ส่วนในผู้ป่วยโรคไต ต้องกินแคลเซียมพร้อมอาหาร เพื่อให้จับกับฟอสเฟตในอาหาร เป็นการกำจัดฟอสเฟตเกิน

http://drug.pharmacy.psu.ac.th/Question.asp?ID=12735&gid=10
http://www.ninerx.com/smf/index.php?topic=1887.0
Photo

เซนทรัมวิตามินและเกลือแร่รวมที่จำเป็น 22 ชนิด พร้อม เบต้า-แคโรทีน, ลูทีน และ ไลโคปิน

ส่วนประกอบ ที่สำคัญใน 1 เม็ด
- ลูทีน 5% 100 mg.
- ไลโคปีน 10% 6 mg.
- เบต้า แคโรทีน 3.6 mg.
- ซิงก์ ออกไซด์ 9.3 mg.
- กรดแอสคอร์บิก 53.6 mg.

- ไดแคลเซียม ฟอสเฟต แอนไฮดรัส 548. 97 mg.
- แคลเซียม คาร์บอเนต 100.7 mg.
- แมกนีเซียม ออกไซด์ 92.8 mg.
- เฟอร์รัส ฟิวมาเลต 31.4 mg.
- ดีแอล แอลฟา โทโค เฟอริล แอซีเทต 24 mg.
- ไนอะซินาไมด์ 15 mg.
- แมงกานีสซัลเฟต โมโนไฮเดรต 9.8 mg.
- ดี แพนโททีเนต, แคลเซียม 5.4 mg.
- ไบโอติน 1% 4.5 mg.
- ไพริดอกซิน ไฮโดรคลอไรด์ 1.6 mg.
- ไรโบฟลาวิน 1.4 mg.
- คิวพริกซัลเฟต แอนไฮดรัส 1.25 mg.
- ไทอะมีน โมโนไนเตรต 1.2 mg.
- วิตามินดี3 100% 1.2 mg.
- วิตามินเอ แอซีเทต 1 mg.
- วิตามินเค 5% 0.5 mg.
- โครเมียม พิโคลิเนต 0.28 mg.
- วิตามินบี12 1% 0.15 mg.
- กรดโฟลิก 0.14 mg.
- โซเดียม ซีลีเนต 0.13 mg.
Photo

นมถั่วเหลืองเป็นนมที่เตรียมจากถั่วเหลืองซึ่งผู้ผลิตเตรียมให้มีความเข้มข้นของโปรตีนใกล้เคียงกับนมวัว เป็นนมที่มีประโยชน์ เพราะได้โปรตีนและสารอาหารต่างๆ มากมาย ใช้แทนนมวัวได้ ยกเว้นมีแคลเซียมน้อยกว่านมวัว ไขมันในนมถั่วเป็นไขมันจากพืชซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่าไขมันที่ได้จากนมวัว แต่มีความเข้มข้นของแคลเซียมต่ำกว่านมวัว นมถั่วมีกากใยมากกว่า กินวันละ 2 กล่องดีแล้ว เลือกซื้อชนิดที่เสริมแคลเซียม คนท้องผูกบางคนกินนมถั่วช่วยให้ถ่ายสะดวกขึ้น

http://child.haijai.com/3070/

"กระดูกพรุน" ภัยร้ายใกล้ตัวที่ไม่แสดงอาการ รู้ตัวก็สายแล้ว
updated: 26 ก.ค. 2556 เวลา 15:27:36 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1374827243

1.) ช่วงการสร้างมวลกระดูกเริ่มต้นเมื่อแรกเกิดจนถึงอายุประมาณ 30 ปี

2.) ช่วงการคงมวลกระดูกเมื่ออายุ 30 – 45 ปี

3.) ช่วงการสลายมวลกระดูกเมื่ออายุ 45 ปีขึ้นไป โดยการสร้างกระดูกใช้เวลานานถึง 4 เดือน ในขณะที่แคลเซียมปริมาณเท่ากันถูกดึงออกจากกระดูกในระยะเวลาเพียง 4 สัปดาห์เท่านั้น ดังนั้น การได้รับแคลเซียมจากอาหารในปริมาณที่เหมาะสมตั้งแต่วัยเด็กจนวัยชราจะช่วยดูแลสุขภาพของกระดูกได้ดี และช่วยลดความเสี่ยงของปัญหากระดูกบางปัญหาได้ โดยช่วงอายุที่กระดูกดูดซึมแคลเซียมได้ดีที่สุดคือ 18 - 30 ปี
PhotoPhotoPhoto
2013-07-29
3 Photos - View album

