Wednesday, May 4, 2016

ไทรอยด์ฮอร์โมน


การนำไทรอยด์ฮอร์โมน ที่ใช้รักษาผู้ป่วยที่มีภาวะฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำกว่าปกติ มาใช้ลดน้ำหนัก ยานี้เพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย ทำให้น้ำหนักลดลงเร็ว แต่มีผลข้างเคียงหลายอย่าง เช่น ผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด ทำให้ใจสั่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ เพราะไทรอยด์ฮอร์โมนจะทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นมากกว่าเดิม และไม่เต็มจังหวะ ทำให้แต่ละครั้งของการเต้นสูบฉีดเลือดได้น้อยลง จึงมีความเสี่ยงสูงกับคนที่มีปัญหาภาวะหัวใจ

การนำไปใช้ในทางที่ผิดโดยไม่เข้าใจถึงอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น ทำให้ผู้ใช้เกิดอันตรายได้


............................

ตายไม่รู้ตัว! กินยาลดน้ำหนักผสม “ไทรอยด์ฮอร์โมน” อันตรายหัวใจและหลอดเลือด
http://www.matichon.co.th/news/124769
Shared publicly
    Add a comment...

    โรคขาดไทรอยด์
    ถ้าอยู่ๆ ท่านมีอาการตัวฉุๆ เฉื่อยชา คิดช้า ทำอะไรช้าลงกว่าที่เคยเป็น และรู้สึกขี้หนาวกว่าคนอื่น ก็ควรสงสัยว่า อาจเป็นโรคขาดไทรอยด์โดยไม่รู้ตัว โรคนี้แพทย์ จะให้การรักษาตามสาเหตุ ผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยอาจตรวจไม่พบสาเหตุที่ชัดเจน และจำเป็นต้องกินยาฮอร์โมนไทรอยด์ทดแทนไปชั่วชีวิต ก็จะมีสุขภาพเป็นปกติ สามารถดำเนินชีวิตเช่นคนปกติทั่วไป
    รายละเอียด :>> http://bit.ly/1yoC49w

    มักจะพบอาการหน้าและหนังตาบวมฉุๆ ผิวหนังหยาบ แห้ง และเย็นในผู้ใหญ่ เนื่องจากมีการสะสมของสารมิวโคโพลีแซ็กคาไรด์อยู่ในเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง ขนคิ้วร่วง ผมร่วง ผมบางและหยาบ ชีพจรเต้นช้าอาจต่ำกว่า 50 ครั้ง/นาที ซีด มือเท้าเย็น ลิ้นโตคับปาก มักพบว่ารีเฟล็กซ์ของข้อมีระยะคลายหรือคืนตัวช้ากว่าปกติ อาจตรวจพบอาการคอพอก หรือไม่ก็ได้

    ตรวจเลือดพบว่ามีระดับฮอร์โมนไทร็อกซีนต่ำกว่าปกติ ระดับฮอร์โมนกระตุ้นไทรอยด์ หรือ TSH มักจะสูง ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดสูง ระดับน้ำตาลและโซเดียมในเลือดต่ำ

    แพทย์มักจะให้ผู้ป่วยกินฮอร์โมนไทร็อกซีน เช่น เอลทร็อกซิน วันละ 1-3 เม็ดทุกวัน เพียงไม่กี่วันผู้ป่วยจะมีอาการดีขึ้น และร่างกายจะเป็นปกติได้ภายในไม่กี่เดือน หากขาดยาอาการจะกำเริบขึ้นมาใหม่ได้ ผู้ป่วยจึงต้องกินยานี้ไปตลอดชีวิต

    ผู้สูงอายุที่อายุมากกว่า 50 ปี ควรทำการตรวจ TSH เป็นประจำทุกปี
    ผู้ป่วยที่มีไทรอยด์ต่ำควรจะต้องตรวจเลือดดูระดับ TSH และ Free T4 ทุก 6-12 เดือน

    มีอาหารอย่างหนึ่งที่กินมากแล้วจะทำให้เป็นไฮโปไทรอยด์ได้ง่ายคือผักตระกูล Bracsicaceae เช่น กล่ำปลี และเทอร์นิป ซึ่งมีสารชื่อโปรกอยตริน ( progoitrin) สูง สารนี้เมื่อเข้าไปในลำไส้จะไปพบกับตัวกระตุ้น (เชื่อว่ามาจากบักเตรี) เปลี่ยนมันเป็นกอยตริน ( goitrin) ตัวกอยตรินนี้เป็นสารที่มีฤทธิ์ต่อต้านฮอร์โมนไทรอยด์ ทำให้ฮอร์โมนไทรอยด์ไม่พอใช้ ต่อมไทรอยด์จึงปรับตัวมีขนาดโตขึ้น หรือเป็นคอพอก เรียกว่าคอพอกกล่ำปลี ( Cabbage goiter) เด็กที่เป็น subclinical hypothyroid อยู่แล้ว หลีกเลี่ยงอาหารที่ให้กอยตรินสูงไว้ก็ดีนะครับ 

    พวกเหล็ก (iron) จะทำให้การดูดซึมเอาไทรอยด์ฮอร์โมน  จากลำไส้น้อยลง   
    ส่วนพวก estrogen รับทาน  จะมีผลกระทบต่อระดับไทรอยด์ที่ไหลเวียนในโลหิต  ทำให้มันไปจับตัวกับโปรตีนหลายตัวในเลือด  เป็นเหตุให้มีไทรอยด์ฮอร์โมนอิสระ  (free thyroid hormone) มีไม่เพียงพอสำหรับเซลล์ 


    https://www.healthcarethai.com/ภาวะขาดไทรอยด์/
    https://www.facebook.com/notes/drcarebear-samitivej/ภาวะฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำ-hypothyroidism/165327233500349/
    http://vatchainan2.blogspot.com/2012/07/hypothyroidism-symptoms-treatment.html
    http://visitdrsant.blogspot.com/2011/08/subclinical-hypothyroidism.html
    Shared publicly
      Add a comment...

      อาหารสำหรับผู้ป่วยไทรอยด์ว่า ควรเป็นอาหารที่มาจากธรรมชาติ เช่น ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ และควรรับประทานผลไม้ที่มีรสไม่หวานจนเกินไป

      อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงได้แก่ กาแฟ ชา เครื่องดื่มชูกำลังและแอลกอฮอล์ ควรเลือกรับประทานเครื่องดื่มประเภทชาสมุนไพรแทน เช่น ตะไคร้ ขิง ดอกคำฝอย งดพริกชนิดเผ็ด เพราะจะไปเพิ่มเมแทบอลิซึ่ม ทำให้ใจสั่น หายใจติดขัด หน่อไม้ฝรั่งและสาหร่าย ผักกาด หน่อไม้ ทำให้เมแทบอลิซึ่ม (กระบวนการเผาผลาญอาหาร) ของร่างกายต้องทำงานเพิ่มขึ้น และควรระวังพืชกลุ่ม Cruciferae เช่น กะหล่ำปลีดิบ ทูนิป horseradish และเมล็ดพรรณผักกาดชนิดต่างๆ เพราะมีสารกลูโคซิโนเลท ไปขัดขวางการจับไอโอดีนของต่อมไทรอยด์ ทำให้เกิดไทรอยด์เป็นพิษ

      http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1435218689
      Shared publicly
        Add a comment...

        การรักษาไทรอยด์เป็นพิษ
        ต้องใช้เวลาในการหาย คือ จะไม่หายในทันที แต่จะลดความรุนแรงลงเรื่อยๆ โดยเฉลี่ยใช้เวลาประมาณ 2 ปี ดังนั้น เมื่อกินยารักษาไทรอยด์เป็นพิษจนรู้สึกสบายตัว ไม่เหนื่อย ไม่ใจสั่น น้ำหนักตัวเริ่มขึ้น ก็ไม่ควรหยุดยาทันที เพราะโรคยังเป็นอยู่ แต่ถูกกดไม่ให้มีอาการด้วยยาที่รับประทาน แพทย์จะเป็นผู้ตรวจเลือดให้เพื่อดูว่าอาการของโรคดีขึ้นมากน้อยเพียงใด เมื่ออาการดีขึ้น แพทย์จะค่อยๆ ลดยาลง จนสามารถหยุดยาได้ในที่สุด

        http://www.si.mahidol.ac.th/sidoctor/e-pl/articledetail.asp?id=453


        หมายเหตุ อาหารเสริมที่แนะนำคือให้กินผักปั่น ถั่วปั่น ครึ่งหนึ่งของอาหารปกติ กินพวกอัลมอนด์ แมคคาดีเมีย ผัก 4 ขีด ถั่ว 2 ขีด / มื้อ  รวมทั้งกิน ANTIOXIDANT ครบสูตร
        Shared publicly
          Add a comment...

