ยาหยอดหู - ราชวิทยาลัย โสต ศอ นาสิกแพทย์ แห่งประเทศไทย
http://www.rcot.org/data_detail.php?op=knowledge&id=17
คำแนะนำการใช้ยาหยอดหู
1. ตรวจดูชนิดของยาให้ถูกต้อง สำหรับยาที่เก็บในตู้เย็น ก่อนหยอดควรให้มีอุณหภูมิใกล้เคียงกับร่างกาย เช่น ใส่ในกระเป๋าเสื้อสักครู่
2. ตะแคงศีรษะให้หูข้างที่จะหยอดยาอยู่ด้านบน
3. ใช้ไม้พันสำลีเช็ดหนองออกจากรูหูให้สะอาด
4. ในผู้ใหญ่ดึงใบหูให้รูหูตรง โดยดึงใบหูไปด้านหลัง และดึงขึ้นด้านบน ส่วนเด็กให้ ดึงใบหูให้รูหูตรง โดยดึงใบหูไปด้านหลังและดึงลงด้านล่าง
5. หยอดยาเข้าไปในรูหู ตามที่แพทย์สั่ง
6. ตะแคงศีรษะไว้นาน 5-10 นาที เพื่อให้ยาสัมผัสกับผิวหนังมากที่สุด และมีเวลาดูดซึมเพียงพอ สำหรับการหยอดยาละลายขี้หูควรตะแคงศีรษะอย่างน้อย 15 นาที
7. เช็ดยาที่ไหลออกมานอกรูหู ไม่ควรเช็ดในรูหู ในกรณีแก้วหูทะลุ ยาอาจไหลลงคอทำให้รู้สึกขมในคอได้
8. ถ้ารูหูบวมมาก ไม่แน่ใจว่าจะหยอดยาผ่านเข้าไปได้หรือไม่ ควรใช้สำลีปั่นเป็นเส้นเล็กๆ แล้วสอดเข้าไปในรูหู เพื่อหยอดยาผ่านสำลีนี้ ควรเปลี่ยนสำลีทุกวัน จนกระทั่งรูหูกว้างพอที่จะหยอดยาได้ตามปกติ
9. หากมีผื่นบวม แดง หรือปวดหูมากขึ้นให้หยุดยา แล้วปรึกษาแพทย์ทันที
ข้อควรระวังในการใช้ยาหยอดหู
1. ในส่วนของยาหยอดหูที่เป็นยาปฏิชีวนะระวังในผู้ป่วยที่เคยมีประวัติแพ้ยานั้น
2. ยาหยอดหู ที่มีส่วนผสมของยาต้านฮีสตามีนหรือยากลุ่ม decongestants ก็อาจมีอาการ ปากแห้ง ง่วงซึม และ มองเห็นภาพไม่ชัดได้
3. ยาหยอดหูที่มีส่วนประกอบของยาชา อาจเกิดอาการแพ้ได้ และดูดซึมได้ไม่ดีซึ่งทำให้ไม่นิยมใช้เนื่องจากสามารถลดอาการปวดหู โดยใช้ paracetamol แทนได้
4. ห้ามใช้ยาหยอดหูเองในกรณีที่มีเยื่อแก้วหูฉีกขาด
5. ผู้ป่วยที่ใช้ยาหยอดหูแล้วมีอาการบวมแดง หรือเป็นตุ่มใสขึ้นที่รูหูและใบหู อาจเกิดจากการแพ้ยา จึงควรจะหยุดยาหยอดหูนั้นทันที
6. การใช้ยาหยอดหูที่มีส่วนผสมของยากลุ่มสเตีรอยด์เป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดอาการอักเสบจากการติดเชื้อราในรูหู
7. ถ้ายาหยอดหูมีอุณหภูมิต่ำกว่าอุณหภูมิร่างกายมาก ให้กำยาไว้ประมาณ 2-3 นาที เพื่อปรับอุณหภูมิก่อนหยดยาเพราะหากหยอดยาที่เย็นเกินไปลงในที่เยื่อแก้วหู จะมีผลต่อโครงสร้างของหูชั้นในทำให้เกิดอาการวิงเวียนและคลื่นไส้ได้
http://pharm.kku.ac.th/thaiv/pharmpractice/eent/lesson/ears/ear-doc.pdf
http://www.samrong-hosp.com/คัมภีร์การใช้ยา/ยาสำหรับหู
http://www.rcot.org/data_detail.php?op=knowledge&id=17
คำแนะนำการใช้ยาหยอดหู
1. ตรวจดูชนิดของยาให้ถูกต้อง สำหรับยาที่เก็บในตู้เย็น ก่อนหยอดควรให้มีอุณหภูมิใกล้เคียงกับร่างกาย เช่น ใส่ในกระเป๋าเสื้อสักครู่
2. ตะแคงศีรษะให้หูข้างที่จะหยอดยาอยู่ด้านบน
3. ใช้ไม้พันสำลีเช็ดหนองออกจากรูหูให้สะอาด
4. ในผู้ใหญ่ดึงใบหูให้รูหูตรง โดยดึงใบหูไปด้านหลัง และดึงขึ้นด้านบน ส่วนเด็กให้ ดึงใบหูให้รูหูตรง โดยดึงใบหูไปด้านหลังและดึงลงด้านล่าง
5. หยอดยาเข้าไปในรูหู ตามที่แพทย์สั่ง
6. ตะแคงศีรษะไว้นาน 5-10 นาที เพื่อให้ยาสัมผัสกับผิวหนังมากที่สุด และมีเวลาดูดซึมเพียงพอ สำหรับการหยอดยาละลายขี้หูควรตะแคงศีรษะอย่างน้อย 15 นาที
7. เช็ดยาที่ไหลออกมานอกรูหู ไม่ควรเช็ดในรูหู ในกรณีแก้วหูทะลุ ยาอาจไหลลงคอทำให้รู้สึกขมในคอได้
8. ถ้ารูหูบวมมาก ไม่แน่ใจว่าจะหยอดยาผ่านเข้าไปได้หรือไม่ ควรใช้สำลีปั่นเป็นเส้นเล็กๆ แล้วสอดเข้าไปในรูหู เพื่อหยอดยาผ่านสำลีนี้ ควรเปลี่ยนสำลีทุกวัน จนกระทั่งรูหูกว้างพอที่จะหยอดยาได้ตามปกติ
9. หากมีผื่นบวม แดง หรือปวดหูมากขึ้นให้หยุดยา แล้วปรึกษาแพทย์ทันที
ข้อควรระวังในการใช้ยาหยอดหู
1. ในส่วนของยาหยอดหูที่เป็นยาปฏิชีวนะระวังในผู้ป่วยที่เคยมีประวัติแพ้ยานั้น
2. ยาหยอดหู ที่มีส่วนผสมของยาต้านฮีสตามีนหรือยากลุ่ม decongestants ก็อาจมีอาการ ปากแห้ง ง่วงซึม และ มองเห็นภาพไม่ชัดได้
3. ยาหยอดหูที่มีส่วนประกอบของยาชา อาจเกิดอาการแพ้ได้ และดูดซึมได้ไม่ดีซึ่งทำให้ไม่นิยมใช้เนื่องจากสามารถลดอาการปวดหู โดยใช้ paracetamol แทนได้
4. ห้ามใช้ยาหยอดหูเองในกรณีที่มีเยื่อแก้วหูฉีกขาด
5. ผู้ป่วยที่ใช้ยาหยอดหูแล้วมีอาการบวมแดง หรือเป็นตุ่มใสขึ้นที่รูหูและใบหู อาจเกิดจากการแพ้ยา จึงควรจะหยุดยาหยอดหูนั้นทันที
6. การใช้ยาหยอดหูที่มีส่วนผสมของยากลุ่มสเตีรอยด์เป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดอาการอักเสบจากการติดเชื้อราในรูหู
7. ถ้ายาหยอดหูมีอุณหภูมิต่ำกว่าอุณหภูมิร่างกายมาก ให้กำยาไว้ประมาณ 2-3 นาที เพื่อปรับอุณหภูมิก่อนหยดยาเพราะหากหยอดยาที่เย็นเกินไปลงในที่เยื่อแก้วหู จะมีผลต่อโครงสร้างของหูชั้นในทำให้เกิดอาการวิงเวียนและคลื่นไส้ได้
http://pharm.kku.ac.th/thaiv/pharmpractice/eent/lesson/ears/ear-doc.pdf
http://www.samrong-hosp.com/คัมภีร์การใช้ยา/ยาสำหรับหู
no plus ones
no comments
no shares
Shared publicly
Add a comment...