Public
2w
อยากสุขภาพดี ไร้โรคภัย ต้องหมั่นทานผัก 10 ชนิดนี้

พืชผักสวนครัวพื้นบ้าน 10 ชนิด... ที่น่าปลูกประจำบ้าน

1. ผักกาดขาว : ช่วยระบบย่อยอาหาร ขับปัสสาวะ แก้ไอ มีโฟเลตสูง ช่วยบำรุงคุณแม่ตั้งครรภ์

2. ต้นหอม : มีน้ำมันหอมระเหย ช่วยบรรเทาอาการหวัด และมีสารฟลาโลนอยด์ช่วยต้านมะเร็ง


3. หอมหัวใหญ่ : ช่วยลดอาการของโรคหัวใจ ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

4. คะน้า : มีแคลเซียมและสารต้านอนุมูลอิสระสูง ป้องกันโรคกระดูกพรุน และมะเร็ง

5. ตำลึง : มีวิตามินเอสูง ซึ่งดีต่อดวงตา พร้อมเส้นใยจับไนเตรต ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็งในกระเพาะอาหาร

6. มะระ : มีแคลเซียม ฟอสฟอรัส เป็นยาระบายอ่อนๆ ถ้านำมาคั้นน้ำดื่มจะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด

7. บัวบก : มีวิตามินบีสูง ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย บำรุงสมองและความจำ บำรุงผิวพรรณ ลดอาการอักเสบ

8. ชะอม : ช่วยลดความร้อนในร่างกาย ขับลมในลำไส้ มีเส้นใยคอยจับอนุมูลอิสระ

9. ถั่วพู : มีโปรตีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส และสารช่วยย่อยกรดไขมันอิ่มตัว

10. ผักชี : ช่วยขับลม บำรุงธาตุ ย่อยอาหาร มีน้ำมันหอมระเหย แก้หวัด มีวิตามินเอและซีสูง ประโยชน์ขนาดนี้ แล้วเราจะไม่ลองดูกันบ้างหรือคับ ^_^
Photo

ประโยชน์ใน `พริกไทยเม็ดเล็ก`

ขอนำประโยชน์ดีๆ กับเครื่องเทศใกล้ๆ ตัว ที่ถูกใช้เป็นเครื่องปรุงใส่ลงในอาหารให้เราได้รับประทานกันแทบทุกวัน นั่นก็คือ พริกไทย เครื่องเทศมากประโยชน์ชนิดนี้ มาดูกันดีกว่าว่า เจ้าพริกไทยเม็ดเล็กๆนี้ จะมีประโยชน์ต่อร่างกายเราอย่างไรบ้าง

คุณค่าทางด้านโภชนาการของพริกไทย
1. มีแคลเซียมในปริมาณที่สูงมาก โดยเฉพาะพริกไทยอ่อน ซึ่งแคลเซียมเป็นส่วนสำคัญในการบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรงอยู่เสมอ และแคลซียม ยังสามารถป้องกันการเกิดภาวะกระดูกพรุนได้อีกด้วย
2. มีฟอสฟอรัส วิตามินซี ซึ่งวิตามินซีนั้นเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ชะลอการเสื่อมสภาพของเซลล์ ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง
3. มีเบต้าแคโรทีน ซึ่งเป็นวัตถุดิบตั้งต้นในการสร้างวิตามินเอ และมีส่วนช่วยในการมองเห็น
4. มีสารที่ชื่อว่า ไปเปอรีน และ ฟินอลิกส์ ซึ่งทั้งคู่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และมีสรรพคุณในการป้องกันมะเร็ง