          #ต่อมไทรอยด์ เป็นอวัยวะที่อยู่บริเวณคอด้านหน้า อยู่ใต้ลูกกระเดือก ลักษณะเป็นรูปเกือกม้า ปกติจะไม่สามารถคลำได้ยกเว้นต่อมไทรอยด์มีขนาดโตขึ้นที่เรียกว่า โรคคอพอก   โรคของต่อมไทรอยด์มีหลายชนิด....
          http://goo.gl/efjL3G
          Photo

          #โรคไทรอยด์
          โรคของต่อมไทรอยด์มีหลายชนิด ผู้ป่วยจะมีอาการ!! และหากเป็นในเด็ก
          จะมีวิธีรักษาอย่างไร? http://goo.gl/eS9Wv8
          Photo

          ค่าปกติของ TSH ที่เราใช้กับคนตั้งครรภ์มันเป็นคนละค่ากับที่ใช้กับคนทั่วไปนะครับ และปกติสำหรับครรภ์แก่ครรภ์อ่อนก็ไม่เท่ากันด้วย (trimester-specific reference range) กล่าวคือ
          ท้องสามเดือนแรก ปกติ TSH ต้องไม่เกิน 2.5 mU/L ส่วนสามเดือนที่สองและที่สามไม่เกิน 3.0 mU/L
          ขณะที่คนทั่วไปหากไม่เกิน 4.6 mU/L ก็ถือว่าปกติ

          การรักษาโรคไฮโปไทรอยด์ในคนท้องที่เป็นมาตรฐานใช้กันทั่วโลกก็แนะนำให้เจาะเลือดทุก 4 สัปดาห์ครับ

          หากกลัวจะได้ลูกเป็นคนสึ่งตึง ควรตรวจคัดกรองโรคไฮโปไทรอยด์ ด้วยการเจาะเลือดดู TSH ทันทีที่รู้ว่าตั้งครรภ์ครับ

          http://visitdrsant.blogspot.com/2014/11/hypothyroid-in-pregnancy.html
          Shared publicly
            Add a comment...

            彡 10 น้ำผลไม้คลายร้อนกีนจร้าาาาา !!!!

            ในช่วงที่อุณหภูมิกำลังพุ่งสูงอย่างต่อเนื่อง ทุกคนต่างมองหาวิธีคลายร้อนต่างๆ หนึ่งในนั้นก็คือ เครื่องดื่มเย็นๆ ที่ช่วยดับกระหาย และเพิ่มความสดชื่นได้
            เครื่องดื่มส่วนใหญ่ที่มีขายตามท้องตลาดส่วนใหญ่ มีส่วนผสมที่มีน้ำตาลสูง ถึงแม้จะช่วยดับร้อนได้แต่กลับเพิ่มผลเสียให้กลับร่างกายแทน วันนี้เราจึงมี 10 น้ำผัก-ผลไม้คลายร้อน มานำเสนอ เป็น 10 เมนูเครื่องดื่ม ที่คุณสามารถทำเองได้ง่าย แถมได้สุขภาพดีแบบเต็มๆ

            1. ว่านหางจระเข้
            ดีต่อสุขภาพผิวของคุณ เนื่องจากว่านหางจระเข้มีสรรพคุณในการรักษาและให้ความชุ่มชื้น รวมถึงอุดมไปด้วยวิตามินบี ซี และอี บวกกับเอนไซม์ที่ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดและฟื้นฟูสภาพเนื้อเยื่อให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง นอกจากนี้ยังมีกรดโฟลิกซึ่งเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและสารต้านอนุมูลอิสระที่สามารถบรรเทาอาการตับอ่อนอักเสบได้ ที่สำคัญว่านหางจระเข้ยังมีประโยชน์ต่อกระเพาะอาหารและลำไส้ อีกทั้งช่วยในเรื่องระบบย่อยอาหารด้วย

            2. แอปเปิ้ล
            ขึ้นชื่อในเรื่องการรักษาอาการท้องผูกและมีเพคทินซึ่งช่วยยับยั้งและกำจัดสารพิษในลำไส้ระหว่างการย่อยอาหาร อีกทั้งยังดีต่อตับเนื่องจากมีกรดมาลิคที่สามารถสลายนิ่วในถุงน้ำดี แอปเปิ้ลมีทั้งวิตามินเอและซี โปแทสเซียม แคลเซียม เหล็ก และฟอสฟอรัส ผลวิจัยเผยว่าการรับประทานแอปเปิ้ลจะช่วยบำรุงสมองและลดโอกาสเสี่ยงในการเป็นโรคหลอดเลือดสมอง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ และโรคมะเร็ง

            3. บีทรูท
            ขึ้นชื่อในเรื่องการทำความสะอาดเลือดและตับส่งผลให้ผิวพรรณมีสุขภาพดี นอกจากนี้ยังมีไนตริกออกไซด์ซึ่งจะช่วยขยายหลอดเลือด กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต และรักษาระดับความดัน บีทรูทอุดมไปด้วยไฟโตนิวเทรียนท์ซึ่งมีสรรพคุณต่อต้านการอักเสบและสารต้านอนุมูลอิสระ ประกอบไปด้วยบีเทนซึ่งกระตุ้นการไหลเวียนของน้ำดีช่วยในการย่อยอาหาร แถมยังช่วยปกป้องอวัยวะภายในและป้องกันโรคเรื้อรังต่างๆ ที่สำคัญบีทรูทมีวิตามินเอ บี1 บี2 บี6 และซีสูงมาก

            4. แครอท
            มีเบต้าแคโรทีนสูงซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระช่วยป้องกันการเสื่อมสภาพของเซลล์และชะลอกระบวนการแก่ก่อนวัย นอกจากนี้ยังมีวิตามินซีสูงซึ่งช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและโปแทสเซียม ทั้งนี้แครอทยังขึ้นชื่อในเรื่องการขับกรดยูริคและสารพิษที่อยู่ในไตด้วย การวิจัยเผยว่าแครอทถูกจัดอยู่ในกลุ่มผักและผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งช่วยลดโอกาสเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็ง โรคหัวใจ และโรคหลอดเลือด

            5. มะพร้าว
            มีไขมันดีซึ่งดีต่อต่อมไทรอยด์ น้ำมะพร้าวคือส่วนผสมที่ได้รับความนิยมสูงในสูตรน้ำผลไม้จำนวนมากและขึ้นชื่อในเรื่องสรรพคุณให้ความชุ่มชื้นเนื่องจากอุดมไปด้วยโปแทสเซียมและอิเล็กโทรไลต์ นอกจากนี้มีปริมาณน้ำตาลต่ำกว่าน้ำอัดลม เครื่องดื่มเกลือแร่ และน้ำผลไม้บางชนิด แถมเนื้อมะพร้าวยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพด้วยเนื่องจากมีกรดไขมันที่ไม่ส่งผลกระทบต่อระดับคลอเลสเตอรอลและมีกากใยที่ช่วยในเรื่องการย่อยอาหาร

            6. มะเขือเทศ
            อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีนและไลโคปีนซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระช่วยในการทำงานของสมองและป้องกันการเสื่อมสภาพของเซลล์ นอกจากนี้ยังมีวิตามินซี บี6 และเค ไนอาซิน โปแทสเซียม ไบโอติน ฟอสฟอรัส แคลเซียม สังกะสี เหล็ก และเซเลเนียม รวมถึงกรดอินทรีย์ต่างๆ เช่น ซิตริกและมาลิค การศึกษาพบว่าไลโคปีนจะช่วยลดโอกาสเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจและโรคมะเร็งบางชนิด นอกจากนี้ยังมีส่วนเชื่อมโยงกับน้ำหนักตัว ไขมันในร่างกาย ดัชนีมวลกาย และคลอเรสเตอรอลด้วย