รู้จักยาละลายขี้หู. นายแพทย์จรัล กังสนารักษ์
ยาละลายขี้หู หรือยาหยอดที่ทำให้ขี้หูอ่อนตัว
ขี้หู (Ear wax) สร้างจากต่อม apocrine และ sebaceous สามารถต่อต้านการเจริญเติบโตของแบคทีเรียและราได้ ขี้หูจะถูกขับออกมาได้เองโดยการเคลื่อนตัวออกของ epithelium migration แล้วมาค้างตาม 1/3 ของรูหูส่วนนอก ขณะที่เคี้ยวอาหาร หาว และกลืนน้ำลาย จะเกิดการดึงรั้งขี้หูให้มาค้างอยู่ตามบริเวณรูหูส่วนนอก
ขี้หูอุดตันเกิดจากสาเหตุหลายประการ เช่น
- การใช้ไม้พันสำลี (cotton bud) การปั่นหูกลับทำให้ขี้หูถูกดันลึกเข้าไป
- รูหูที่คดเคี้ยว
- ต่อมไขมันน้อยเกินไปทำให้ขี้หูขาดความชื้น
- และขนในรูหูมีมากเกินไป
ในกรณีที่ขี้หูอุดตันและแข็ง ติดแน่นจนไม่สามารถเอาออกได้โดยวิธีคีบเกี่ยวออก หรือวิธี ล้างหู ควรหยอดสารที่ทำให้ขี้หูอ่อนตัวก่อน 3-5 วัน ค่อยมาเอาออกภายหลัง สารดังกล่าวที่ใช้ได้อย่างปลอดภัยได้แก่ น้ำมันมะกอก น้ำมันทาผิวเด็ก(baby oil)
พึงระลึกไว้เสมอว่า หลังจากให้หยอดยาเหล่านี้แล้ว ต้องไปเอาขี้หูที่เหลือออกภายใน 3-5 วัน การใช้ยาหยอดติดต่อกันนานเกินไป จะทำให้เกิดอาการระคายเคืองมาก ถ้าไม่แน่ใจว่าแก้วหูทะลุ ไม่ควรใช้ยาหยอดเหล่านี้ เพราะอาจนำเชื้อโรคเข้าสู่หูชั้นในทำให้หูหนวกได้
https://www.facebook.com/dcj.sink/posts/606863782679702
ยาละลายขี้หู หรือยาหยอดที่ทำให้ขี้หูอ่อนตัว
ขี้หู (Ear wax) สร้างจากต่อม apocrine และ sebaceous สามารถต่อต้านการเจริญเติบโตของแบคทีเรียและราได้ ขี้หูจะถูกขับออกมาได้เองโดยการเคลื่อนตัวออกของ epithelium migration แล้วมาค้างตาม 1/3 ของรูหูส่วนนอก ขณะที่เคี้ยวอาหาร หาว และกลืนน้ำลาย จะเกิดการดึงรั้งขี้หูให้มาค้างอยู่ตามบริเวณรูหูส่วนนอก
ขี้หูอุดตันเกิดจากสาเหตุหลายประการ เช่น
- การใช้ไม้พันสำลี (cotton bud) การปั่นหูกลับทำให้ขี้หูถูกดันลึกเข้าไป
- รูหูที่คดเคี้ยว
- ต่อมไขมันน้อยเกินไปทำให้ขี้หูขาดความชื้น
- และขนในรูหูมีมากเกินไป
ในกรณีที่ขี้หูอุดตันและแข็ง ติดแน่นจนไม่สามารถเอาออกได้โดยวิธีคีบเกี่ยวออก หรือวิธี ล้างหู ควรหยอดสารที่ทำให้ขี้หูอ่อนตัวก่อน 3-5 วัน ค่อยมาเอาออกภายหลัง สารดังกล่าวที่ใช้ได้อย่างปลอดภัยได้แก่ น้ำมันมะกอก น้ำมันทาผิวเด็ก(baby oil)
พึงระลึกไว้เสมอว่า หลังจากให้หยอดยาเหล่านี้แล้ว ต้องไปเอาขี้หูที่เหลือออกภายใน 3-5 วัน การใช้ยาหยอดติดต่อกันนานเกินไป จะทำให้เกิดอาการระคายเคืองมาก ถ้าไม่แน่ใจว่าแก้วหูทะลุ ไม่ควรใช้ยาหยอดเหล่านี้ เพราะอาจนำเชื้อโรคเข้าสู่หูชั้นในทำให้หูหนวกได้
https://www.facebook.com/dcj.sink/posts/606863782679702
no plus ones
no comments
no shares
Shared publicly
Add a comment...
ควรป้องกันไม่ให้ขี้หูอุดตันอีกโดย
- ไม่ใช้ไม้พันสำลีทำความสะอาดหู หรือปั่นหูอีก ถ้าน้ำเข้าหูทำให้รู้สึกรำคาญจนต้องปั่น หรือเช็ดหู ควรป้องกันไม่ให้น้ำเข้าโดยหาสำลีชุบวาสลิน หรือที่อุดหูสำหรับนักดำน้ำ ซึ่งมีขายตามร้านกีฬา มาอุดหูเวลาอาบน้ำ หรือผู้หญิงที่สวมหมวกอาบน้ำ ควรดึงหมวกให้มาคลุมใบหู เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำเข้าหู
- อาจใช้ยาละลายขี้หู หยอดในหูเป็นประจำ เพื่อทำการล้างขี้หู อาจใช้เพียงอาทิตย์ละครั้ง ถ้าไม่มีปัญหา อาจห่างออกไป เป็น 2 หรือ 3 หรือ 4 อาทิตย์ หยอด 1 ครั้ง ก็จะช่วยลดการอุดตันของขี้หู ในช่องหูชั้นนอกได้
ไม้สำลีห้ามใช้ปั่นในรูหูครับ ใช้เช็ดได้รอบๆ ครับ คุณหมอบอกมาครับ
http://www.si.mahidol.ac.th/sidoctor/e-pl/articledetail.asp?id=748
http://www.thaihealth.or.th/Content/10863-แคะหูมาก ระวัง!ขี้หูอุดตัน.html
http://health.sanook.com/3377/
- ไม่ใช้ไม้พันสำลีทำความสะอาดหู หรือปั่นหูอีก ถ้าน้ำเข้าหูทำให้รู้สึกรำคาญจนต้องปั่น หรือเช็ดหู ควรป้องกันไม่ให้น้ำเข้าโดยหาสำลีชุบวาสลิน หรือที่อุดหูสำหรับนักดำน้ำ ซึ่งมีขายตามร้านกีฬา มาอุดหูเวลาอาบน้ำ หรือผู้หญิงที่สวมหมวกอาบน้ำ ควรดึงหมวกให้มาคลุมใบหู เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำเข้าหู
- อาจใช้ยาละลายขี้หู หยอดในหูเป็นประจำ เพื่อทำการล้างขี้หู อาจใช้เพียงอาทิตย์ละครั้ง ถ้าไม่มีปัญหา อาจห่างออกไป เป็น 2 หรือ 3 หรือ 4 อาทิตย์ หยอด 1 ครั้ง ก็จะช่วยลดการอุดตันของขี้หู ในช่องหูชั้นนอกได้
ไม้สำลีห้ามใช้ปั่นในรูหูครับ ใช้เช็ดได้รอบๆ ครับ คุณหมอบอกมาครับ
http://www.si.mahidol.ac.th/sidoctor/e-pl/articledetail.asp?id=748
http://www.thaihealth.or.th/Content/10863-แคะหูมาก ระวัง!ขี้หูอุดตัน.html
http://health.sanook.com/3377/
no plus ones
no comments
no shares
Shared publicly
Add a comment...
การดูแลอนามัยช่องปากอย่างเหมาะสมด้วยสูตร 2 : 2 : 2 ได้แก่ แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง นานครั้งละ 2 นาที และงดรับประทานอาหารหลังแปรงฟัน 2 ชั่วโมง และใช้ไหมขัดฟันวันละ 1 ครั้ง
เชื้อโรคจากช่องปากยังสามารถแพร่กระจายไปสู่รูหู ผ่านทางท่อที่มีติดต่อกันอยู่แล้วตามธรรมชาติ และนำไปสู่การอักเสบของหูได้ จึงควรดูแลสุขภาพในช่องปากและป้องกันปัจจัยเสี่ยงร่วม
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1461740864
เชื้อโรคจากช่องปากยังสามารถแพร่กระจายไปสู่รูหู ผ่านทางท่อที่มีติดต่อกันอยู่แล้วตามธรรมชาติ และนำไปสู่การอักเสบของหูได้ จึงควรดูแลสุขภาพในช่องปากและป้องกันปัจจัยเสี่ยงร่วม
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1461740864
no plus ones
no comments
no shares
Shared publicly
Add a comment...
Public
หวัดธรรมดา เกือบทุกราย เกิดจากเชื้อไวรัส ไม่ใช้ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย
จะใช้ยาฆ่าเชื้อก็ต่อเมื่อ ปวดหู มีของเหลวออกจากหู ปวดแก้ม ปวดหน้าผาก ร่วมกับมีไข้สูง
น้ำมูกสีเขียวเหลืองไม่ได้บ่งบอกว่าติดเชื้อแบคทีเรีย
ที่มา คู่มือการรักษาโรคติดเชื้อแบคทีเรียด้วยยาปฏิชีวนะที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล 2558
จะใช้ยาฆ่าเชื้อก็ต่อเมื่อ ปวดหู มีของเหลวออกจากหู ปวดแก้ม ปวดหน้าผาก ร่วมกับมีไข้สูง
น้ำมูกสีเขียวเหลืองไม่ได้บ่งบอกว่าติดเชื้อแบคทีเรีย
ที่มา คู่มือการรักษาโรคติดเชื้อแบคทีเรียด้วยยาปฏิชีวนะที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล 2558
no plus ones
no comments
no shares
Public
no plus ones
no comments
no shares
สถาบันบำราศนราดูร พบผู้ป่วยหูอื้อ เพราะขี้หูอุดตัน เหตุจากใช้คอตตอนบัดขนาดใหญ่ปั่นในรูหู เดือนละกว่า 100 ราย ...
วิธีการทำความสะอาดหูอย่างถูกวิธี และไม่เป็นอันตรายนั้น ขอให้ทำความสะอาดเฉพาะใบหูและบริเวณปากรูหู โดยใช้สำลีหรือผ้าขนหนูนุ่มๆ ชุบสบู่หรือน้ำ เช็ดเบาๆ บริเวณใบหู ก่อนอาบน้ำให้เด็กขอให้ใช้สำลีอุดหูเพื่อป้องกันน้ำเข้าหู
ไม่ควรฟังเพลงเสียงดังนานเกินไป จะทำให้เกิดโรคหูตึงไปจนถึงหูดับถาวร ข้อจำกัดในการอยู่ในที่เสียงดังคือ ถ้าอยู่ในที่ที่มีเสียงดังตั้งแต่ 85 เดซิเบลขึ้นไป ไม่ควรอยู่นานเกินวันละ 8 ชั่วโมง และต้องมีเครื่องป้องกันเสียงสวมครอบหูไว้ด้วย รวมทั้งหากเกิดอาการเจ็บปวดบริเวณหู หรือได้ยินเสียงไม่ชัดเจน ไม่ควรซื้อยามาหยอดเอง ขอให้มาพบแพทย์ เพื่อตรวจหาสาเหตุและรักษาให้ตรงตามโรคและถูกวิธี”
http://www.thairath.co.th/content/246323
วิธีการทำความสะอาดหูอย่างถูกวิธี และไม่เป็นอันตรายนั้น ขอให้ทำความสะอาดเฉพาะใบหูและบริเวณปากรูหู โดยใช้สำลีหรือผ้าขนหนูนุ่มๆ ชุบสบู่หรือน้ำ เช็ดเบาๆ บริเวณใบหู ก่อนอาบน้ำให้เด็กขอให้ใช้สำลีอุดหูเพื่อป้องกันน้ำเข้าหู
ไม่ควรฟังเพลงเสียงดังนานเกินไป จะทำให้เกิดโรคหูตึงไปจนถึงหูดับถาวร ข้อจำกัดในการอยู่ในที่เสียงดังคือ ถ้าอยู่ในที่ที่มีเสียงดังตั้งแต่ 85 เดซิเบลขึ้นไป ไม่ควรอยู่นานเกินวันละ 8 ชั่วโมง และต้องมีเครื่องป้องกันเสียงสวมครอบหูไว้ด้วย รวมทั้งหากเกิดอาการเจ็บปวดบริเวณหู หรือได้ยินเสียงไม่ชัดเจน ไม่ควรซื้อยามาหยอดเอง ขอให้มาพบแพทย์ เพื่อตรวจหาสาเหตุและรักษาให้ตรงตามโรคและถูกวิธี”
http://www.thairath.co.th/content/246323
no plus ones
no comments
no shares
Shared publicly
Add a comment...