สรรพคุณของพริกไทย
ตำรายาจีนใช้พริกไทยแก้ปวดท้อง ท้องเดินจากโรคอหิวาต์ โรคมาลาเรีย และแก้ไข้ ส่วนน้ำมันพริกไทยดำ (blackpepper oil) มีสารชื่อ พิเพอรีน (piperine) กลิ่นฉุนจัด ระคายเคืองต่อผิวหนัง เมื่อใช้ต้องเจือจาง สำหรับสูดดมหรือทาถูช่วยลดอาการหนาวสั่นจากหวัดและไข้หวัดใหญ่ ทำให้หายใจโล่งและช่วยฆ่าเชื้อโรค ผสมน้ำมันนวดบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อ กลิ่นพริกไทยมีฤทธิ์กระตุ้นความสนใจสภาพแวดล้อม ให้ตื่นตัวเสมอ เพิ่มพลังใจ และความเข้มแข็ง ตำรายาอินเดีย ใช้กลั้วคอ แก้เจ็บคอ ลดไข้ แก้หวัด ปวดท้อง ท้องเสีย ปวดประจำเดือน คลื่นไส้ อาหารไม่ย่อย


https://www.facebook.com/OuayUn/photos/a.196916776996486.44415.150176071670557/857531757601648/ 
Photo
Shared publicly
    Add a comment...

    น้ำมันงาขี้ม้อน มีโอเมก้า3 สูงถึงร้อยละ 56 และเป็นโอเมก้า6 อีกร้อยละ 23 โดยมีข้อมูลที่ระบุว่างาขี้ม้อนเป็นพืชเพียงชนิดเดียวที่มีโอเมก้า3 และยังมีปริมาณของโอเมก้า3 มากกว่าน้ำมันปลาจากปลาทะเลน้ำลึกหลายเท่าตัว มีสรรพคุณช่วยบำรุงสมอง ลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ช่วยควบคุมระดับคอเลสตอรอลไม่ให้มีมากมากจนเกินไป ช่วยป้องกันไม่ให้หลอดเลือดแข็งตัว ป้องกันโรคหัวใจและโรคที่เกี่ยวข้องกับหลอดเลือดบางชนิด และยังช่วยแก้อาการไม่สบายต่าง ๆ ที่เกิดจากระบบประสาท 

    งาขี้ม้อนอุดมไปด้วยวิตามินบี ธาตุฟอสฟอรัส และธาตุแคลเซียมสูงกว่าพืชผักทั่วไปหลายเท่านัก โดยมีปริมาณแคลเซียมประมาณ 410-485 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม

    งาขี้ม้อนยังมีสารเซซามอล (Sesamol) ซึ่งเป็นสารที่ช่วยป้องกันโรคมะเร็งและช่วยทำให้ร่างกายแก่ช้าลงอีกด้วย

    http://www.doa.go.th/pibai/pibai/n15/v_3-apr/kayaipon.html

    มารู้จักกับผลไม้ตระกูล เบอร์รี่ ของไทยกันคะ

    "ประโยชน์ดีๆ จากเบอร์รี่ไทย"

    หากพูดถึง “ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่” เพื่อนๆ จะนึกถึงผลไม้ชนิดใดเป็นอันดับแรกๆคะ สตรอเบอร์รี่ บูลเบอร์รี่หรือราสเบอร์รี่ ที่ส่วนใหญ่จะต้องนำเข้าจากต่างประเทศ แต่ที่จริงแล้วบ้านเราก็มีเบอร์รี่แบบไทยๆ ที่มากด้วยประโยชน์ไม่แพ้ผลไม้นำเข้า แถมยังราคาถูก แล้วบางทีอาจจะหาได้ง่ายใกล้ตัวมากกว่าอีกด้วย งั้นมาดูกันค่ะว่าเรานำเบอร์รี่แบบไทยๆชนิดไหนมากฝากเพื่อนๆ กันบ้าง

    1. "ลูกหม่อน"
    ลูกหม่อนหรือจะเรียกเก๋ๆ อีกชื่อว่า “มัลเบอร์รี่” รูปทรงเรียวยาวผลที่ยังไม่แก่จัดมีสีแดง รสชาติเปรี้ยว เมื่อสุกจะมีสีแดงเข้มจนดำ รสหวาน จัดเป็นสุดยอดเบอร์รี่ก็ว่าได้เพราะลูกหม่อน 100 กรัม มีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าบลูเบอร์รี่ 2-3 เท่า และจากงานวิจัยพบว่าสารสกัดจากลูกหม่อนสามารถช่วยควบคุมความหิว ควบคุมน้ำหนักได้อีกด้วย