            7. คื่นช่าย
            อุดมไปด้วยลูทีโอลินซึ่งเสริมสร้างการทำงานของสมองและบรรเทาอาการอักเสบ นอกจากนี้ใบคื่นช่ายยังเป็นแหล่งวิตามินเอชั้นเยี่ยม ขณะที่ก้านคื่นช่ายมีทั้งวิตามินบี1 บี2 บี6 และซี รวมถึงโซเดียม เหล็ก โปแทสเซียม แคลเซียม โฟเลต แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส และกรดอะมิโนที่จำเป็น

            8. แตงกวา
            เป็นผลไม้อีกชนิดที่ขึ้นชื่อในเรื่องการให้ความชุ่มชื้นเนื่องจากมีน้ำเป็นส่วนประกอบมากกว่าร้อยละ 90 ทำให้ผิวพรรณมีสุขภาพดีแถมยังมีฤทธิ์เย็นตามธรรมชาติและช่วยลดอาการอักเสบ นอกจากนี้ยังเสริมสร้างระบบย่อยอาหารเนื่องจากอุดมไปด้วยน้ำและกากใยอาหาร

            9. ขิง
            ขึ้นชื่อในเรื่องสรรพคุณทางยา นิยมนำมาใช้เมื่อคุณมีอาการคลื่นเหียนหรือท้องไส้ปั่นป่วน ขิงจะช่วยในเรื่องการย่อยอาหาร ปกป้องตับ ช่วยสร้างความอบอุ่น กระตุ้นการไหลเวียน บรรเทาอาการอักเสบ ลดภาวะเลือดคั่งในปอด และดีต่อต่อมไทรอยด์ ที่สำคัญขิงมีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่า 12 ชนิด

            10. มะนาว
            อุดมไปด้วยวิตามินซีและบี โฟเลต ฟลาโวนอยด์ และไลโมนีนซึ่งเป็นสารพฤกษเคมีช่วยต่อต้านมะเร็ง นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณในการรักษาต่อมไทรอยด์ มีฤทธิ์เป็นด่างในกระเพาะอาหารและช่วยในเรื่องการย่อยอาหาร

            ทั้งนี้ เพื่อสุขภาพร่างกายที่ดี ควรผสมน้ำตาลในปริมาณน้อยหรือไม่ผสมเลย จะให้ผลดีต่อร่างกายมากที่สุด

            ที่มา : เว็บไซต์แนวหน้า และ นานาสาระเพื่อสุขภาพ
            ขอบคุณ: Panida
            
            Photo

            มีแคลเซียมสูง มีวิตามินบี ๑, บี ๓, บี ๖ ช่วยบำรุงสมอง ทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงสมองส่วนกลางดีขึ้น ป้องกันหัวล้าน ป้องกันผมหงอกก่อนวัย ฟื้นฟูเส้นผมให้กลับมาดกดำเป็นหนุ่มสาวอีกครั้งหนึ่ง ช่วยฟิ้นฟูต่อมไร้ท่อต่างๆ เช่น ต่อมไทรอยด์ ต่อมใต้สมอง ต่อมหมวกไต ป้องกันไทรอยด์เป็นพิษ ช่วยบำรุงหัวใจ ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรง เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงหัวใจดีขึ้น ช่วยปรับสมดุลความดันโลหิต สำหรับคนเป็นความดันสูง กินน้ำกระชายคุมไว้ความดันขะปกติ ส่วนคนที่เป็นความดันต่ำจะอันตรายกว่าเพราะอาจช็อกได้ง่าย 

            http://www.gotoknow.org/posts/532062

            彡 10 น้ำผลไม้คลายร้อน !!!!

            ในช่วงที่อุณหภูมิกำลังพุ่งสูงอย่างต่อเนื่อง ทุกคนต่างมองหาวิธีคลายร้อนต่างๆ หนึ่งในนั้นก็คือ เครื่องดื่มเย็นๆ ที่ช่วยดับกระหาย และเพิ่มความสดชื่นได้
            เครื่องดื่มส่วนใหญ่ที่มีขายตามท้องตลาดส่วนใหญ่ มีส่วนผสมที่มีน้ำตาลสูง ถึงแม้จะช่วยดับร้อนได้แต่กลับเพิ่มผลเสียให้กลับร่างกายแทน วันนี้เราจึงมี 10 น้ำผัก-ผลไม้คลายร้อน มานำเสนอ เป็น 10 เมนูเครื่องดื่ม ที่คุณสามารถทำเองได้ง่าย แถมได้สุขภาพดีแบบเต็มๆ

            1. ว่านหางจระเข้
            ดีต่อสุขภาพผิวของคุณ เนื่องจากว่านหางจระเข้มีสรรพคุณในการรักษาและให้ความชุ่มชื้น รวมถึงอุดมไปด้วยวิตามินบี ซี และอี บวกกับเอนไซม์ที่ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดและฟื้นฟูสภาพเนื้อเยื่อให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง นอกจากนี้ยังมีกรดโฟลิกซึ่งเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและสารต้านอนุมูลอิสระที่สามารถบรรเทาอาการตับอ่อนอักเสบได้ ที่สำคัญว่านหางจระเข้ยังมีประโยชน์ต่อกระเพาะอาหารและลำไส้ อีกทั้งช่วยในเรื่องระบบย่อยอาหารด้วย

            2. แอปเปิ้ล
            ขึ้นชื่อในเรื่องการรักษาอาการท้องผูกและมีเพคทินซึ่งช่วยยับยั้งและกำจัดสารพิษในลำไส้ระหว่างการย่อยอาหาร อีกทั้งยังดีต่อตับเนื่องจากมีกรดมาลิคที่สามารถสลายนิ่วในถุงน้ำดี แอปเปิ้ลมีทั้งวิตามินเอและซี โปแทสเซียม แคลเซียม เหล็ก และฟอสฟอรัส ผลวิจัยเผยว่าการรับประทานแอปเปิ้ลจะช่วยบำรุงสมองและลดโอกาสเสี่ยงในการเป็นโรคหลอดเลือดสมอง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ และโรคมะเร็ง

            3. บีทรูท
            ขึ้นชื่อในเรื่องการทำความสะอาดเลือดและตับส่งผลให้ผิวพรรณมีสุขภาพดี นอกจากนี้ยังมีไนตริกออกไซด์ซึ่งจะช่วยขยายหลอดเลือด กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต และรักษาระดับความดัน บีทรูทอุดมไปด้วยไฟโตนิวเทรียนท์ซึ่งมีสรรพคุณต่อต้านการอักเสบและสารต้านอนุมูลอิสระ ประกอบไปด้วยบีเทนซึ่งกระตุ้นการไหลเวียนของน้ำดีช่วยในการย่อยอาหาร แถมยังช่วยปกป้องอวัยวะภายในและป้องกันโรคเรื้อรังต่างๆ ที่สำคัญบีทรูทมีวิตามินเอ บี1 บี2 บี6 และซีสูงมาก

            4. แครอท
            มีเบต้าแคโรทีนสูงซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระช่วยป้องกันการเสื่อมสภาพของเซลล์และชะลอกระบวนการแก่ก่อนวัย นอกจากนี้ยังมีวิตามินซีสูงซึ่งช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและโปแทสเซียม ทั้งนี้แครอทยังขึ้นชื่อในเรื่องการขับกรดยูริคและสารพิษที่อยู่ในไตด้วย การวิจัยเผยว่าแครอทถูกจัดอยู่ในกลุ่มผักและผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งช่วยลดโอกาสเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็ง โรคหัวใจ และโรคหลอดเลือด

            5. มะพร้าว
            มีไขมันดีซึ่งดีต่อต่อมไทรอยด์ น้ำมะพร้าวคือส่วนผสมที่ได้รับความนิยมสูงในสูตรน้ำผลไม้จำนวนมากและขึ้นชื่อในเรื่องสรรพคุณให้ความชุ่มชื้นเนื่องจากอุดมไปด้วยโปแทสเซียมและอิเล็กโทรไลต์ นอกจากนี้มีปริมาณน้ำตาลต่ำกว่าน้ำอัดลม เครื่องดื่มเกลือแร่ และน้ำผลไม้บางชนิด แถมเนื้อมะพร้าวยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพด้วยเนื่องจากมีกรดไขมันที่ไม่ส่งผลกระทบต่อระดับคลอเลสเตอรอลและมีกากใยที่ช่วยในเรื่องการย่อยอาหาร