มีเสียงในหูเกิดขึ้นมาแทนที่ เป็นเสียงคล้าย ๆ เครื่องบินเจ็ท เวลาเรานั่งเครื่องบินจะได้ยินเสียงแบบนั้น นอกจากนั้นก็เป็นเสียงคล้าย ๆ จิ้งหรีดเรไรร้องอยู่ไกล ๆ เป็นแบบนี้ตลอด ๒๔ ชั่วโมง
อาการแบบนี้ทำให้เครียดจัดเลยครับ เมื่อรู้ว่ามันมีอาการแบบนี้ก็ไปหาหมอ ตรวจพบวา่าการฟังเสื่อมลงมากในหูข้างขวา หมอพยายามจัดยารักษาแบบฉุกเฉิน เป็นยาขยายหลอดเลือดฝอยในสมอง ยากระตุ้นการทำงานของสมองและประสาทการรับฟังที่เส้นเลือดฝอยที่ไปหล่อเลี้ยงมันตีบ ยาลดความดันโลหิต เนื่องจากตรวจพบว่าความดันผมอยู่ที่ ๑๘๐/๘๔ หัวใจเต้น ๘๐ ครั้ง/นาที
ผมไม่รู้มาก่อนว่าความดันสูง เนื่องจากก่อนหน้านั้นสองปีเคยวัดอยู่ที่ ๑๔๐/๗๐ ซึ่งยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ ค่อนข้างสูง
อาการแบบนี้ทำให้เครียดจัดเลยครับ เมื่อรู้ว่ามันมีอาการแบบนี้ก็ไปหาหมอ ตรวจพบวา่าการฟังเสื่อมลงมากในหูข้างขวา หมอพยายามจัดยารักษาแบบฉุกเฉิน เป็นยาขยายหลอดเลือดฝอยในสมอง ยากระตุ้นการทำงานของสมองและประสาทการรับฟังที่เส้นเลือดฝอยที่ไปหล่อเลี้ยงมันตีบ ยาลดความดันโลหิต เนื่องจากตรวจพบว่าความดันผมอยู่ที่ ๑๘๐/๘๔ หัวใจเต้น ๘๐ ครั้ง/นาที
ผมไม่รู้มาก่อนว่าความดันสูง เนื่องจากก่อนหน้านั้นสองปีเคยวัดอยู่ที่ ๑๔๐/๗๐ ซึ่งยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ ค่อนข้างสูง
‹
›
ปั่นจักรยานสู้โรคร้าย (6 รูปภาพ)
6 Photos - View album
ปั่นจักรยานหนีโรคร้าย จากอดีตผมเคยเกือบพิการเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต เมื่อเส้นเลือดฝอยในสมองมันตีบเนื่องจากความดันโลหิตสูงมาก ทำให้เล้นเลือดเริ่มแข็งตีบลง เมื่อเกร็ดเลือดไปอุดตันจึงทำให้หูดับ การทรงตัวเสียไปบ้าง การพื้นฟูร่างกายและจิตใจเป็นเรื่องที่ต้องจริงจังอย่างมาก หาไม่แล้วคงไม่มีวันนี้
เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๓ ขณะที่ผมขับรถอยู่ก็เกิดหูดับไปทันทีทันใดแบบปิดสวิทช์ ผมตกใจมาก เพราะเสียงมันผิดไปหมด รถที่เสียงเงียบ ๆ กลับดั่งก๊อกแก๊ก ๆ ๆ ความถี่บางช่วงที่ก่อนหน้านั้นหูคนไม่ได้ยินกลับได้ยินชัดมากขึ้น เป็นกับหูข้างซ้าย แต่หูข้างขวาดับไปเลย แทบไม่ได้ยินเสียง
ผมไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น ลงไปเปิดฝาโปรงรถดูเครื่องยนต์ก็ปกติ เมื่อกลับขึ้นมานั่งตำแหน่งคนขับพูดกับพ่อที่นั่งข้าง ๆ ปรากฏว่าผมไม่ได้ยินเสียงพ่อผมพูดตอบมา
เหตุเกิดแถว ๆ ทางขนานใต้ทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา ใกล้เขตวังทองหลาง ผมก็พยายามขับรถกลับบ้านบางกะปิ อาบน้ำ พบว่าน้ำฝักบัวเสียงดังเหมือนน้ำตก มอเตอร์ไซค์ที่วิ่งในซอยเสียงดังเหมือนเฮลิคอปเตอร์ แต่เป็นเสียงที่ผิดเพี้ยนไปหมด ดังมากแบบนั้นอยู่ครึ่งวันก็กลับกลายเป็นเงียบ ไม่ได้ยินเสียงอีกเลย
มีเสียงในหูเกิดขึ้นมาแทนที่ เป็นเสียงคล้าย ๆ เครื่องบินเจ็ท เวลาเรานั่งเครื่องบินจะได้ยินเสียงแบบนั้น นอกจากนั้นก็เป็นเสียงคล้าย ๆ จิ้งหรีดเรไรร้องอยู่ไกล ๆ เป็นแบบนี้ตลอด ๒๔ ชั่วโมง
อาการแบบนี้ทำให้เครียดจัดเลยครับ เมื่อรู้ว่ามันมีอาการแบบนี้ก็ไปหาหมอ ตรวจพบวา่าการฟังเสื่อมลงมากในหูข้างขวา หมอพยายามจัดยารักษาแบบฉุกเฉิน เป็นยาขยายหลอดเลือดฝอยในสมอง ยากระตุ้นการทำงานของสมองและประสาทการรับฟังที่เส้นเลือดฝอยที่ไปหล่อเลี้ยงมันตีบ ยาลดความดันโลหิต เนื่องจากตรวจพบว่าความดันผมอยู่ที่ ๑๘๐/๘๔ หัวใจเต้น ๘๐ ครั้ง/นาที
ผมไม่รู้มาก่อนว่าความดันสูง เนื่องจากก่อนหน้านั้นสองปีเคยวัดอยู่ที่ ๑๔๐/๗๐ ซึ่งยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ ค่อนข้างสูง
ด้วยความประมาทช่วงนั้นทำงานสื่อสารมวลชน มีงานสังสรรค์มากมาย มีแอลกอฮอล์ มีอาหารที่ไม่เหมาะสมอีกด้วย
นอกจากหูผิดปกติเวลาเดินก็ผิดปกตินิดหน่อย เวลาออกไปอยู่กลางแดดสักครู่จะหูอื้อดังหึ่ง ๆ เหมือนเอาหัวไปซุกรังผึ้ง หน้ามืด ต้องนั่งลงไม่งั้นจะล้ม
ผมจึงไปพักฟื้นร่างกายที่บ้านเกิด อ.ปง จ.พะเยา หมอให้นอนนิ่ง ๆ ในช่วงฟื้นฟูสมองด้วยยาที่กินแล้วง่วงมาก ๆ กินยาแล้วหลับทั้งวัน เป็นแบบนี้อาทิตย์หนึ่งกลับไปหาหมอ ตรวจดูมันไม่ฟื้นคืนสภาพเลย
ก็รับยามา เป็นแบบนี้อยู่นานหลายเดือนจนผมคิดว่าน่าจะสู้ด้วยการออกกำลังกาย เพื่อปรับสภาพการทำงานของปอด หัวใจ กล้ามเนื้อให้เส้นเลือดฝอยโล่ง
จึงเริ่มออกกำลังการด้วยการเดิน เดินเร็วอยู่นานหลายอาทิตย์ จากการที่ละเลยทำให้ปวดข้อเข่า ข้อสะโพกเมื่อไปวิ่งจ๊อกกิ้ง วิ่งเบา ๆ ก็ไม่ได้ มันปวด ก็กลับมาเดินต่ออีกสามเดือน จนเดินได้ดีแล้ว ได้เหงื่อทุก ๆ วัน
จากนั้นก็เริ่มอ่านข้อมูลในอินเตอร์เน็ทพบว่าการปั่นจักรยานแบบแอโรบิคคือปั่นเรื่อย ๆ สม่ำเสมอนานเป็นชั่วโมง ๆ จะสามารถปรับสภาพกล้ามเนื้อ การทำงานของปอด การทำงานของหัวใจให้ดีขึ้น โล่ง และหลอดเลือดฝอยเพิ่มมากขึ้นได้
ผมก็ไปซื้อจักรยานมาฝึกปั่นบนเทรนเนอร์ โดยยึดจักรยานไว้ เป็นแท่นเสมือนขี่จักรยานเมาเทนไบค์จริง ๆ คือสามารถเพิ่มความหนืดที่ล้อหลังได้ด้วย และเมื่อเปลี่ยนสปีดเป็นแบบต่าง ๆ ตามโปรแกรมการฝึกผมก็พบว่าเป็นการออกกำลังกายที่ปลอดภัยมีประสิทธิภาพสูงมาก
ระยะแรก ๆ ปั่นแบบพัฒนากล้ามเนื้อและข้อเข่า ปั่นเรื่อย ๆ อยู่เป็นเดือน จนเข้าสู่โปรแกรมการออกกำลังเพื่อเตรียมความพร้อมไปสู่การปั่นแบบกีฬา คือต้องปรับกล้ามเนื้อ ข้อเข่า ปอด หัวใจให้สมบูรณ์เต็มที่เสียก่อน
ไม่ใช่อยู่ ๆ ซื้อจักรยานมาแล้วปั่นจ้ำสุด ๆ ไปตั้งแต่แรก ๆ การทำแบบนั้นจะได้ผลตรงข้าม คือบาดเจ็บที่ข้อเข่า กล้ามเนื้อรับไม่ไหว ปอดและหัวใจทำงานไม่ทัน การใช้ออกซิเจนไม่มีประสิทธิภาพ อาจหน้ามืดเป็นลมล้มลงตายได้ง่าย ๆ
ผมใช้เวลาเตรียมร่างกายอยู่ ๑ ปี จึงออกไปปั่นถนนครับ
ลองดูภาพ ก่อนปั่นน้ำหนักตัวผมเกินไปมาก ภาพแรกหลังจากปรับสภาพร่างกายปั่นอยู่กับที่มา ๑ ปี ก็เริ่มออกถนน ร่างกายแข็งแรงขึ้นมากแล้ว แต่ยังไม่เต็มที่ จึงปั่นต่อไปอีก ๓ ปี โดยช่วงหลัง ๆ สลับไปปั่นรถเสือหมอบด้วยครับ
เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๓ ขณะที่ผมขับรถอยู่ก็เกิดหูดับไปทันทีทันใดแบบปิดสวิทช์ ผมตกใจมาก เพราะเสียงมันผิดไปหมด รถที่เสียงเงียบ ๆ กลับดั่งก๊อกแก๊ก ๆ ๆ ความถี่บางช่วงที่ก่อนหน้านั้นหูคนไม่ได้ยินกลับได้ยินชัดมากขึ้น เป็นกับหูข้างซ้าย แต่หูข้างขวาดับไปเลย แทบไม่ได้ยินเสียง
ผมไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น ลงไปเปิดฝาโปรงรถดูเครื่องยนต์ก็ปกติ เมื่อกลับขึ้นมานั่งตำแหน่งคนขับพูดกับพ่อที่นั่งข้าง ๆ ปรากฏว่าผมไม่ได้ยินเสียงพ่อผมพูดตอบมา
เหตุเกิดแถว ๆ ทางขนานใต้ทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา ใกล้เขตวังทองหลาง ผมก็พยายามขับรถกลับบ้านบางกะปิ อาบน้ำ พบว่าน้ำฝักบัวเสียงดังเหมือนน้ำตก มอเตอร์ไซค์ที่วิ่งในซอยเสียงดังเหมือนเฮลิคอปเตอร์ แต่เป็นเสียงที่ผิดเพี้ยนไปหมด ดังมากแบบนั้นอยู่ครึ่งวันก็กลับกลายเป็นเงียบ ไม่ได้ยินเสียงอีกเลย
มีเสียงในหูเกิดขึ้นมาแทนที่ เป็นเสียงคล้าย ๆ เครื่องบินเจ็ท เวลาเรานั่งเครื่องบินจะได้ยินเสียงแบบนั้น นอกจากนั้นก็เป็นเสียงคล้าย ๆ จิ้งหรีดเรไรร้องอยู่ไกล ๆ เป็นแบบนี้ตลอด ๒๔ ชั่วโมง
อาการแบบนี้ทำให้เครียดจัดเลยครับ เมื่อรู้ว่ามันมีอาการแบบนี้ก็ไปหาหมอ ตรวจพบวา่าการฟังเสื่อมลงมากในหูข้างขวา หมอพยายามจัดยารักษาแบบฉุกเฉิน เป็นยาขยายหลอดเลือดฝอยในสมอง ยากระตุ้นการทำงานของสมองและประสาทการรับฟังที่เส้นเลือดฝอยที่ไปหล่อเลี้ยงมันตีบ ยาลดความดันโลหิต เนื่องจากตรวจพบว่าความดันผมอยู่ที่ ๑๘๐/๘๔ หัวใจเต้น ๘๐ ครั้ง/นาที
ผมไม่รู้มาก่อนว่าความดันสูง เนื่องจากก่อนหน้านั้นสองปีเคยวัดอยู่ที่ ๑๔๐/๗๐ ซึ่งยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ ค่อนข้างสูง
ด้วยความประมาทช่วงนั้นทำงานสื่อสารมวลชน มีงานสังสรรค์มากมาย มีแอลกอฮอล์ มีอาหารที่ไม่เหมาะสมอีกด้วย
นอกจากหูผิดปกติเวลาเดินก็ผิดปกตินิดหน่อย เวลาออกไปอยู่กลางแดดสักครู่จะหูอื้อดังหึ่ง ๆ เหมือนเอาหัวไปซุกรังผึ้ง หน้ามืด ต้องนั่งลงไม่งั้นจะล้ม
ผมจึงไปพักฟื้นร่างกายที่บ้านเกิด อ.ปง จ.พะเยา หมอให้นอนนิ่ง ๆ ในช่วงฟื้นฟูสมองด้วยยาที่กินแล้วง่วงมาก ๆ กินยาแล้วหลับทั้งวัน เป็นแบบนี้อาทิตย์หนึ่งกลับไปหาหมอ ตรวจดูมันไม่ฟื้นคืนสภาพเลย
ก็รับยามา เป็นแบบนี้อยู่นานหลายเดือนจนผมคิดว่าน่าจะสู้ด้วยการออกกำลังกาย เพื่อปรับสภาพการทำงานของปอด หัวใจ กล้ามเนื้อให้เส้นเลือดฝอยโล่ง
จึงเริ่มออกกำลังการด้วยการเดิน เดินเร็วอยู่นานหลายอาทิตย์ จากการที่ละเลยทำให้ปวดข้อเข่า ข้อสะโพกเมื่อไปวิ่งจ๊อกกิ้ง วิ่งเบา ๆ ก็ไม่ได้ มันปวด ก็กลับมาเดินต่ออีกสามเดือน จนเดินได้ดีแล้ว ได้เหงื่อทุก ๆ วัน
จากนั้นก็เริ่มอ่านข้อมูลในอินเตอร์เน็ทพบว่าการปั่นจักรยานแบบแอโรบิคคือปั่นเรื่อย ๆ สม่ำเสมอนานเป็นชั่วโมง ๆ จะสามารถปรับสภาพกล้ามเนื้อ การทำงานของปอด การทำงานของหัวใจให้ดีขึ้น โล่ง และหลอดเลือดฝอยเพิ่มมากขึ้นได้
ผมก็ไปซื้อจักรยานมาฝึกปั่นบนเทรนเนอร์ โดยยึดจักรยานไว้ เป็นแท่นเสมือนขี่จักรยานเมาเทนไบค์จริง ๆ คือสามารถเพิ่มความหนืดที่ล้อหลังได้ด้วย และเมื่อเปลี่ยนสปีดเป็นแบบต่าง ๆ ตามโปรแกรมการฝึกผมก็พบว่าเป็นการออกกำลังกายที่ปลอดภัยมีประสิทธิภาพสูงมาก
ระยะแรก ๆ ปั่นแบบพัฒนากล้ามเนื้อและข้อเข่า ปั่นเรื่อย ๆ อยู่เป็นเดือน จนเข้าสู่โปรแกรมการออกกำลังเพื่อเตรียมความพร้อมไปสู่การปั่นแบบกีฬา คือต้องปรับกล้ามเนื้อ ข้อเข่า ปอด หัวใจให้สมบูรณ์เต็มที่เสียก่อน
ไม่ใช่อยู่ ๆ ซื้อจักรยานมาแล้วปั่นจ้ำสุด ๆ ไปตั้งแต่แรก ๆ การทำแบบนั้นจะได้ผลตรงข้าม คือบาดเจ็บที่ข้อเข่า กล้ามเนื้อรับไม่ไหว ปอดและหัวใจทำงานไม่ทัน การใช้ออกซิเจนไม่มีประสิทธิภาพ อาจหน้ามืดเป็นลมล้มลงตายได้ง่าย ๆ
ผมใช้เวลาเตรียมร่างกายอยู่ ๑ ปี จึงออกไปปั่นถนนครับ
ลองดูภาพ ก่อนปั่นน้ำหนักตัวผมเกินไปมาก ภาพแรกหลังจากปรับสภาพร่างกายปั่นอยู่กับที่มา ๑ ปี ก็เริ่มออกถนน ร่างกายแข็งแรงขึ้นมากแล้ว แต่ยังไม่เต็มที่ จึงปั่นต่อไปอีก ๓ ปี โดยช่วงหลัง ๆ สลับไปปั่นรถเสือหมอบด้วยครับ
no plus ones
no comments
no shares
หูชั้นกลางอักเสบในเด็ก
เด็กที่มีหูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลันจะมาพบแพทย์ด้วยอาการ ไข้สูง, ร้องกวน ,เบื่ออาหาร, คลื่นไส้อาเจียน ซึ่งเป็นอาการแสดงทั่วไปของภาวะการอักเสบติดเชื้อในร่างกาย และจะมีอาการที่บ่งบอกว่ามีการติดเชื้อบริเวณช่องหู คือ ปวดหู ซึ่งในเด็กเล็กๆ อาจมีเฉพาะการเอานิ้วมือไชหู หรือ ดึงใบหู ,ในเด็กโตอาจจะร้องปวดหูได้
เมื่อมีการอักเสบมากจนเกิดแก้วหูทะลุจะทำให้อาการปวดหายไปแต่มารดาจะพาเด็กมาพบแพทย์ด้วยเรื่อง น้ำหนองไหลจากช่องหู
แพทย์อาจจะพิจารณาให้ยาพาราเซตามอล เพื่อบรรเทาอาการปวด สำหรับยาฆ่าเชื้อแพทย์จะให้ antibiotics ที่มีผลครอบคลุมเชื้อโรค 3 ชนิดที่พบบ่อยในหูชั้นกลางคือ M. catarhalis, H.influenza, S. pneumoniae โดย อะม๊อกซีซิลิน(Amoxicilin) ยังคงเป็นยาที่แนะนำให้ใช้เป็นอันดับแรกในการรักษาเพราะ ราคาถูก ,ได้ผลในการกำจัดเชื้อ และ มีความปลอดภัย ถ้ามีประวัติแพ้ยาเพนนิซิลิน แนะนำให้ใช้ยาในกลุ่ม erythomycin การใช้ยาปฏิชีวนะควรให้เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 10-14 วัน และ อาการของเด็ก ควรจะเริ่มดีขึ้นใน 48 - 72 ชั่วโมง
http://www.entpmk.pmk.ac.th/webpage/Otitis%20Media.html
เด็กที่มีหูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลันจะมาพบแพทย์ด้วยอาการ ไข้สูง, ร้องกวน ,เบื่ออาหาร, คลื่นไส้อาเจียน ซึ่งเป็นอาการแสดงทั่วไปของภาวะการอักเสบติดเชื้อในร่างกาย และจะมีอาการที่บ่งบอกว่ามีการติดเชื้อบริเวณช่องหู คือ ปวดหู ซึ่งในเด็กเล็กๆ อาจมีเฉพาะการเอานิ้วมือไชหู หรือ ดึงใบหู ,ในเด็กโตอาจจะร้องปวดหูได้
เมื่อมีการอักเสบมากจนเกิดแก้วหูทะลุจะทำให้อาการปวดหายไปแต่มารดาจะพาเด็กมาพบแพทย์ด้วยเรื่อง น้ำหนองไหลจากช่องหู
แพทย์อาจจะพิจารณาให้ยาพาราเซตามอล เพื่อบรรเทาอาการปวด สำหรับยาฆ่าเชื้อแพทย์จะให้ antibiotics ที่มีผลครอบคลุมเชื้อโรค 3 ชนิดที่พบบ่อยในหูชั้นกลางคือ M. catarhalis, H.influenza, S. pneumoniae โดย อะม๊อกซีซิลิน(Amoxicilin) ยังคงเป็นยาที่แนะนำให้ใช้เป็นอันดับแรกในการรักษาเพราะ ราคาถูก ,ได้ผลในการกำจัดเชื้อ และ มีความปลอดภัย ถ้ามีประวัติแพ้ยาเพนนิซิลิน แนะนำให้ใช้ยาในกลุ่ม erythomycin การใช้ยาปฏิชีวนะควรให้เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 10-14 วัน และ อาการของเด็ก ควรจะเริ่มดีขึ้นใน 48 - 72 ชั่วโมง
http://www.entpmk.pmk.ac.th/webpage/Otitis%20Media.html
no plus ones
no comments
no shares
Shared publicly
Add a comment...