    2. "มะยม" แค่ได้ยินชื่อน้ำลายก็สอกันแล้วใช่ไหมคะ มะยมรสเปรี้ยวๆ หวานๆ อมฝาดนิดๆ อุดมไปด้วยวิตามินซี และสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยชะลอวัย และความเสื่อมของเซลล์ต่างๆ ในร่างกายได้ ช่วยให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติและลดการสะสมของเสียในร่างกาย

    3. "มะขามป้อม" สมุนไพรหรือผลไม้เพื่อสุขภาพ มีรสฝาดอมเปรี้ยวแต่เมื่อดื่มน้ำตามจะชุ่มคอ แก้กระหาย สรรพคุณที่เด่นชัดของมะขามป้อมคือมีวิตามินซีสูงมาก โดยมะขามป้อม 1 ผล จะมีปริมาณวิตามินซีเท่ากับส้ม 1-2 ผลเลยทีเดียว และมีแร่ธาตุอีกหลายชนิดที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก เป็นต้น ถึงแม้ว่าผลสดจะทานยากเนื่องจากมีรสฝาด วิธีการทานให้อร่อยขึ้นด้วยการผ่าเอาแต่เนื้อมะขามป้อม ปรุงรสด้วยน้ำตาลทราย เกลือและพริกป่น แค่นี้ก็อร่อยลืมเลยล่ะค่ะ

    4. "เชอร์รี่ไทย" ผลไม้ลูกเล็กๆ สีแดงสดสวย มีรสชาติ และกลิ่นที่เฉพาะตัวแบบไทยๆ อุดมไปด้วยวิตามินซี วิตามินเอ เบต้าแคโรทีน ไลโคปีน และยังมีสารสำคัญในกลุ่มแอนโทไซยานินซึ่งช่วยลดอาการอักเสบและเจ็บปวดกล้ามเนื้อได้ ช่วยบรรเทาอาการซึมเศร้าได้ ถ้ากินเป็นประจำจะทำให้อารมณ์ดีและกระปรี้กระเปร่า

    5. "ลูกหว้า"
    ลูกหว้า ผลไม้ที่ได้ยินชื่อบ่อยๆแต่หาทานได้ยาก มีรสชาติออกเปรี้ยวหวานอมฝาดเล็กน้อย ผลสุกจะมีสีม่วงเข้มจนถึงดำคล้ายองุ่น เห็นลูกเล็กๆ แบบนี้แต่มีสารต้านอนุมูลอิสระช่วยชะลอวัย ธาตุเหล็กเสริมสร้างกระดูกและฟัน และช่วยลดอัตราความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจได้ด้วย

    6. "ตะขบ"
    ตะขบลูกเล็กๆ รสหวานหอม มีใยอาหารสูงช่วยดูดซับคอเลสเตอรอล ลดความเสี่ยงการเป็นมะเร็งและเส้นเลือดอุดตัน พร้อมแร่ธาตุจัดเต็มอย่างโพแทสเซียม แคลเซียม ฟอสฟอรัสที่ช่วยบำรุงกระดูก ตะขบยังมีสารสีแดงอย่างสารไลโคปีน ที่มีอยู่ในมะเขือเทศช่วยต้านอนุมูลอิสระ ปกป้องและชะลอความเสื่อมของเซลล์ไม่ให้แก่เร็ว

    7. "มะเม่าหรือหมากเม่า" ผลไม้พื้นบ้านพบมากทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ผลเล็กๆ เกาะกันเป็นพวงคล้ายพวงองุ่น สีแดงสดเมื่อสุกจะแดงเข้มจนดำ นิยมนำมาแปรรูปเป็นน้ำผลไม้ ไวน์และแยม มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงเช่นเดียวกับเบอร์รี่ทั้งหลาย แต่พิเศษตรงที่มีธาตุเหล็กสูงจึงใช้ผลไม้ชนิดนี้ในการรักษาภาวะโลหิตจางและบำรุงเลือดได้ด้วย มีประโยชน์ต่อสุขภาพผู้หญิงอย่างเราๆ มากเลยทีเดียวค่ะ