            6. มะเขือเทศ
            อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีนและไลโคปีนซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระช่วยในการทำงานของสมองและป้องกันการเสื่อมสภาพของเซลล์ นอกจากนี้ยังมีวิตามินซี บี6 และเค ไนอาซิน โปแทสเซียม ไบโอติน ฟอสฟอรัส แคลเซียม สังกะสี เหล็ก และเซเลเนียม รวมถึงกรดอินทรีย์ต่างๆ เช่น ซิตริกและมาลิค การศึกษาพบว่าไลโคปีนจะช่วยลดโอกาสเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจและโรคมะเร็งบางชนิด นอกจากนี้ยังมีส่วนเชื่อมโยงกับน้ำหนักตัว ไขมันในร่างกาย ดัชนีมวลกาย และคลอเรสเตอรอลด้วย

            7. คื่นช่าย
            อุดมไปด้วยลูทีโอลินซึ่งเสริมสร้างการทำงานของสมองและบรรเทาอาการอักเสบ นอกจากนี้ใบคื่นช่ายยังเป็นแหล่งวิตามินเอชั้นเยี่ยม ขณะที่ก้านคื่นช่ายมีทั้งวิตามินบี1 บี2 บี6 และซี รวมถึงโซเดียม เหล็ก โปแทสเซียม แคลเซียม โฟเลต แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส และกรดอะมิโนที่จำเป็น

            8. แตงกวา
            เป็นผลไม้อีกชนิดที่ขึ้นชื่อในเรื่องการให้ความชุ่มชื้นเนื่องจากมีน้ำเป็นส่วนประกอบมากกว่าร้อยละ 90 ทำให้ผิวพรรณมีสุขภาพดีแถมยังมีฤทธิ์เย็นตามธรรมชาติและช่วยลดอาการอักเสบ นอกจากนี้ยังเสริมสร้างระบบย่อยอาหารเนื่องจากอุดมไปด้วยน้ำและกากใยอาหาร

            9. ขิง
            ขึ้นชื่อในเรื่องสรรพคุณทางยา นิยมนำมาใช้เมื่อคุณมีอาการคลื่นเหียนหรือท้องไส้ปั่นป่วน ขิงจะช่วยในเรื่องการย่อยอาหาร ปกป้องตับ ช่วยสร้างความอบอุ่น กระตุ้นการไหลเวียน บรรเทาอาการอักเสบ ลดภาวะเลือดคั่งในปอด และดีต่อต่อมไทรอยด์ ที่สำคัญขิงมีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่า 12 ชนิด

            10. มะนาว
            อุดมไปด้วยวิตามินซีและบี โฟเลต ฟลาโวนอยด์ และไลโมนีนซึ่งเป็นสารพฤกษเคมีช่วยต่อต้านมะเร็ง นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณในการรักษาต่อมไทรอยด์ มีฤทธิ์เป็นด่างในกระเพาะอาหารและช่วยในเรื่องการย่อยอาหาร

            ทั้งนี้ เพื่อสุขภาพร่างกายที่ดี ควรผสมน้ำตาลในปริมาณน้อยหรือไม่ผสมเลย จะให้ผลดีต่อร่างกายมากที่สุด
            Photo

            HEALTHY TIPS

            กะหล่ำปลี

            กะหล่ำปลี หรือ กะหล่ำใบ เป็นชื่อไม้ล้มลุกชนิด Brassica oleracea L. var. capitata ในวงศ์ Cruciferae มีสัณฐานกลม ส่วนใหญ่สีเขียว แต่สีอื่นก็มี อาทิ ขาวและม่วง มีถิ่นกำเนิดอยู่แถวเมดิเตอเรเนียน ต่อมาแพร่กระจายทั่วไป แขนงที่งอกใหม่จากต้นกะหล่ำปลีหลังจากเก็บเกี่ยวแล้ว เรียกว่า ยอดผัก หรือ ผักแขนง

            สายพันธุ์ แยกได้เป็นสามสายพันธุ์ คือ

            - กะหล่ำปลีขาวเขียว (Green Cabbage) เช่น พันธุ์โคเปนเฮเกนมาร์เก็ต และพันธุ์ โกลเดน เอเคอร์
            - กะหล่ำปลีม่วง หรือกะหล่ำปลีแดง (Red Cabbage) ใบเป็นสีแดงทับทิม ขึ้นดีในที่อากาศหนาวเย็น
            - กะหล่ำปลีใบย่น ผิวใบหยิกย่น (Savoy Cabbage) ต้องการอากาศหนาวเย็นพิเศษ

            สารอาหาร

            ในกะหล่ำปลี มีสารเอสเมธิลเมโธโอนิน สามารถรักษาโรคกระเพาะอาหารและมีสารกอยโตรเจนที่ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคคอพอก นอกจากนั้นยังพบว่ามีสารต้านมะเร็งโดยเฉพาะหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งลำไส้ มีการวิจัยพบกะหล่ำปลีใช้ประคบเต้านมลดปวดแก้นมคัดแม่หลังคลอด

            - กะหล่ำปลีนี้มีประโยชน์มากมายต่อสุขภาพ มีทั้ง วิตามินเอ วิตามินบี 2 วิตามินซี วิตามินอี โฟเลต เบต้าแคโรทีน และแร่ธาตุต่างๆ เช่น เหล็ก โพแทสเซียม และแมกนีเซียม

            - อุดมไปด้วยวิตามินซี จากการศึกษาพบว่ากะหล่ำปลีเป็นพืชผักที่มีวิตามินซีสูงมาก ในกะหล่ำปลีฝอย 1 ถ้วยมีวิตามินซีถึง 18 มิลลิกรัม ซึ่งเป็นปริมาณที่ใกล้เคียงกับวิตามินซีในส้มเขียวหวาน 1 ผลเลยทีเดียว

            - สรรพคุณทางยา กะหล่ำปลียังช่วยบรรเทา โรคกระเพาะอาหารอักเสบ นักวิจัยศึกษาพบว่า สารกลูทามีนในกะหล่ำปลีช่วยเคลือบกระเพาะอาหารได้ อีกทั้งยังมีสารซัลเฟอร์ ช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ใหญ่ ทำให้การขับถ่ายดี ไม่เพียงเท่านั้น สารซัลเฟอร์นี้ยังช่วยลดระดับคอเลสเทอรอล ระงับประสาท และทำให้นอนหลับได้ง่ายอีกด้วย
            Read more : "กะหล่ำปลี" http://buff.ly/1axWCkW
            คุยกับทีมแพทย์เลสิก : http://buff.ly/1axWBgU
            More info : http://buff.ly/1axWCl0
            ขอบคุณภาพประกอบจาก bcfreshvegetables.com

            ประโยชน์ของกะหล่ำปลี

            ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มโรคให้แข็งแรง ป้องกันหวัด เพราะกะหล่ำปลีดิบมีวิตามินสูง มีกรดทาร์ทาริก (Tartaric acid) ที่ช่วยยับยั้งและขัดขวางไม่ให้น้ำตาลและแป้งกลายเป็นไขมัน จึงมีส่วนในการช่วยลดน้ำหนักและคอเลสเตอรอลได้ ช่วยทำให้รู้สึกผ่อนคลาย นอนหลับสบาย หลับสนิท เพราะกะหล่ำปลีดิบมีสารซัลเฟอร์ซึ่งมีส่วนช่วยระงับประสาททำให้รู้สึกผ่อนคลายความเครียด กะหล่ำปลี สรรพคุณทางยามีส่วนช่วยในการขับปัสสาวะ ฯลฯ