ยาหยอดหู - ราชวิทยาลัย โสต ศอ นาสิกแพทย์ แห่งประเทศไทย ...
ข้อบ่งชี้ในการใช้ยาหยอดหู
1. หูชั้นนอกอักเสบแบบเฉียบพลัน ซึ่งมักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย
2. หูชั้นนอกอักเสบจากเชื้อรา
3. หูชั้นนอกอักเสบแบบเรื้อรัง
4. ขี้หูอุดตัน
5. หูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลัน แล้วมีแก้วหูทะลุ ทำให้มีหนองไหลออกมา
6. หูชั้นกลางอักเสบเรื้อรัง แล้วมีการติดเชื้อซ้ำเติม มีหนองไหล
http://www.rcot.org/data_detail.php?op=knowledge&id=17
ข้อบ่งชี้ในการใช้ยาหยอดหู
1. หูชั้นนอกอักเสบแบบเฉียบพลัน ซึ่งมักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย
2. หูชั้นนอกอักเสบจากเชื้อรา
3. หูชั้นนอกอักเสบแบบเรื้อรัง
4. ขี้หูอุดตัน
5. หูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลัน แล้วมีแก้วหูทะลุ ทำให้มีหนองไหลออกมา
6. หูชั้นกลางอักเสบเรื้อรัง แล้วมีการติดเชื้อซ้ำเติม มีหนองไหล
http://www.rcot.org/data_detail.php?op=knowledge&id=17
one plus one
1
no comments
no shares
สาเหตุที่ทำให้หูอื้อ มีหลายสาเหตุพอแบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ได้ ดังนี้
1) การอุดกั้นสัญญาณเสียง ซึ่งจะเกิดในส่วนของหูชั้นนอกและหูชั้นกลาง เช่น ขี้หูอุดตัน หูชั้นนอกอักเสบจากการปั่นหูหรือว่ายน้ำบ่อยๆ และหูชั้นกลางอักเสบจากหวัด เป็นต้น
2) ความผิดปกติในส่วนอวัยวะรับเสียงในหูชั้นในและหรือเส้นประสาทนำเสียงสู่สมอง
http://www.si.mahidol.ac.th/sidoctor/e-pl/articledetail.asp?id=486
1) การอุดกั้นสัญญาณเสียง ซึ่งจะเกิดในส่วนของหูชั้นนอกและหูชั้นกลาง เช่น ขี้หูอุดตัน หูชั้นนอกอักเสบจากการปั่นหูหรือว่ายน้ำบ่อยๆ และหูชั้นกลางอักเสบจากหวัด เป็นต้น
2) ความผิดปกติในส่วนอวัยวะรับเสียงในหูชั้นในและหรือเส้นประสาทนำเสียงสู่สมอง
http://www.si.mahidol.ac.th/sidoctor/e-pl/articledetail.asp?id=486
no plus ones
no comments
no shares
Shared publicly
Add a comment...
เยื่อแก้วหูอักเสบเฉียบพลัน - Siriraj E-Public Library
อาการ
1.ปวดหู เป็นอาการที่พบได้บ่อยที่สุด และเป็นอาการสำคัญที่ผู้ป่วยมาพบแพทย์ อาการปวดอาจจะรุนแรงหรือไม่ก็ได้ ผู้ป่วยเด็กถ้าปวดมักจะร้องตลอดเวลา ไม่ยอมหลับ มักปวดตอนกลางดึก อาจมีของเหลวไหลออกมาจากช่องหู
2.ไข้ ผู้ป่วยอาจมีไข้ หรือไม่มีไข้ร่วมด้วยก็ได้
3.หูอื้อ ผู้ป่วยอาจรู้สึกตื้อ ๆ ในช่องหูคล้ายได้ยินไม่ค่อยชัด
การรักษา
1.ยาต้านจุลชีพ:ในรายที่สงสัยว่าเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ควรรับประทานยาต้านจุลชีพอย่างน้อย 1 สัปดาห์ แต่ถ้าสงสัยว่าเกิดจากเชื้อไวรัสไม่จำเป็นต้องรับประทานยาต้านจุลชีพ การอักเสบของเยื่อบุแก้วหูดังกล่าวมักหายได้เอง
2.ยาหยอดหู:ถ้าสงสัยว่าเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย อาจหยอดยาหยอดหูที่มีส่วนผสมของยาต้านจุลชีพ และเลือกยาหยอดหูที่มีส่วนผสมของยาชาด้วย เพื่อลดอาการปวด
3.ยาแก้ปวด และลดไข้ หรือบรรเทาอาการ
ถ้าผู้ป่วยมีตุ่มน้ำบนเยื่อแก้วหู ตุ่มน้ำดังกล่าว มักจะแตกออกได้เองประมาณ 2-3 วันหลังเกิดโรค ถ้าผู้ป่วยมีอาการปวดมาก อาจเจาะตุ่มน้ำให้แตกออก เพื่อลดอาการปวดได้
http://www.si.mahidol.ac.th/sidoctor/e-pl/articledetail.asp?id=827
อาการ
1.ปวดหู เป็นอาการที่พบได้บ่อยที่สุด และเป็นอาการสำคัญที่ผู้ป่วยมาพบแพทย์ อาการปวดอาจจะรุนแรงหรือไม่ก็ได้ ผู้ป่วยเด็กถ้าปวดมักจะร้องตลอดเวลา ไม่ยอมหลับ มักปวดตอนกลางดึก อาจมีของเหลวไหลออกมาจากช่องหู
2.ไข้ ผู้ป่วยอาจมีไข้ หรือไม่มีไข้ร่วมด้วยก็ได้
3.หูอื้อ ผู้ป่วยอาจรู้สึกตื้อ ๆ ในช่องหูคล้ายได้ยินไม่ค่อยชัด
การรักษา
1.ยาต้านจุลชีพ:ในรายที่สงสัยว่าเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ควรรับประทานยาต้านจุลชีพอย่างน้อย 1 สัปดาห์ แต่ถ้าสงสัยว่าเกิดจากเชื้อไวรัสไม่จำเป็นต้องรับประทานยาต้านจุลชีพ การอักเสบของเยื่อบุแก้วหูดังกล่าวมักหายได้เอง
2.ยาหยอดหู:ถ้าสงสัยว่าเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย อาจหยอดยาหยอดหูที่มีส่วนผสมของยาต้านจุลชีพ และเลือกยาหยอดหูที่มีส่วนผสมของยาชาด้วย เพื่อลดอาการปวด
3.ยาแก้ปวด และลดไข้ หรือบรรเทาอาการ
ถ้าผู้ป่วยมีตุ่มน้ำบนเยื่อแก้วหู ตุ่มน้ำดังกล่าว มักจะแตกออกได้เองประมาณ 2-3 วันหลังเกิดโรค ถ้าผู้ป่วยมีอาการปวดมาก อาจเจาะตุ่มน้ำให้แตกออก เพื่อลดอาการปวดได้
http://www.si.mahidol.ac.th/sidoctor/e-pl/articledetail.asp?id=827
no plus ones
no comments
no shares
Shared publicly
Add a comment...
นั่งเครื่องบินที่ไร ทำไมต้องหูอื้อ
วิธีที่จะช่วยลดและป้องกันอาการปวดหูควรเคี้ยวหมากฝรั่ง กลืนน้ำลายบ่อยๆ หรือหาวติดๆ กันเพื่อให้ท่อยูสเตเชียนของเราทำงานตลอดเวลา
แต่ถ้ามีอาการเป็นหวัด หรือมีอาการทางจมูก อย่างการคัดจมู, น้ำมูกไหล ขึ้นมาแล้วล่ะก็ ควรใช้ยาเพื่อบรรเทาอาการทางจมูก เช่น รับประทานยาแก้แพ้ หรือใช้ยาพ่นจมูก เพื่อทำให้การอักเสบภายในจมูกลดน้อยลง ช่วยให้รูเปิดท่อยูสเตเชี่ยนไม่บวมช้ำ และกลับมาทำงานเป็นปรกติได้เร็วขึ้น
เอามือบีบจมูกไว้ ปิดปาก แล้วเป่าลมให้ออกหูครับ
มันจะดังป็อป แล้วหูก็หายอื่อ... ^^
สำหรับผู้ที่เป็นโรคไซนัสหรือลองแก้ไขแล้วยังมีอาการอยู่ อาจจะช่วยด้วยการพ่นยาหดหลอดเลือดเข้าไปในจมูกอีกทุก 10 -15 นาที ผู้ที่มีปัญหาเรื่องหู เวลาขึ้น ลงเครื่องบิน ควรพกยาหดหลอดเลือดชนิดพ่นและชนิดรับประทานไว้ด้วย
http://www.scbsme.com/th/sme-society/health/658/นั่งเครื่องบินที่ไร-ทำไมต้องหูอื้อ
http://topicstock.pantip.com/blueplanet/topicstock/2012/04/E11914907/E11914907.html
http://topicstock.pantip.com/blueplanet/topicstock/2011/10/E11195669/E11195669.html
วิธีที่จะช่วยลดและป้องกันอาการปวดหูควรเคี้ยวหมากฝรั่ง กลืนน้ำลายบ่อยๆ หรือหาวติดๆ กันเพื่อให้ท่อยูสเตเชียนของเราทำงานตลอดเวลา
แต่ถ้ามีอาการเป็นหวัด หรือมีอาการทางจมูก อย่างการคัดจมู, น้ำมูกไหล ขึ้นมาแล้วล่ะก็ ควรใช้ยาเพื่อบรรเทาอาการทางจมูก เช่น รับประทานยาแก้แพ้ หรือใช้ยาพ่นจมูก เพื่อทำให้การอักเสบภายในจมูกลดน้อยลง ช่วยให้รูเปิดท่อยูสเตเชี่ยนไม่บวมช้ำ และกลับมาทำงานเป็นปรกติได้เร็วขึ้น
เอามือบีบจมูกไว้ ปิดปาก แล้วเป่าลมให้ออกหูครับ
มันจะดังป็อป แล้วหูก็หายอื่อ... ^^
สำหรับผู้ที่เป็นโรคไซนัสหรือลองแก้ไขแล้วยังมีอาการอยู่ อาจจะช่วยด้วยการพ่นยาหดหลอดเลือดเข้าไปในจมูกอีกทุก 10 -15 นาที ผู้ที่มีปัญหาเรื่องหู เวลาขึ้น ลงเครื่องบิน ควรพกยาหดหลอดเลือดชนิดพ่นและชนิดรับประทานไว้ด้วย
http://www.scbsme.com/th/sme-society/health/658/นั่งเครื่องบินที่ไร-ทำไมต้องหูอื้อ
http://topicstock.pantip.com/blueplanet/topicstock/2012/04/E11914907/E11914907.html
http://topicstock.pantip.com/blueplanet/topicstock/2011/10/E11195669/E11195669.html
no plus ones
no comments
no shares
Shared publicly
Add a comment...