    8. "มะเกี๋ยง" ผลไม้พื้นบ้านทางภาคเหนือ ลักษณะคล้ายลูกหว้าแต่มีขนาดเล็กกว่า มีสีม่วงออกแดง รสเปรี้ยว นอกจากมีวิตามินซีสูงแล้วยังมีสารประกอบฟีนอลิกที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระที่กระตุ้นให้เกิดเซลล์มะเร็ง บำรุงประสาทและช่วยในการดูดซึมวิตามินบี 12

    9. "โทงเทงฝรั่ง"
    เป็นพืชจำพวกหญ้าจัดเป็นพืชตระกูลมะเขือ พริก มีชื่อเรียกแตกต่างกันในแต่ละท้องถิ่น เช่น บ่าตอมต๊อก (ภาคเหนือ), หญ้าเถาเถง (ภาคกลาง), ปุงปิง (ภาคใต้) ลักษณะเป็นลูกเล็กสีเหลืองสวยแปลกตา เพราะมีกลีบสีน้ำตาลหุ้มอยู่รอบผล มีรสเปรี้ยวอมหวานและกลิ่นหอม อุดมไปด้วยวิตามินซี ช่วยให้สายตาดี ผมสวย ผิวสวย มีวิตามินเอ วิตามินบี และสารแคโรทีนอยย์สูงป้องกันการเกิดเซลล์มะเร็ง และโรคหัวใจอีกด้วย นอกจากหน้าตาสวยแล้วประโยชน์ก็มีมากด้วย

    ไม่ว่าจะเป็นผลไม้ไทยหรือต่างประเทศ ต่างก็มีประโยชน์ไม่แพ้กัน และจะให้ดีเลือกทานผลไม้แบบสดๆ ที่ปราศจากน้ำตาลจากการแปรรูปนั้นจะดีที่สุดค่ะ

    Cr: dailynews , http://www.sharp-weeclub.com/blog/blog-detail.aspx?id=4&bid=271

    สารอาหารสำหรับคุณพ่อคุณแม่วัย 40 ปีขึ้นไป อยากให้ท่านมีสุขภาพแข็งแรงฟิตเปรี๊ยะ ต้องให้ท่านได้รับ วิตามินอี + วิตามินซี + โคเอ็นไซม์ คิวเทน + เบต้าแคโรทีน + น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส (สำหรับคุณแม่) + แคลเซียม + สังกะสี (สำหรับคุณพ่อ)

    “วัยทอง” ควรได้รับวิตามินซี, โคเอ็นไซม์ คิวเทน และเบต้าแคโรทีน เพื่อเสริมฤทธิ์วิตามินอี รวมถึง น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส เพื่อลดอาการร้อนวูบวาบ และเพิ่มความชุ่มชื่นให้ผิวพรรณ ในขณะที่แคลเซียมก็เป็นอีกสารอาหารสำคัญ เพื่อป้องกันภาวะกระดูกพรุน

    http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1418892463

    ผู้หญิงจะเข้าสู่วัยรุ่นในช่วงอายุ 11.5 ปี จนถึง 16 ปี ส่วนผู้ชายตั้งแต่อายุ 13 ปี จนถึง 20 ปี คนที่มีลูกสาวจึงควรเตรียมตัวตั้งแต่เนิ่น ๆ  

    โดยเฉลี่ยแล้วความสูงของลูกนั้นมีสูตรคำนวณ คือ 
    เด็กชาย = (ความสูงของพ่อ + ความสูงของแม่ + 13) หาร 2 ความสูงที่ควรจะเป็น + 8 
    เด็กหญิง = (ความสูงของพ่อ + ความสูงของแม่ - 13) หาร 2 ความสูงที่ควรจะเป็น + 6