            ข้อควรระวัง

            ถึงแม้กะหล่ำปลีจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย แต่การทานกะหล่ำปลีดิบมากเกินไปก็เป็นผลเสียต่อร่างกายได้ เพราะในกะหล่ำปลีดิบ มีสารชนิดหนึ่งชื่อ กอยโทเจน (Goitrogen) ถ้าสารนี้มีมากจะขัดขวางการทำงานของต่อมไทรอยด์ ทำให้นำไอโอดีนในเลือดไปใช้ได้น้อย จะทำให้ร่างกายขาดไอโอดีน อาจเกิดโรคคอพอกได้ โดยเฉพาะผู้เป็นโรคไทรอยด์ไม่ควรทานมาก เพราะสารดังกล่าวไปลดระดับไทร็อกซินในเลือดได้ หากทานติดต่อกันเป็นเวลานานๆ ควรทำให้สุกก่อนรับประทาน เพราะสาร กอยโทเจน (Goitrogen) นี้จะถูกความร้อนทำลาย

            กะหล่ำปลีดิบควรรับประทานแต่พอเหมาะ เนื่องจากการรับประทานมากเกินไปอาจจะทำให้มีปัญหาเรื่องต่อมไทรอยด์ได้ และที่สำคัญควรระมัดระวังเรื่องยาฆ่าแมลงให้มาก เพราะกะหล่ำปลีนั้นติดอับดับ 1 ใน 5 ผักที่มีสารปนเปื้อนมากที่สุด การบริโภคเข้าไปในปริมาณมากอาจจะทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย ปวดศีรษะ มึนงง หายใจลำบาก คลื่นไส้อาเจียน มีอาการชักหรือหมดสติได้

            TIP

            ก่อนการนำมารับประทานก็ควรล้างให้สะอาดก่อน ด้วยวิธีการลอกหรือปอกเปลือกออกแล้วแช่น้ำสะอาดประมาณ 10 นาที หลังจากนั้นล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้งจะช่วยลดสารพิษตกค้างได้ร้อยละ 25-72 ซึ่งเป็นวิธีที่ได้ผลดีที่สุด และสำหรับวิธีอื่นๆก็เช่น แช่น้ำปูนใส, การใช้ความร้อน, แช่น้ำด่างทับทิม, ล้างด้วยนำไหลจากก๊อก, แช่น้ำซาวข้าว, แช่น้ำสมสายชูหรือเกลือป่น, แช่น้ำยาล้างผัก เป็นต้น

            Cabbage

            Cabbage is versatile and a staple in many countries. Cabbage is part of the cruciferous family of vegetables. Cruciferous vegetables are high in Vitamin C, Vitamin A and fiber. They’re also a great source of folacin, potassium and dietary fiber. Recent research by the American Institute for Cancer Research indicates that eating cruciferous vegetables is associated with reducing certain types of cancer.
            Thanks English Info From : Cabbage : BCfresh
            http://goo.gl/go6FzQ
            Photo

            彡 10 น้ำผลไม้คลายร้อนกีนจร้าาาาา !!!!

            ในช่วงที่อุณหภูมิกำลังพุ่งสูงอย่างต่อเนื่อง ทุกคนต่างมองหาวิธีคลายร้อนต่างๆ หนึ่งในนั้นก็คือ เครื่องดื่มเย็นๆ ที่ช่วยดับกระหาย และเพิ่มความสดชื่นได้
            เครื่องดื่มส่วนใหญ่ที่มีขายตามท้องตลาดส่วนใหญ่ มีส่วนผสมที่มีน้ำตาลสูง ถึงแม้จะช่วยดับร้อนได้แต่กลับเพิ่มผลเสียให้กลับร่างกายแทน วันนี้เราจึงมี 10 น้ำผัก-ผลไม้คลายร้อน มานำเสนอ เป็น 10 เมนูเครื่องดื่ม ที่คุณสามารถทำเองได้ง่าย แถมได้สุขภาพดีแบบเต็มๆ

            1. ว่านหางจระเข้
            ดีต่อสุขภาพผิวของคุณ เนื่องจากว่านหางจระเข้มีสรรพคุณในการรักษาและให้ความชุ่มชื้น รวมถึงอุดมไปด้วยวิตามินบี ซี และอี บวกกับเอนไซม์ที่ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดและฟื้นฟูสภาพเนื้อเยื่อให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง นอกจากนี้ยังมีกรดโฟลิกซึ่งเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและสารต้านอนุมูลอิสระที่สามารถบรรเทาอาการตับอ่อนอักเสบได้ ที่สำคัญว่านหางจระเข้ยังมีประโยชน์ต่อกระเพาะอาหารและลำไส้ อีกทั้งช่วยในเรื่องระบบย่อยอาหารด้วย

            2. แอปเปิ้ล
            ขึ้นชื่อในเรื่องการรักษาอาการท้องผูกและมีเพคทินซึ่งช่วยยับยั้งและกำจัดสารพิษในลำไส้ระหว่างการย่อยอาหาร อีกทั้งยังดีต่อตับเนื่องจากมีกรดมาลิคที่สามารถสลายนิ่วในถุงน้ำดี แอปเปิ้ลมีทั้งวิตามินเอและซี โปแทสเซียม แคลเซียม เหล็ก และฟอสฟอรัส ผลวิจัยเผยว่าการรับประทานแอปเปิ้ลจะช่วยบำรุงสมองและลดโอกาสเสี่ยงในการเป็นโรคหลอดเลือดสมอง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ และโรคมะเร็ง

            3. บีทรูท
            ขึ้นชื่อในเรื่องการทำความสะอาดเลือดและตับส่งผลให้ผิวพรรณมีสุขภาพดี นอกจากนี้ยังมีไนตริกออกไซด์ซึ่งจะช่วยขยายหลอดเลือด กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต และรักษาระดับความดัน บีทรูทอุดมไปด้วยไฟโตนิวเทรียนท์ซึ่งมีสรรพคุณต่อต้านการอักเสบและสารต้านอนุมูลอิสระ ประกอบไปด้วยบีเทนซึ่งกระตุ้นการไหลเวียนของน้ำดีช่วยในการย่อยอาหาร แถมยังช่วยปกป้องอวัยวะภายในและป้องกันโรคเรื้อรังต่างๆ ที่สำคัญบีทรูทมีวิตามินเอ บี1 บี2 บี6 และซีสูงมาก

            4. แครอท
            มีเบต้าแคโรทีนสูงซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระช่วยป้องกันการเสื่อมสภาพของเซลล์และชะลอกระบวนการแก่ก่อนวัย นอกจากนี้ยังมีวิตามินซีสูงซึ่งช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและโปแทสเซียม ทั้งนี้แครอทยังขึ้นชื่อในเรื่องการขับกรดยูริคและสารพิษที่อยู่ในไตด้วย การวิจัยเผยว่าแครอทถูกจัดอยู่ในกลุ่มผักและผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งช่วยลดโอกาสเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็ง โรคหัวใจ และโรคหลอดเลือด

            5. มะพร้าว
            มีไขมันดีซึ่งดีต่อต่อมไทรอยด์ น้ำมะพร้าวคือส่วนผสมที่ได้รับความนิยมสูงในสูตรน้ำผลไม้จำนวนมากและขึ้นชื่อในเรื่องสรรพคุณให้ความชุ่มชื้นเนื่องจากอุดมไปด้วยโปแทสเซียมและอิเล็กโทรไลต์ นอกจากนี้มีปริมาณน้ำตาลต่ำกว่าน้ำอัดลม เครื่องดื่มเกลือแร่ และน้ำผลไม้บางชนิด แถมเนื้อมะพร้าวยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพด้วยเนื่องจากมีกรดไขมันที่ไม่ส่งผลกระทบต่อระดับคลอเลสเตอรอลและมีกากใยที่ช่วยในเรื่องการย่อยอาหาร

            6. มะเขือเทศ
            อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีนและไลโคปีนซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระช่วยในการทำงานของสมองและป้องกันการเสื่อมสภาพของเซลล์ นอกจากนี้ยังมีวิตามินซี บี6 และเค ไนอาซิน โปแทสเซียม ไบโอติน ฟอสฟอรัส แคลเซียม สังกะสี เหล็ก และเซเลเนียม รวมถึงกรดอินทรีย์ต่างๆ เช่น ซิตริกและมาลิค การศึกษาพบว่าไลโคปีนจะช่วยลดโอกาสเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจและโรคมะเร็งบางชนิด นอกจากนี้ยังมีส่วนเชื่อมโยงกับน้ำหนักตัว ไขมันในร่างกาย ดัชนีมวลกาย และคลอเรสเตอรอลด้วย