โรคไข้หูดับ หรือ โรคติดเชื้อสเตรปโตคอกคัส ซูอิส (Streptococcus suis) เป็นโรคติดต่อจากสัตว์สู่คน (Zoonotic infectious disease) ซึ่งในโรคนี้เป็นการติดต่อจากหมู/สุกรสู่คน
ผู้ที่ติดเชื้อมักมีอาชีพเกี่ยวกับการเลี้ยงหมู ทำงานในโรงงานชำแหละหมู หรือผู้สัมผัสกับสารคัดหลั่งของหมู เช่น น้ำมูก น้ำลาย และผู้ที่มีความเสี่ยง หมายรวมถึงผู้จำหน่าย หรือผู้ที่รับประทานเนื้อหมูดิบ หรือดิบๆสุกๆ
โรคนี้ระบาดอยู่ในหลายประเทศที่มีการเลี้ยงหมูรวมทั้งประเทศไทย มักพบในชุมชนที่มีการเลี้ยงหมู ในภาคเหนือ เช่น เชียงใหม่ แพร่ และน่าน
สาเหตุที่มีผู้ป่วยจำนวนมากมาจากการรับประทานเนื้อหมูหรือเลือดหมูดิบ เช่น ลาบ หลู้ ที่นำเลือดหมูสดๆ มาราดบนหมูสุกก่อนรับประทาน แม้ว่าเนื้อจะสุก แต่เลือดดิบก็ทำให้เกิดโรคได้เหมือนกัน ผู้ที่มีโอกาสเสี่ยงสูงต่อการติดโรคในภาวะปกติ ได้แก่ ผู้บริโภคเนื้อหมูหรือเลือดหมูดิบ เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกร คนทำงานในโรงฆ่าสัตว์ คนชำแหละเนื้อสุกร สัตวบาล และสัตวแพทย์ เชื้อจะเข้าสู่ร่างกายผ่านทางบาดแผล รอยถลอก หรือเยื่อบุตา รวมทั้งการบริโภคเนื้อหรือเลือดสุกรที่ไม่ผ่านการปรุงสุก
อาการทั่วไป
- มีไข้สูงเฉียบพลัน คลื่นเหียน ปวดศีรษะ
อาการเฉพาะ
เยื่อหุ้มสมองอักเสบมีไข้ ปวดศีรษะมาก คอแข็ง หากเชื้อเข้าปลายระบบประสาทหูจะทำให้การได้ยินลดลงอย่างเฉียบพลันจนถึงขั้นหูหนวก หูหนวก ภายหลังที่หายจากอาการป่วยแล้วอาจจะมีความผิดปกติในการทรงตัว หากเชื้อเข้าปลายระบบประสาทตาจะทำให้ม่านตาอักเสบ ลูกตาฝ่อ หรือตาบอดได้
ผู้ป่วยบางคนที่รอดชีวิตมา ยังอาจมีความผิดปกติหลงเหลืออยู่ เช่น ความผิดปกติในการทรงตัว เนื่องจากเชื้อได้เข้าไปทำลายเยื่อหุ้มสมอง หรือหากเชื้อเข้าปลายระบบประสาทตา จะทำให้ม่านตาอักเสบ ลูกตาฝ่อ หรือตาบอดได้ นอกจากนี้ผู้ป่วยบางคนยังอาจเป็นอัมพาตครึ่งซีกได้เช่นกัน
การป้องกันไข้หูดับทำได้โดย
1. สวมรองเท้าบู๊ต สวมถุงมือ สวมเสื้อผ้าที่รัดกุม ระหว่างปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับหมู/สุกรทุกขั้นตอน จะป้องกันการแพร่เชื้อจากสุกรมาสู่คนได้
2. ล้างมือ ล้างเท้า ล้างตัวให้สะอาดหลังการสัมผัสสุกร และเนื้อสุกร
3. เมื่อเกิดแผลต้องระวังในการสัมผัสสุกร
4. กำจัดเชื้อจากฟาร์ม โดยการเลี้ยงหมูตามคำแนะนำของสัตวแพทย์ เพื่อป้องกันการติดเชื้อของหมู
5. ไม่รับระทานเนื้อหมูที่ไม่สุกดี เช่น จิ้มจุ่มที่ต้มไม่สุกพอ หรือ ลาบสุกๆดิบๆ เป็นต้น
6. ไม่กินหมูที่ป่วย หรือหมูตายจากโรค
http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9580000036196
http://www.hiso.or.th/hiso/tonkit/tonkits_67.php
ผู้ที่ติดเชื้อมักมีอาชีพเกี่ยวกับการเลี้ยงหมู ทำงานในโรงงานชำแหละหมู หรือผู้สัมผัสกับสารคัดหลั่งของหมู เช่น น้ำมูก น้ำลาย และผู้ที่มีความเสี่ยง หมายรวมถึงผู้จำหน่าย หรือผู้ที่รับประทานเนื้อหมูดิบ หรือดิบๆสุกๆ
โรคนี้ระบาดอยู่ในหลายประเทศที่มีการเลี้ยงหมูรวมทั้งประเทศไทย มักพบในชุมชนที่มีการเลี้ยงหมู ในภาคเหนือ เช่น เชียงใหม่ แพร่ และน่าน
สาเหตุที่มีผู้ป่วยจำนวนมากมาจากการรับประทานเนื้อหมูหรือเลือดหมูดิบ เช่น ลาบ หลู้ ที่นำเลือดหมูสดๆ มาราดบนหมูสุกก่อนรับประทาน แม้ว่าเนื้อจะสุก แต่เลือดดิบก็ทำให้เกิดโรคได้เหมือนกัน ผู้ที่มีโอกาสเสี่ยงสูงต่อการติดโรคในภาวะปกติ ได้แก่ ผู้บริโภคเนื้อหมูหรือเลือดหมูดิบ เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกร คนทำงานในโรงฆ่าสัตว์ คนชำแหละเนื้อสุกร สัตวบาล และสัตวแพทย์ เชื้อจะเข้าสู่ร่างกายผ่านทางบาดแผล รอยถลอก หรือเยื่อบุตา รวมทั้งการบริโภคเนื้อหรือเลือดสุกรที่ไม่ผ่านการปรุงสุก
อาการทั่วไป
- มีไข้สูงเฉียบพลัน คลื่นเหียน ปวดศีรษะ
อาการเฉพาะ
เยื่อหุ้มสมองอักเสบมีไข้ ปวดศีรษะมาก คอแข็ง หากเชื้อเข้าปลายระบบประสาทหูจะทำให้การได้ยินลดลงอย่างเฉียบพลันจนถึงขั้นหูหนวก หูหนวก ภายหลังที่หายจากอาการป่วยแล้วอาจจะมีความผิดปกติในการทรงตัว หากเชื้อเข้าปลายระบบประสาทตาจะทำให้ม่านตาอักเสบ ลูกตาฝ่อ หรือตาบอดได้
ผู้ป่วยบางคนที่รอดชีวิตมา ยังอาจมีความผิดปกติหลงเหลืออยู่ เช่น ความผิดปกติในการทรงตัว เนื่องจากเชื้อได้เข้าไปทำลายเยื่อหุ้มสมอง หรือหากเชื้อเข้าปลายระบบประสาทตา จะทำให้ม่านตาอักเสบ ลูกตาฝ่อ หรือตาบอดได้ นอกจากนี้ผู้ป่วยบางคนยังอาจเป็นอัมพาตครึ่งซีกได้เช่นกัน
การป้องกันไข้หูดับทำได้โดย
1. สวมรองเท้าบู๊ต สวมถุงมือ สวมเสื้อผ้าที่รัดกุม ระหว่างปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับหมู/สุกรทุกขั้นตอน จะป้องกันการแพร่เชื้อจากสุกรมาสู่คนได้
2. ล้างมือ ล้างเท้า ล้างตัวให้สะอาดหลังการสัมผัสสุกร และเนื้อสุกร
3. เมื่อเกิดแผลต้องระวังในการสัมผัสสุกร
4. กำจัดเชื้อจากฟาร์ม โดยการเลี้ยงหมูตามคำแนะนำของสัตวแพทย์ เพื่อป้องกันการติดเชื้อของหมู
5. ไม่รับระทานเนื้อหมูที่ไม่สุกดี เช่น จิ้มจุ่มที่ต้มไม่สุกพอ หรือ ลาบสุกๆดิบๆ เป็นต้น
6. ไม่กินหมูที่ป่วย หรือหมูตายจากโรค
http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9580000036196
http://www.hiso.or.th/hiso/tonkit/tonkits_67.php
no plus ones
no comments
no shares
Shared publicly
Add a comment...
การดูแลรักษาหูและต่างหูหลังการเจาะหู
- สัปดาห์แรกหลังเจาะ ไม่ควรโดนน้ำ
- ใส่ต่างหูคู่แรกไป รอแผลแห้ง 6 สัปดาห์ จึงถอดเปลี่ยนได้
- ทำความสะอาดต่างหูและทายาฆ่าเชื้อที่ได้รับไป โดยไม่ต้องถอดต่างหู
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารเคมี
- สัปดาห์แรกหลังเจาะ ไม่ควรโดนน้ำ
- ใส่ต่างหูคู่แรกไป รอแผลแห้ง 6 สัปดาห์ จึงถอดเปลี่ยนได้
- ทำความสะอาดต่างหูและทายาฆ่าเชื้อที่ได้รับไป โดยไม่ต้องถอดต่างหู
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารเคมี
no plus ones
no comments
no shares
ไข้หูดับ หรือโรคติดเชื้อ สเตรฟโตคอกคัส ซูอิส (Streptococcus suis) มักพบในชุมชนที่มีการเลี้ยงหมู เช่น ในภาคเหนือ เช่น เชียงใหม่ แพร่ และน่าน
การติดเชื้อในคนเกิดได้สองวิธี คือ จากการรับประทาน หรือการสัมผัสเนื้อ และเลือดดิบ หรือสุก ๆ ดิบ ๆ ของสุกรที่ป่วย
ผู้ที่ป่วยมักเป็นกลุ่มชายวัยกลางคน และผู้สูงอายุ กว่าครึ่งของผู้ป่วยมีประวัติดื่มสุราเป็นประจำ มักพบว่ามีโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ไต มะเร็ง มักจะมีประวัติการรับประทานลาบ หลู้ ส้า ดิบ เฉลี่ย 3 วันก่อนป่วย
ในแต่ละปีจะพบว่ามีผู้ติดเชื้อไข้หูดับ จากการบริโภคเนื้อหมูมาทำ ลาบ หลู้เลือด แบบสุกๆดิบกันหลายรายด้วยกัน ฉะนั้นเพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงติดเชื้อไข้หูดับควรปรุงสุกก่อนรับประทาน
http://www.chiangmainews.co.th/page/?p=199129
การติดเชื้อในคนเกิดได้สองวิธี คือ จากการรับประทาน หรือการสัมผัสเนื้อ และเลือดดิบ หรือสุก ๆ ดิบ ๆ ของสุกรที่ป่วย
ผู้ที่ป่วยมักเป็นกลุ่มชายวัยกลางคน และผู้สูงอายุ กว่าครึ่งของผู้ป่วยมีประวัติดื่มสุราเป็นประจำ มักพบว่ามีโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ไต มะเร็ง มักจะมีประวัติการรับประทานลาบ หลู้ ส้า ดิบ เฉลี่ย 3 วันก่อนป่วย
ในแต่ละปีจะพบว่ามีผู้ติดเชื้อไข้หูดับ จากการบริโภคเนื้อหมูมาทำ ลาบ หลู้เลือด แบบสุกๆดิบกันหลายรายด้วยกัน ฉะนั้นเพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงติดเชื้อไข้หูดับควรปรุงสุกก่อนรับประทาน
http://www.chiangmainews.co.th/page/?p=199129
no plus ones
no comments
no shares
Shared publicly
Add a comment...