    การเพิ่มความสูงจะต้องใช้กีฬาหรือกิจกรรมที่มีความโลดโผนและกระโดด เช่น บาสเกตบอล กระโดดไกล โหนบาร์ ฯลฯ ระยะเวลา 20-30 นาที 3-5 วันต่อสัปดาห์ ทั้งนี้เพราะกระดูกจะไม่เหมือนกับอวัยวะอื่น ๆ ต้องมีแรงกระแทกจึงจะทำให้กระดูกยืดตัวขึ้น นอกจากนั้นเด็กที่อายุน้อยกว่า 20 ปี ไม่ควรจะเล่นกล้าม หรือเล่นกีฬาที่หนัก ๆ เช่น ว่ายน้ำ หรือเทนนิส ฯลฯ เพราะจะทำให้สรีระหรือแขนขาไม่เท่ากัน ควรเล่นแต่พอดี อย่าหักโหมเกินไป หรือใช้แขนขาในการเล่นให้เท่า ๆ กันทั้ง 2 ข้าง  

    วัยรุ่นมีความต้องการแคลเซียมวันละ 1,200-1,500 ม.ล. ซึ่งได้จากนมวันละ 3 กล่องเป็นอย่างน้อย อาจจะเสริมด้วยแคลเซียม  โดยเริ่มให้ในเด็กวัยตั้งแต่ 8 ขวบขึ้นไป วันละ 500 ม.ก. 

    http://www.doctor.or.th/article/detail/6641
    http://www.oknation.net/blog/556644/2010/11/01/entry-5
    http://www.get180up.net/ปัจจัยที่ทำให้สูงใครอยe/
    http://www.rakjung.com/healthy-no81.html
    http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9530000032917

    สมุนไพรอภัยภูเบศร
    ซีรีย์ 2 : สมุนไพรดูแลข้อกระดูกของพ่อ

    สำหรับใครที่มีคุณพ่ออายุมากแล้ว ชอบบ่นปวดเมื่อยบ่อยๆ หรือมีปัญหาข้อเสื่อม กระดูกพรุน...อภัยภูเบศรขอแนะนำสมุนไพร
    เถาวัลย์เปรียง ขมิ้นชัน เพชรสังฆาต
    เถาวัลย์เปรียง
    มีสรรพคุณถ่ายเส้น ทำให้เส้นเอ็นอ่อนและหย่อนดี แก้เส้นเอ็นขอด มีงานวิจัยเทียบกับยาแก้ปวดแผนปัจจุบัน ทั้งในผู้ป่วยที่มีอาการปวดหลัง ผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อม พบว่ามีประสิทธิภาพในการแก้ปวด ลดอักเสบ เทียบเท่ากับยาแผนปัจจุบัน บางรายงานยังพบว่าเถาวัลย์เปรียงยังมีผลระคายเคืองทางเดินอาหารน้อยกว่ายาแผนปัจจุบันอีกด้วย เป็นสมุนไพรอีกตัวหนึ่งที่ใช้แทนยาแก้ปวดได้ โดยทานครั้งละ 1-2 เม็ด วันละ 3 ครั้งหลังอาหารเช้า กลางวัน เย็น

    ขมิ้นชันในการรักษาโรคข้อเข่าเสื่อม
    มีงานวิจัยพบว่าขมิ้นชัน ช่วยลดการอักเสบได้ โดยมีการใช้สารสกัดขมิ้นขนาด 500 มิลลิกรัมรับประทานวันละ 4 ครั้งหลังอาหารติดต่อกันนาน 6 สัปดาห์ พบว่ามีประสิทธิผลและปลอดภัยในการรักษาผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อม (knee osteoarthritis) ไม่แตกต่างจากการรักษาด้วย ibuprofen 400 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง

    เพชรสังฆาต
    มีการใช้แพร่หลายในหมอพื้นบ้านและหมออายุรเวท สำหรับบำรุงกระดูก โดยมีผลเพิ่มมวลกระดูก สมานกระดูกที่หัก และลดอาการบวมและอักเสบได้ เพชรสังฆาต ไม่ได้ออกฤทธิ์เหมือนแคลเซียม สามารถทานเพชรสังฆาตร่วมกับแคลเซียมได้ โดยรับประทานครั้งละ 1-2 แคปซูล วันละ 1-3 มื้อ หลังอาหาร
    ติดตามซีรีย์ 9 ชุดสมุนไพรดูแลสุขภาพคุณพ่อ/ herb for health's father sereis ทางเพจ FB : สมุนไพรอภัยภูเบศรค่ะ


    https://www.facebook.com/abhaiherb/photos/a.136960229702392.26552.136694259728989/776800399051702/


    KP141209
    Photo

    ฟังวิทยุจากอังกฤษกี่ช่องๆ ได้ยินแต่ยานี้โฆษณาออกอากาศ ... 
    ยานี้ที่อังกฤษจัดให้เป็นยา OTC เมื่อเดือนกุมภาที่ผ่านมา จากแต่ก่อนที่เภสัชจ่ายให้โดยไม่ต้องมีใบสั่งยา

    ส่วนยาอื่นๆใน EU ที่จัดเป็นยา OTC ก็อย่างเช่น orlistat, pantoprazole, rabeprazole, esomeprazole and ulipristal acetate. 