            7. คื่นช่าย
            อุดมไปด้วยลูทีโอลินซึ่งเสริมสร้างการทำงานของสมองและบรรเทาอาการอักเสบ นอกจากนี้ใบคื่นช่ายยังเป็นแหล่งวิตามินเอชั้นเยี่ยม ขณะที่ก้านคื่นช่ายมีทั้งวิตามินบี1 บี2 บี6 และซี รวมถึงโซเดียม เหล็ก โปแทสเซียม แคลเซียม โฟเลต แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส และกรดอะมิโนที่จำเป็น

            8. แตงกวา
            เป็นผลไม้อีกชนิดที่ขึ้นชื่อในเรื่องการให้ความชุ่มชื้นเนื่องจากมีน้ำเป็นส่วนประกอบมากกว่าร้อยละ 90 ทำให้ผิวพรรณมีสุขภาพดีแถมยังมีฤทธิ์เย็นตามธรรมชาติและช่วยลดอาการอักเสบ นอกจากนี้ยังเสริมสร้างระบบย่อยอาหารเนื่องจากอุดมไปด้วยน้ำและกากใยอาหาร

            9. ขิง
            ขึ้นชื่อในเรื่องสรรพคุณทางยา นิยมนำมาใช้เมื่อคุณมีอาการคลื่นเหียนหรือท้องไส้ปั่นป่วน ขิงจะช่วยในเรื่องการย่อยอาหาร ปกป้องตับ ช่วยสร้างความอบอุ่น กระตุ้นการไหลเวียน บรรเทาอาการอักเสบ ลดภาวะเลือดคั่งในปอด และดีต่อต่อมไทรอยด์ ที่สำคัญขิงมีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่า 12 ชนิด

            10. มะนาว
            อุดมไปด้วยวิตามินซีและบี โฟเลต ฟลาโวนอยด์ และไลโมนีนซึ่งเป็นสารพฤกษเคมีช่วยต่อต้านมะเร็ง นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณในการรักษาต่อมไทรอยด์ มีฤทธิ์เป็นด่างในกระเพาะอาหารและช่วยในเรื่องการย่อยอาหาร

            ทั้งนี้ เพื่อสุขภาพร่างกายที่ดี ควรผสมน้ำตาลในปริมาณน้อยหรือไม่ผสมเลย จะให้ผลดีต่อร่างกายมากที่สุด

            ที่มา : เว็บไซต์แนวหน้า และ นานาสาระเพื่อสุขภาพ
            ขอบคุณ: Panida
            Photo

            ยาที่มีการจ่ายประกอบในการลดความอ้วนได้แก่กลุ่มยาดังนี้ 
            ยาลดความอยากอาหาร มีผลข้างเคียง เช่น นอนไม่หลับ ปวดศีรษะ ปากแห้ง ใจสั่น คลื่นไส้ 
            ยาระบายจะกระตุ้นให้ลำไส้ใหญ่บีบตัวทำให้ถ่ายมากหรือบ่อยขึ้น 
            ยาขับปัสสาวะเพื่อขับน้ำออกจากร่างกาย มีผลทำให้น้ำหนักลดลงเร็วหลังใช้ยา 
            ยาลดการหลั่งของกรดในกระเพาะอาหาร ยานี้ไม่มีผลต่อการลดน้ำหนัก แต่ใช้เพื่อลดผลข้างเคียงที่อาจเกิดจากยาลดความอยากอาหาร ซึ่งจะทำให้ไม่หิว 
            ยาไทรอยด์ฮอร์โมนเป็นยาที่เพิ่มการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย แต่ส่งผลข้างเคียงสูงมากและเป็นอันตรายต่อระบบหัวใจและหลอดเลือดอีกด้วย เช่น อุจจาระบ่อย ใจสั่น เหนื่อยง่าย กล้ามเนื้อต้นขาอ่อนแรง
            ยาลดอัตราการเต้นของหัวใจ เพื่อลดอาการใจสั่นที่เกิดจากยาลดความอยากอาหาร มีผลข้างเคียง เช่น เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย หัวใจเต้นช้า วิงเวียน ความดันโลหิตต่ำ เป็นลม 
            และยานอนหลับ เนื่องจากยาลดความอยากอาหารอาจทำให้นอนไม่หลับ จึงต้องจ่ายยานี้ร่วมด้วย

            http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1387786577
            Shared publicly
              Add a comment...

              วิตะมินอี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ละลายในไขมัน  ทำงานร่วมกับวิตะมินซีในการปกป้องผนังเซลจากการทำลายของอนุมูลอิสระ 

              ประโยชน์
              ป้องกันโรคหลอดเลือดและหัวใจ ป้องกันเม็ดเลือดแดงถูกทำลาย
              เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ เสริมภูมิคุ้มกัน ลดอัตราการเกิดเซลล์มะเร็ง
              ป้องกันเซลล์ประสาท สมอง จากอนุมูลอิสระ ชะลอการเกิดโรคสมองเสื่อม อัลไซม์เมอร์
              เพิ่มความชุ่มชื่นแก่ผิว ช่วยสมานผิว

              จากการศึกษาพบว่าปริมาณที่ให้ผลในการลดความเสี่ยงโรคหัวใจหลอดเลือด คือ กินวันละ 400-800 IU เป็นเวลา 18 เดือนโดยเฉลี่ย

              อาการข้างเคียง 
              เกิดเมือกินมากกว่า 1,500 IU ติดต่อกันเป็นเวลานาน 

              ข้อห้ามใช้
              ภาวะเลือดออกง่าย
              ไทรอยด์เป็นพิษ
              โลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก

              ห้ามกินวิตะมินอี ร่วมกับยาดังนี้
              WARFERIN
              ASPIRIN
              BETA BLOCKER อาทิเช่น PROPRANOLOL, ATENOLOL 
              Calcium channel blockers อาทิเช่น Amlodipine, Nifedipine
              ยาลดไขมันในเลือด อาทิเช่น Questran, LOPID, Orlistat
              อื่นๆ เช่น Omeprazole, Fenafex, Prozac

              Vitamin E is a fat-soluble vitamin found in many foods, fats, and oils. It is also an antioxidant, a substance that may help prevent damage to the body's cells. Antioxidants may provide protection against serious diseases including heart disease and cancer.

              Vitamin E is also important in helping your body make red blood cells, and it helps the body to use vitamin K.

              People who can't absorb fat properly may develop vitamin E deficiency.

              http://umm.edu/health/medical/altmed/supplement/vitamin-e
              Shared publicly
                Add a comment...

                การรักษาโรค “ภูมิแพ้-ภูมิเพี้ยน” ด้วยวิถีทางโภชนาการ
                        - น้ำมันมะพร้าว+กระเทียมเป็น SUPER ANTIOXIDANT ช่วยเพิ่มภูมิต้านทานอย่างสูงเรียกว่ากรดอัลฟ่าไลไปอิด  
                        - การดื่มน้ำให้ถูกต้องและพอสำหรับร่างกาย 
                        - น้ำเอนไซม์มี 2 ชนิด 1.ได้จากผักสด+ผลไม้ / 2.น้ำหมักชีวภาพ ช่วยกำจัดสารพิษ และช่วยย่อยอาหาร (ผู้ป่วยภูมิแพ้หรือสะเก็ดเงินจะมีอาการกรดในกระเพาะอาหารไม่เพียงพอ)  
                        - ข้าวกล้อง มีอิโนซิตอส ลดการอักเสบ (เลี่ยงข้าวขาว)  
                        - ผักตำลึง,ใบบัวบก,ย่านาง คั้นเป็นเครื่องดี่มมีฤทธิ์เย็นและมีเอนไซม์ย่อยแป้ง  
                        - มะละกอดิบ มีเอนไซม์ย่อยโปรตีน  
                        - ผักสด+ผลไม้ ทานสดมีเอนไซม์เพิ่มพลังชีวิต  
                        - เน้นอาหารจากธรรมชาติ RAW FOOD ไม่ผ่านการปรุงแต่งหรือปรุงแต่งให้น้อยที่สุด  
                        - วิตามินและเกลือแร่ ช่วยต้านอนุมูลอิสระ  
                        - อาหารที่ย่อยง่ายและเคี้ยวอาหารให้นานขึ้น  
                        - สาหร่ายทะเลช่วยส่งเสริมการทำงานไทรอยด์ (เพิ่มภูมิต้านทาน)

                http://www.naturalmind.co.th/index.aspx?ContentID=ContentID-110131133627561
                Shared publicly
                  Add a comment...