[PDF]
การดูแลรักษาสุขอนามัยของหู -
รศ. นพ. ปารยะ อาศนะเสน สาขาวิชาโรคจมูกและโรคภูมิแพ้ ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
http://www.si.mahidol.ac.th/sidoctor/e-pl/admin/article_files/792_1.pdf
หูอื้อ และ การดูแลสุขภาพอนามัยของหู
ผศ.นพ.ปารยะ อาศนะเสน ผู้เชี่ยวชาญด้านโสต ศอ นาสิก ลาริงซ์วิทยา
http://www.npc-se.co.th/npc_date/npc_previews.asp?id_head=14&id_sub=6&id=526
การดูแลรักษาสุขอนามัยของหู -
รศ. นพ. ปารยะ อาศนะเสน สาขาวิชาโรคจมูกและโรคภูมิแพ้ ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
http://www.si.mahidol.ac.th/sidoctor/e-pl/admin/article_files/792_1.pdf
หูอื้อ และ การดูแลสุขภาพอนามัยของหู
ผศ.นพ.ปารยะ อาศนะเสน ผู้เชี่ยวชาญด้านโสต ศอ นาสิก ลาริงซ์วิทยา
http://www.npc-se.co.th/npc_date/npc_previews.asp?id_head=14&id_sub=6&id=526
no plus ones
no comments
no shares
Shared publicly
Add a comment...
โรคไข้หูดับ เชื้อต้นเหตุชื่อ สเตรปโตคอคคัส ซูอิส อยู่ในจมูกและคอของหมูปกติ กรณีที่หมูอ่อนแอลงเชื้อจะทำให้หมูป่วย เมื่อคนไปสัมผัส หรือกินเนื้อหมูป่วยที่ดิบ หรือสุกๆดิบๆ จะมีอาการภายใน 3วัน คือมีไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว คลื่นไส้ อาเจียน บางรายเดินเอียง ชัก ช๊อก มีจ้ำเลือดตามตัว ข้ออักเสบ หัวใจ ไตหรือตับวาย ซึ่งผู้ป่วยโรคหูดับ อาจมีอาการหูหนวก ตาบอด กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคนี้ในคนอีกด้วย
มักเกิดในคนที่ชอบกินลาบ หลู้ ส้า เนื้อหมูดิบ หรือสุกๆดิบๆ ตลอดจนผู้ที่ชื่นชอบรับประทานหมูกะทะปิ้งย่างแบบสุกๆดิบๆ
ป้องกันนั้นควรเลือกซื้อเนื้อหมูจากโรงฆ่าสัตว์ที่ได้มาตรฐาน สด ไม่มีสีแดงคล้ำ หรือมีเลือดคั่งมากๆ ควรนำเนื้อหมูมาปรุงสุกเท่านั้น
สำหรับเกษตรกรเลี้ยงหมูที่ได้ใกล้ชิดกับหมูป่วยแล้วไม่ได้สวมถุงมือ ไม่สวมรองเท้าบูท ป้องกันการติดเชื้อด้วยการหลีกเสี่ยงการสัมผัสหมูหรือซากหมูด้วยมือเปล่า และชำระร่างกายทุกครั้งหลังสัมผัสหมู
http://www.prdnorth.in.th/ct/news/viewnews.php?ID=140417112110
มักเกิดในคนที่ชอบกินลาบ หลู้ ส้า เนื้อหมูดิบ หรือสุกๆดิบๆ ตลอดจนผู้ที่ชื่นชอบรับประทานหมูกะทะปิ้งย่างแบบสุกๆดิบๆ
ป้องกันนั้นควรเลือกซื้อเนื้อหมูจากโรงฆ่าสัตว์ที่ได้มาตรฐาน สด ไม่มีสีแดงคล้ำ หรือมีเลือดคั่งมากๆ ควรนำเนื้อหมูมาปรุงสุกเท่านั้น
สำหรับเกษตรกรเลี้ยงหมูที่ได้ใกล้ชิดกับหมูป่วยแล้วไม่ได้สวมถุงมือ ไม่สวมรองเท้าบูท ป้องกันการติดเชื้อด้วยการหลีกเสี่ยงการสัมผัสหมูหรือซากหมูด้วยมือเปล่า และชำระร่างกายทุกครั้งหลังสัมผัสหมู
http://www.prdnorth.in.th/ct/news/viewnews.php?ID=140417112110
no plus ones
no comments
no shares
Shared publicly
Add a comment...
[PDF]
หูอื้อ และ การดูแล สุขภาพอนามัยของหู
http://web.sut.ac.th/dsa/activity/km/health/51.pdf
#หู #หูอื้อ
หูอื้อ และ การดูแล สุขภาพอนามัยของหู
http://web.sut.ac.th/dsa/activity/km/health/51.pdf
#หู #หูอื้อ
no plus ones
no comments
no shares
ขึ้น ลง...เครื่องบิน มีปัญหาปวดหู หูอื้อ…ทำอย่างไรดี
โดย ผศ. นพ. ปารยะ อาศนะเสน
สาขาวิชาโรคจมูกและโรคภูมิแพ้
ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
ควรป้องกันตนเองไม่ให้เป็นหวัด หรือไซนัสอักเสบ
ควรใช้ยาเพื่อบรรเทาอาการทางจมูก เช่น รับประทานยาแก้แพ้ , ยาหดหลอดเลือด เช่น pseudoephedrine และ/หรือใช้ยาสตีรอยด์พ่นจมูก หรือยาหดหลอดเลือด (topical decongestant เช่น ephedrine, oxymetazoline) พ่นจมูก อาจร่วมกับการล้างจมูก และ/หรือการสูดไอน้ำร้อน
ควรรับประทานยาหดหลอดเลือด (oral decongestant) ก่อนเครื่องบินขึ้น หรือลงประมาณ ½ ชั่วโมง และ/หรือใช้ยาหดหลอดเลือด (topical decongestant) พ่นจมูกก่อนเครื่องบิน ขึ้น หรือลงประมาณ 5 นาทีด้วย
ผู้ที่มีปัญหาเรื่องหู เวลาขึ้น ลงเครื่องบิน ควรพกยาหดหลอดเลือดชนิดพ่นและชนิดรับประทานไว้ด้วยเสมอ
http://www.rcot.org/data_detail.php?op=knowledge&id=125
โดย ผศ. นพ. ปารยะ อาศนะเสน
สาขาวิชาโรคจมูกและโรคภูมิแพ้
ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
ควรป้องกันตนเองไม่ให้เป็นหวัด หรือไซนัสอักเสบ
ควรใช้ยาเพื่อบรรเทาอาการทางจมูก เช่น รับประทานยาแก้แพ้ , ยาหดหลอดเลือด เช่น pseudoephedrine และ/หรือใช้ยาสตีรอยด์พ่นจมูก หรือยาหดหลอดเลือด (topical decongestant เช่น ephedrine, oxymetazoline) พ่นจมูก อาจร่วมกับการล้างจมูก และ/หรือการสูดไอน้ำร้อน
ควรรับประทานยาหดหลอดเลือด (oral decongestant) ก่อนเครื่องบินขึ้น หรือลงประมาณ ½ ชั่วโมง และ/หรือใช้ยาหดหลอดเลือด (topical decongestant) พ่นจมูกก่อนเครื่องบิน ขึ้น หรือลงประมาณ 5 นาทีด้วย
ผู้ที่มีปัญหาเรื่องหู เวลาขึ้น ลงเครื่องบิน ควรพกยาหดหลอดเลือดชนิดพ่นและชนิดรับประทานไว้ด้วยเสมอ
http://www.rcot.org/data_detail.php?op=knowledge&id=125
no plus ones
no comments
no shares
Shared publicly
Add a comment...