    NEXIUM ในเมืองไทยมีขนาด 20 กับ 40 มิลลิกรัม 

    การกินยาติดต่อกันเป็นเวลานาน 1 ปี จะมีผลทำให้กรดในกระเพาะอาหารลดลง ลดการดูดซึมแคลเซียม และทำให้เกิดการสลายแคลเซียมจากกระดูก มีความเสียงต่อการเกิดกระดูกสะโพกหัก ซึ่งจะต้องระมัดระวังในผู้สูงอายุ 

    ห้ามใช้ในหญิงให้นมบุตร ส่วนหญิงมีครรภ์ควรปรึกษาแพทย์

    ห้ามกินร่วมกับยาบางชนิด อาทิเช่น itraconazole, ketoconazole, warfarin, vitamin B12, St. John's Wort

    http://www.nexiumcontrol.co.uk/
    http://www.pharmaceutical-journal.com/news-and-analysis/news/heartburn-drug-esomeprazole-is-first-proton-pump-inhibitor-to-be-sold-outside-pharmacies-in-the-uk/20067745.article
    http://www.nhs.uk/Medicine-Guides/pages/MedicineOverview.aspx?condition=Gastrointestinal%20ulcers&medicine=Nexium
    http://www.pharmacy.cmu.ac.th/dic/newsletter/newpdf/newsletter10_3/nexium.pdf

    Pharmanord Bio-Calcium+D3+K1 

    ส่วนประกอบ 
    Calcium Carbonate 75% และ Calcium citrate 14% คิดเป็นแคลเซียม 500 มิลลิกรัม
    Vitamin D3 5 ไมโครกรัม
    Vitamin K 35 ไมโครกรัม

    สามารถเคี้ยวหรือกลืนทั้งเม็ดได้ วันละ 1 เม็ด หรือตามแพทย์สั่ง

    สำหรับเด็กอายุไม่เกิน 6 ปี, หญิงตั้งครรภ์, หญิงให้นมบุตร และ ผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป สามารถกินได้วันละ 3 เม็ด

    วิตามินดี 3 ช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซี่ยมเพิ่มขึ้น 
    วิตามิน K ช่วยให้แคลเซี่ยมถูกดูดซึมเข้าไปสะสมในกระดูกได้ดีขึ้น

    ระวังในผู้ที่มีแคลเซียมในเลือดสูง ผู้ที่เป็นนิ่วในไต ผู้ที่มีปัญหาโรคหัวใจ

    http://www.pharmanordsea.co.th/products/bio-calcium-d3-k1
    Photo

    นิ่วในระบบปัสสาวะ มีส่วนประกอบทางเคมี แบ่งได้เป็น 3 ชนิด คือ นิ่วแคลเซียม (Calcium stone) นิ่วยูริค (Uric acid stone) และนิ่วสตรูไวท์ (Struvite stone) นิ่วทุกชนิดเกิดจากการตกผลึกของเกลือหรือ กรด เช่น แคลเซียมออกซาเลต หรือกรดยูริค ส่วน นิ่วสตรูไวท์นั้นมีลักษณะพิเศษ คือมีการติดเชื้อแบคทีเรีย ประเภทสร้างยูเรียในทางเดินปัสสาวะ 