                  วันนี้แวะกาดสวนแก้ว มีวัดมวลกระดูกของคณะเทคนิคการแพทย์ มช. เลยเอาข้อมูลมา share กัน

                  การตรวจวัดความหนาแน่นของกระดูก (BONE DENSITOMERY)
                  http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=29-02-2008&group=4&gblog=16

                  ผู้ที่ควรตรวจวัดความหนาแน่นของกระดูก 

                  • ผู้หญิงหลังหมดประจำเดือน (โดยเฉพาะผู้ที่อายุน้อยกว่า 50 ปี) หรือ ผู้ที่ได้รับการผ่าตัดรังไข่ออกทั้งสองข้าง

                  • ผู้ที่มีกระดูกหักเกิดขึ้นทั้งที่เป็นอุบัติเหตุที่ไม่รุนแรง เช่น ข้อเท้าพลิก ยกของหนัก ลื่นล้ม หรือ ตกจากเก้าอี้ โดยเฉพาะกระดูกหักในบริเวณ ข้อมือ หัวไหล่ สันหลัง สะโพก และ ส้นเท้า

                  • ผู้สูงอายุที่รู้สึกว่ากระดูกสันหลังผิดปกติ เช่น หลังโก่ง หลังคด ความสูงลดลงมากกว่า 1.5 นิ้วเมื่อเทียบกับความสูงที่สุดช่วงอายุ 25-30 ปี ( ความสูงที่สุดสามารถวัดได้เทียบเท่ากับ ความยาวจากปลายนิ้วทั้งสองข้าง )

                  • เป็นโรคบางอย่าง เช่น ไตวาย เบาหวาน รูมาตอยด์ ไทรอยด์ พิษสุราเรื้อรัง ธาลัสซีเมีย โรคมะเร็ง เป็นต้น

                  • รับประทานยาบางชนิดเป็นเวลานาน เช่น ยาสเตียรอยด์ ยาลดกรดในกระเพาะ(ยาธาตุน้ำขาว) ยาขับปัสสาวะ 

                  • ผู้ที่ผอมมาก ๆ ผู้ที่ประวัติครอบครัวเป็นโรคกระดูกพรุน หรือ ผู้ที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย 

                  • สูบบุหรี่ ดื่มสุรา ดื่มกาแฟมากกว่า 4 แก้วต่อวัน ดื่มน้ำอัดลมมากกว่า 1 ลิตรต่อวัน

                  #มวลกระดูก #กระดูกพรุน
                  Photo
                  Shared publicly
                    Add a comment...

                    ภาวะอ้วนเป็นปัจจัยสำคัญของ การเกิดโรคมะเร็งรองจากจากการสูบบุหรี่ ผลการวิจัยในประเทศสหรัฐอเมริกา ชี้ให้เห็นว่า 4-7% ของผู้ป่วยมะเร็งมีความสัมพันธ์กับภาวะอ้วน และตัวเลขดังกล่าวมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นทุกปี ภาวะอ้วนมีความสัมพันธ์กับมะเร็งหลายชนิดได้แก่ หลอดอาหาร ตับอ่อน ลำไส้ เต้านม เยื่อบุโพรงมดลูก ไต ถุงน้ำดี และต่อมไทรอยด์

                    ความสัมพันธ์ของภาวะอ้วนและโรคมะเร็งสามารถอธิบายด้วยกลไกดังต่อไปนี้

                    "ฮอร์โมนอินซูลิน (insulin) และ insulin-like growth factor ในปริมาณที่สูง (hyperinsulinemia) ซึ่งมีส่วนช่วนในการพัฒนาของเซลล์มะเร็ง

                    " เซลล์ไขมันจะผลิตฮอร์โมนเลพติน (leptin) ซึ่งพบได้มากในผู้ที่มีภาวะอ้วน โดยฮอร์โมนเลพตินจะกระตุ้นให้เซลล์เพิ่มจำนวน

                    " ฮอร์โมนเอสโตรเจน (estrogen) ถูกผลิตได้จากทั้งเซลล์ไขมันและรังไข่ ในผู้ที่มีภาวะอ้วนจะพบระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนสูง ซึ่งมีคุณสมบัติกระตุ้น การเพิ่มจำนวนเซลล์ โดยฮอร์โมนเอสโตรเจน พบว่ามีความสัมพันธ์กับการเกิด มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกและมะเร็งเต้านม

                    http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1433301121
                    Shared publicly
                      Add a comment...

                      ผู้ป่วยโรคไตควรหลีกเลี่ยงการรับประทานผักผลไม้ที่มีสารที่มีกรดอ็อกซาลิก (oxalic acid) ปริมาณสูง ซึ่งสามารถจับกับแคลเซี่ยมตกตะกอนเป็นก้อนนิ่วที่ไต

                      ผู้ป่วยธาลัสซีเมีย ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง เช่น ตับสัตว์ เลือดสัตว์ เครื่องในและผักผลไม้ที่มีธาตุเหล็กสูง เช่น ผักกูด ถั่วฝักยาว ผักแว่น เห็ดฟาง พริกหวาน ใบแมงลัก ใบกะเพรา ผักเม็ก ยอดมะกอก ยอดกระถิน

                      ผู้ป่วยโรคไทรอยด์ ควรรับประทานกะหล่ำปลีสุกจะดีกว่ากะหล่ำปลีดิบ

                      ผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งกระเพาะ ถ้ารับประทานพริกในปริมาณมากจะทำให้โรคมะเร็งเป็นมากขึ้นได้

                      http://www.pharmacy.mahidol.ac.th/thai/knowledgeinfo.php?id=141
                      Shared publicly
                        Add a comment...

                        อาหารที่ปิ้งย่างมักใช้เนื้อสัตว์ เช่น เป็ด เนื้อวัว ไก่ หรืออาหารทะเล วางลงในกระทะ หรือ ตะแกรง วางไว้เหนือเตาที่มีความร้อนสูง โดยให้ความร้อนผ่านเข้าสู่กล้ามเนื้อที่อยู่ในเนื้อสัตว์ เป็นกระบวนการทำให้อาหารสุก แต่เกิดสารก่อมะเร็งที่เรียกว่า Heterocycllc amines: HCAs และ Polycyclic aromatic hydrocarbnos: PAHs ซึ่งมีกลิ่นหอมชวนรับประทาน สารดังกล่าวสามารถทำลาย DNA ที่อยู่ในร่างกาย ทำให้มีผลกับการเกิดมะเร็งของลำไส้ใหญ่และกระเพาะ สารเหล่านี้ก็ยังสามารถซึมผ่านกระแสเลือดเข้าไปสู่เนื้อเยื่ออื่นๆ ได้อีก จากผลการวิจัยในสัตว์ทดลองพบว่าสารนี้เป็นสารก่อมะเร็ง ทำให้สัตว์เป็นมะเร็งบริเวณลำไส้ใหญ่ เต้านม มดลูก อัณฑะ ปอด ตับ ต่อมลูกหมาก ต่อมไทรอยด์ ช่องปาก ผิวหนัง 
                        และยังมีผลการวิจัยพบสารก่อมะเร็งที่มีชื่อว่า Acrylamide ในอาหารที่ใช้ความร้อนสูงเป็นเวลานาน ได้แก่ อาหารที่ปิ้งจนไหม้เกรียม และอาหารทอดโดยเฉพาะอาหารที่ผ่านการทอดด้วยน้ำมันที่นำมาทอดซ้ำหลายๆ ครั้ง สารนี้ยังเป็นพิษต่อระบบประสาททั้งในคนและสัตว์ และยังมีผลต่อระบบสืบพันธุ์ 
                        อย่างไรก็ดีการเกิดมะเร็งยังมีอิทธิพลของพันธุกรรมด้วย เวลาที่มีการแสดงออกที่พบบ่อย คือ ช่วงวัยกลางคนและวัยสูงอายุ

                        เนื้อสัตวควรต้มหรือตุ๋น ถ้าต้องการย่างหรือปิ้ง ไม่ควรวางตะแกรงย่างไว้ใกล้ติดกับไฟ หรือติดกับเปลวไฟ จนเกิดก้อนเนื้อติดไฟ พลิกเนื้อบ่อยๆ ใช้เนื้อปลาแทน เนื้อปลาไม่ต้องการความร้อนสูงสุกง่ายไม่ต้องย่างนาน น้ำมันที่ใช้ทอดควรเปลี่ยนทุกครั้งถ้าเป็นไปได้

                        http://child.haijai.com/4033/
                        Shared publicly
                          Add a comment...