    ควรดื่มน้ำมากๆเพื่อลด ความเข้มข้นของสารก่อนิ่วในปัสสาวะ ป้องกันการ อิ่มตัวและตกผลึกเป็นก้อนนิ่ว ควรดื่มน้ำ 1 แก้ว (200-250 ม.ล.) ทุก 2 ชั่วโมง ในเวลากลางวัน จะได้รับน้ำใน แต่ละวันประมาณ 3,000 ซี.ซี.จะมีปัสสาวะวันละประมาณ 2,000 ซี.ซี. และมีสีเหลืองนวลหรือเหลืองจนเกือบขาว การรักษานิ่วด้วยน้ำนี้คนไข้ไม่ควรจะมีปัสสาวะเป็นสีเหลือง เข้มเลย หากปัสสาวะเหลืองเข้มแสดงว่าดื่มน้ำน้อยไป

    http://www.vichaiyut.co.th/html/jul/37-2550/p61-63_37.asp

    กินต้านปวดประจำเดือน : สุขภาพผู้หญิง - http://woman.teenee.com/health/2891.html

     อาหารมังสวิรัติไขมันต่ำไม่เพียงแต่จะช่วยลดอาการและความรุนแรงของอาการปวดเมนส์จาก 3.9 วันเหลือ 2.9 วัน ยังลดอาการก่อนมีประจำเดือนอื่นๆ เช่น ปวดหัว ปวดหลัง บวม หงุดหงุด ได้อย่างชัดเจน

    กินอาหารแคลเชียมสูง โดยบริโภคแคลเซียมวันละ 1,200 มิลลิกรัมช่วยลดปัญหาการปวดเมนส์ ส่วนอาหารแคลเซียมสูงได้แก่ ผลิตภัณฑ์นมพร่องมันเนยหรือขาดไขมัน โยเกิร์ต เนยแข็ง ผักใบเขียวจัด เต้าหู้ 

    1. อีพีโอหรือกรดแกมมาลิโนเลนิก เป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง ทำหน้าที่ยับยั้งการหลั่งไซโตไคน์ (cytokines) และพรอสตาแกลนดินส์ ซึ่งผลิตจากผนังมดลูกมีผลต่อการบีบตัวของกล้ามเนื้อมดลูก และการปวดเมนส์

    2. น้ำสมุนไพรบางชนิด ปลอดภัยที่จะดื่มและช่วยให้รู้สึกสบายขึ้น น้ำขิงช่วยลดอาการคลื่นไส้ น้ำราสป์เบอร์รี่ และสมุนไพรคาโมมายล์ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย 

    3. ตังกุยสมุนไพรจีน มีสารที่ช่วยการขยายหลอดเลือดป้องกันการบีบเกร็งของหลอดเลือด แต่มีข้อเตือนว่า ไม่ควรกินในปริมาณมากเกินไป เพราะจะทำให้ผิวหนังมีความไวต่อแสงแดดได้



    #‎กินแคลเซียม‬ ทุกวันทำให้เป็น ‪#‎นิ่วหินปูนแคลเซียม‬ ได้หรือไม่
    .....
    .....
    .....
    .....
    คำตอบ หลายคนมักรับประทานแคลเซียมทุกวัน เพื่อป้องกันหรือรักษาภาวะกระดูกบางกระดูกพรุน ไม่ว่าจะเป็นแคลเซียมชนิดเม็ดหรือชนิดเม็ดฟองฟู่ละลายน้ำ และก็เคยได้ยินคนพูดกันว่าการรับประทานแคลเซียมเยอะๆทำให้เป็น #นิ่วหินปูนแคลเซียม โดยเฉพาะคนที่เคยเป็นนิ่วมาก่อนมักจะกังวลมาก แล้วก็ไม่กล้ารับประทานแคลเซียม

    ซึ่งจริงๆแล้วจากการวิจัยพบว่า การรับประทานแคลเซียมนั้นช่วยลดการเกิดนิ่วได้ เนื่องจากแคลเซียมที่รับประทานนั้นจะเข้าไปในลำไส้แล้วไปจับตัวกับออกซาเลต(Oxalate)ที่อยู่ในอาหาร ซึ่งเป็นตัวการสำคัญของการเกิดนิ่วไม่ให้ถูกดูดซึมในลำไส้

    นิ่วที่มีออกซาเลตนี้เองก็เป็นชนิดนิ่วที่พบในประชากรได้มากที่สุด

    ดังนั้นการรับประทานแคลเซียมจึงช่วยลดการเกิดนิ่วได้นั่นเองครับ



    No comments:

    Post a Comment