                          สำหรับผู้ที่แพ้อาหารทะเลจึงควรระวังการใช้ยาที่ผลิตจากเปลือกของสัตว์ทะเลที่เป็นสาเหตุของการแพ้ เช่น ยากลูโคซามีน ซึ่งเป็นยารักษาข้อเข่าเสื่อม ช่วยเพิ่มน้ำในไขข้อ สกัดมาจากเปลือกสัตว์ทะเล จำพวก กุ้ง ปู
                          หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต่างๆ ที่มักมีส่วนประกอบของเปลือกสัตว์ทะเล เช่น มีส่วนประกอบของไคโตซาน เป็นโครงสร้างของเปลือกกุ้ง กระดองปู แกนปลาหมึก เป็นต้น

                          ปัจจุบันมีการนำไคโตซานมาใช้กว้างขวางในหลายอุตสาหกรรม ในด้านการแพทย์มีการใช้ในการห้ามเลือด พลาสเตอร์ หรือเป็นอาหารเสริมสำหรับผู้ที่ต้องการ “ดักจับไขมัน” ในร่างกายเพื่อลดคอเลสเตอรอล หรือใช้ในทางเกษตร เช่น เร่งการเติบโตในพืช สัตว์ ใช้เคลือบผลไม้เพื่อยืดอายุการเก็บ หรือแม้แต่ในเครื่องสำอาง

                          การแพ้อาหารทะเลไม่ได้เกิดจากการแพ้ไอโอดีน ดังนั้นยาบางตัวที่มีไอโอดีนผสมอยู่ คนที่แพ้อาหารทะเลสามารถใช้ได้ เช่น ยารักษาหัวใจเต้นผิดจังหวะ (อะมิโอดาโรน) ยารักษาไทรอยด์เป็นพิษแบบรุนแรง (โพแทสเซียม ไอโอไดด์) หรือสารทึบรังสี ที่มักใช้ในการตรวจทางรังสีวิทยา

                          http://sara-pan-ya.blogspot.com/2011/06/blog-post.html
                          Shared publiclyView activity
                            Add a comment...

                            กะหล่ำปลีมีกรดทาร์ทาริก ช่วยยับยั้งขัดขวางไม่ให้น้ำตาลและแป้งกลายไปเป็นไขมัน จึงช่วยลดน้ำหนักได้

                            กะหล่ำปลีกินมากก็ไม่ดี เนื่องจากมีสารกอยโตรเจน (Goitrogen) ซึ่งมีผลทำให้ต่อมไทรอยด์ไม่จับกับไอโอดีน ที่มาของการเกิดโรคคอหอยพอก ยังดีที่สารดังกล่าวจะหมดไปถ้าปรุงกะหล่ำปลีให้สุกเสียก่อน 

                            http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1418525950
                            Shared publicly
                              Add a comment...

                              ข้อมูลความเป็นพิษ:
                              ไม่พบความเป็นพิษในขนาดรับประทานปกติ

                              ข้อเสนอแนะ:
                              ไม่ควรใช้รางจืดติตต่อกันเป็นเวลานานโดยไม่จำเป็น โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว ต้องรับประทานยาต่อเนื่อง เช่น ยาเบาหวาน ยาลดความดันโลหิต ยาไทรอยด์ ยาจิตเวช

                              แคปซูลผสมรางจืด และ ชาชงรางจืด
                              มีจำหน่ายที่ BETTER PHARMACY

                              http://www.abhaiherb.com/product/herb-medicine/1276
                              Shared publicly
                                Add a comment...

                                สารเคมีที่พบในภาชนะโฟมบรรจุอาหารมี 3 ตัว ได้แก่
                                1.สารสไตรีน (Styrene) เป็นสารก่อมะเร็ง เพิ่มความเสี่ยงเกิดมะเร็งเต้านมและมะเร็งต่อมลูกหมาก มีผลต่อสมองและเส้นประสาท ทำให้อ่อนเพลีย หงุดหงิดง่าย นอนหลับยาก ระบบฮอร์โมนในร่างกายผิดปกติ ทำให้มี ปัญหาต่อมไทรอยด์และประจำเดือนในสตรีผิดปกติ

                                2.สารเบนซิน (Benzene) ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งเช่นกัน สารชนิดนี้ละลายได้ดีในน้ำมัน เมื่อเข้าสู่ร่างกาย ทำให้เกิดอาการวิงเวียน คลื่นไส้ อาเจียน หัวใจเต้นแรง หากได้รับสารชนิดนี้เป็นเวลานาน ทำให้เป็นโรคโลหิตจาง เนื่องจากสารเบนซินจะทำลายไขกระดูก ทำให้จำนวนเม็ดเลือดลดลง และ

                                3.สารพทาเลท (Phthalate) เป็นสารที่มีพิษต่อระบบสืบพันธุ์ ทำให้ผู้ชายเป็นหมัน หากเป็นหญิงมีครรภ์ลูกอาจมีอาการดาวน์ซินโดรมและอายุสั้นได้ ซึ่งการละลายของสารเคมีทั้ง 3 ชนิดนี้จะมากน้อยขึ้นอยู่กับ อุณหภูมิอาหาร ไขมันในอาหาร และระยะเวลาที่อาหารสัมผัสกับโฟม โดยอาหารที่มีไขมันสูงจะทำให้สารสไตรีนละลายออกมาได้มากกว่า

                                http://www.manager.co.th/Qol/ViewNews.aspx?NewsID=9580000026379
                                Photo
                                Shared publicly
                                  Add a comment...


                                  วิตะมินอี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ละลายในไขมัน ทำงานร่วมกับวิตะมินซีในการปกป้องผนังเซลจากการทำลายของอนุมูลอิสระ

                                  ประโยชน์
                                  ป้องกันโรคหลอดเลือดและหัวใจ ป้องกันเม็ดเลือดแดงถูกทำลาย
                                  เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ เสริมภูมิคุ้มกัน ลดอัตราการเกิดเซลล์มะเร็ง
                                  ป้องกันเซลล์ประสาท สมอง จากอนุมูลอิสระ ชะลอการเกิดโรคสมองเสื่อม อัลไซม์เมอร์
                                  เพิ่มความชุ่มชื่นแก่ผิว ช่วยสมานผิว
                                  จากการศึกษาพบว่าปริมาณที่ให้ผลในการลดความเสี่ยงโรคหัวใจหลอดเลือด คือ กินวันละ 400-800 IU เป็นเวลา 18 เดือนโดยเฉลี่ย

                                  อาการข้างเคียง 
                                  เกิดเมือกินมากกว่า 1,500 IU ติดต่อกันเป็นเวลานาน

                                  ข้อห้ามใช้
                                  ภาวะเลือดออกง่าย
                                  ไทรอยด์เป็นพิษ
                                  โลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก

                                  ห้ามกินวิตะมินอี ร่วมกับยาดังนี้
                                  WARFERIN
                                  ASPIRIN
                                  BETA BLOCKER อาทิเช่น PROPRANOLOL, ATENOLOL 

                                  Calcium channel blockers อาทิเช่น Amlodipine, Nifedipine

                                  ยาลดไขมันในเลือด อาทิเช่น Questran, LOPID, Orlistat

                                  อื่นๆ เช่น Omeprazole, Fenafex, Prozac

                                  http://umm.edu/health/medical/altmed/supplement/vitamin-e
                                  Photo
                                  Shared publicly
                                    Add a comment...

                                    No comments:

                                    Post a Comment