วิธีการใช้ยาหยอดหู
http://www.healthy.freewer.net/index.php/ent/eardrop.html
http://www.healthy.freewer.net/index.php/ent/eardrop.html
no plus ones
no comments
no shares
ยาหยอดหู | ข้อมูลสุขภาพ มูลนิธิหมอชาวบ้าน
http://www.doctor.or.th/clinic/detail/8948
http://www.doctor.or.th/clinic/detail/8948
no plus ones
no comments
no shares
อาการเวียนศรีษะ บ้านหมุน น้ำในหูไม่เท่ากัน
สาเหตุเกิดจาก สารอาหารในเลือดไม่เพียงพอ ทำให้เซลล์สมองขาดสารอาหารจนเกิดอาการเวียนศรีษะบ้านหมุน ซึ่งสาเหตุเกิดจากหลายกรณีดังต่อไปนี้
1. ระบบย่อยอาหารไม่มีประสิทธิภาพ
.. ต้องเริ่มแก้ที่ระบบการย่อย โดยการปรับสมดุลให้กระเพาะด้วยยาโรคกระเพาะ ,ขับของเก่าเน่าเสียที่ตกค้างในร่างกายออกด้วย สมุนไพรธรณีสันฑะฆาติ ,เร่งการย่อย และดูดซึมด้วยน้ำเอนไซม์ Probiotic
2. สารอาหารในเลือดตก
... งดการทานกาแฟแทนอาหารมื้อเช้า ถ้าจะทานแนะนำให้ทานหลังอาหาร ,หลีกเลี่ยงอาหารสำเร็จรูป ควรทานอาหารที่ปรุงสุกสดใหม่ และ แนะนำให้เติมสารอาหารให้เลือด ฟื้นฟูตับที่มีหน้าที่ผลิตเลือด และเป็นสารอาหารตั้งต้นในการผลิตเลือดด้วย สาหร่ายเกลียวทอง ทานตื่นนอนตอนเช้า + น้ำ 2 แก้ว ก็จะช่วยเพิ่มสารอาหารในเลือดได้อย่างรวดเร็ว
3. ดื่มน้ำไม่ถูกวิธี
.. ถ้าไม่ดื่มน้ำเลือดก็จะข้นเป็นโคลน ลำเลียงสารอาหารและอ๊อกซิเจนไปเลี้ยงปลายประสาทลำบาก แนะนำให้ดื่มน้ำวันละ 1.5 - 2 ลิตร โดยวิธีการแบ่งดื่มทั้งวัน ,หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำเยอะช่วง ก่อนและหลังอาหาร 20 นาที เพื่อรักษาความเข้มข้นของน้ำย่อยในกระเพาะ
By The Arokaya Shop
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=711534118866997&set=a.420804081273337.95306.387283101292102
สาเหตุเกิดจาก สารอาหารในเลือดไม่เพียงพอ ทำให้เซลล์สมองขาดสารอาหารจนเกิดอาการเวียนศรีษะบ้านหมุน ซึ่งสาเหตุเกิดจากหลายกรณีดังต่อไปนี้
1. ระบบย่อยอาหารไม่มีประสิทธิภาพ
.. ต้องเริ่มแก้ที่ระบบการย่อย โดยการปรับสมดุลให้กระเพาะด้วยยาโรคกระเพาะ ,ขับของเก่าเน่าเสียที่ตกค้างในร่างกายออกด้วย สมุนไพรธรณีสันฑะฆาติ ,เร่งการย่อย และดูดซึมด้วยน้ำเอนไซม์ Probiotic
2. สารอาหารในเลือดตก
... งดการทานกาแฟแทนอาหารมื้อเช้า ถ้าจะทานแนะนำให้ทานหลังอาหาร ,หลีกเลี่ยงอาหารสำเร็จรูป ควรทานอาหารที่ปรุงสุกสดใหม่ และ แนะนำให้เติมสารอาหารให้เลือด ฟื้นฟูตับที่มีหน้าที่ผลิตเลือด และเป็นสารอาหารตั้งต้นในการผลิตเลือดด้วย สาหร่ายเกลียวทอง ทานตื่นนอนตอนเช้า + น้ำ 2 แก้ว ก็จะช่วยเพิ่มสารอาหารในเลือดได้อย่างรวดเร็ว
3. ดื่มน้ำไม่ถูกวิธี
.. ถ้าไม่ดื่มน้ำเลือดก็จะข้นเป็นโคลน ลำเลียงสารอาหารและอ๊อกซิเจนไปเลี้ยงปลายประสาทลำบาก แนะนำให้ดื่มน้ำวันละ 1.5 - 2 ลิตร โดยวิธีการแบ่งดื่มทั้งวัน ,หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำเยอะช่วง ก่อนและหลังอาหาร 20 นาที เพื่อรักษาความเข้มข้นของน้ำย่อยในกระเพาะ
By The Arokaya Shop
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=711534118866997&set=a.420804081273337.95306.387283101292102
no plus ones
no comments
no shares
Shared publicly
Add a comment...
การเจาะ เช่น การเจาะหู เจาะสะดือ เจาะลิ้น หน้า อวัยวะเพศ หัวนม ผลเสียจากการสัก เจาะ อาจทำให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรีย ทำให้เป็นฝี หนอง โรคบาดทะยัก วัณโรค ผิวหนัง ตับอักเสบ ซิฟิลิส เอดส์ หรือเกิดอาการแพ้ เช่น แพ้โลหะ ที่ใช้เจาะ ใส่ เช่น แพ้นิเกิ้ล แพ้สีที่ใช้สัก บางคนอาจเกิดแผลเป็น หรือเกิอกาการกำเริบของโรคผิวหนัง ที่มีอยู่ก่อน เช่น สะเก็ดเงิน โรคผิวหนังอักเสบ นอกจากนี้หากต้องการลบรอยสักจะเจ็บมากกว่าและเสียค่าใช้จ่ายมากกว่า
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1371546641
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1371546641
no plus ones
no comments
no shares
Shared publicly
Public
ข้อควรปฏิบัติเพื่อหูของคุณ
ขี้หูไม่ใช่สัญลักษณ์ที่แสดงว่าหูไม่สะอาด หรือมีสุขภาพที่ไม่ดี เพราะความจริงแล้วขี้หูกลับช่วยป้องกันหู แต่ถ้ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับหูก็อาจจะนำมาซึ่งปัญหาจนทำให้สูญเสียการได้ยินได้ เพราะฉะนั้นการดูแลสุขภาพหูจึงเป็นสิ่งพึงกระทำและห้ามละเลยเป็นอันขาด ซึ่งสามารถปฏิบัติได้ง่ายๆ ตามที่ Fairview Health Services ได้ระบุไว้ ดังต่อไปนี้
หากขี้หูแข็งเกินไป คุณสามารถทำให้ขี้หูนุ่มได้ด้วยการหยดเบบี้ออยล์ หรือน้ำมันแร่ หรือยาหยอดหูชนิดพิเศษ เพียงเล็กน้อยลงในหู ต่อจากนั้นจึงใช้ผ้าเช็ดทำความสะอาดหูด้านนอกเบา ๆ
อย่าพยายามทำให้ขี้หูนิ่มถ้าหูของคุณเจ็บ, ถ้าคุณมีอาการของโรคหวัด หรือถ้าเยื่อแก้วหูทะลุ
ห้ามสอดวัตถุ เช่น ดินสอ หรือสำลีพันก้านเข้าไปในหู
หากคุณมีปัญหาในการได้ยิน หรือมีอาการปวดหูข้างเดียวหรือทั้งสองข้าง ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
ขี้หูไม่ใช่สัญลักษณ์ที่แสดงว่าหูไม่สะอาด หรือมีสุขภาพที่ไม่ดี เพราะความจริงแล้วขี้หูกลับช่วยป้องกันหู แต่ถ้ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับหูก็อาจจะนำมาซึ่งปัญหาจนทำให้สูญเสียการได้ยินได้ เพราะฉะนั้นการดูแลสุขภาพหูจึงเป็นสิ่งพึงกระทำและห้ามละเลยเป็นอันขาด ซึ่งสามารถปฏิบัติได้ง่ายๆ ตามที่ Fairview Health Services ได้ระบุไว้ ดังต่อไปนี้
หากขี้หูแข็งเกินไป คุณสามารถทำให้ขี้หูนุ่มได้ด้วยการหยดเบบี้ออยล์ หรือน้ำมันแร่ หรือยาหยอดหูชนิดพิเศษ เพียงเล็กน้อยลงในหู ต่อจากนั้นจึงใช้ผ้าเช็ดทำความสะอาดหูด้านนอกเบา ๆ
อย่าพยายามทำให้ขี้หูนิ่มถ้าหูของคุณเจ็บ, ถ้าคุณมีอาการของโรคหวัด หรือถ้าเยื่อแก้วหูทะลุ
ห้ามสอดวัตถุ เช่น ดินสอ หรือสำลีพันก้านเข้าไปในหู
หากคุณมีปัญหาในการได้ยิน หรือมีอาการปวดหูข้างเดียวหรือทั้งสองข้าง ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
27 plus ones
27
2 comments
2
10 shares
10
piti yaemphayak: อ่านแล้วคันหู>,<
Public
#หูอื้อบ่อยๆ เป็นอันตรายไหมนะ?
เป็นกันไหมคะ เวลาขึ้นเครื่องบิน ขึ้นที่สูงๆ เรามักจะเกิดอาการหูอื้อ ขึ้นมา ในบางคนจะมีอาการหูอื้อง่าย เป็นบ่อยซะจนอดกังวลไม่ได้ว่าจะผิดปกติไหม แล้วจะเป็นอันตรายกับสุขภาพ เราหรือไม่...
โดยปกติการขึ้นที่สูง หรือขึ้นเครื่องบินแรงดันอากาศจะเปลี่ยน บางครั้งหากมีการเปลี่ยนแรงดันที่ค่อนข้างเร็ว หูจะปรับได้ช้ากว่าปกติ ซึ่งต้องอาศัยการกลืนน้ำลาย การเป่าปาก หรือขยับคอ เพื่อให้ท่อปรับความดันหูเปิดก็จะสามารถปรับความดันได้ ถ้าอาการหูอื้อเป็นแบบชั่วคราว สามารถหายได้โดยการกลืนน้ำลาย ซึ่งไม่มีอันตรายใด ๆ ต้องกังวล
แต่ถ้าอาการหูอื้อคงอยู่ตลอดเป็นวัน ร่วมกับอาการปวด มีเสียงผิดปกติในหูเกิดขึ้น อย่างนี้ควรรีบปรึกษาแพทย์ค่ะ เนื่องจากอาจเป็นอาการของหูชั้นกลางอักเสบเยื่อแก้วหูผิดปกติ หรือเส้นประสาทหูเสื่อมเฉียบพลันได้
สรุปแล้วถ้าเราหูอื้อแบบชั่วคราวเวลาขึ้นลิฟต์ ขึ้นเครื่องบิน แค่กลืนน้ำลายก็หายไปได้เอง แบบนี้ไม่น่ากังวลใจสักเท่าไรค่ะ แต่ถ้าอาการหนักกว่านี้ แถมยังปวดหู ด้วย ต้องปรึกษาแพทย์แล้วล่ะ
ที่มา...Lisa
เป็นกันไหมคะ เวลาขึ้นเครื่องบิน ขึ้นที่สูงๆ เรามักจะเกิดอาการหูอื้อ ขึ้นมา ในบางคนจะมีอาการหูอื้อง่าย เป็นบ่อยซะจนอดกังวลไม่ได้ว่าจะผิดปกติไหม แล้วจะเป็นอันตรายกับสุขภาพ เราหรือไม่...
โดยปกติการขึ้นที่สูง หรือขึ้นเครื่องบินแรงดันอากาศจะเปลี่ยน บางครั้งหากมีการเปลี่ยนแรงดันที่ค่อนข้างเร็ว หูจะปรับได้ช้ากว่าปกติ ซึ่งต้องอาศัยการกลืนน้ำลาย การเป่าปาก หรือขยับคอ เพื่อให้ท่อปรับความดันหูเปิดก็จะสามารถปรับความดันได้ ถ้าอาการหูอื้อเป็นแบบชั่วคราว สามารถหายได้โดยการกลืนน้ำลาย ซึ่งไม่มีอันตรายใด ๆ ต้องกังวล
แต่ถ้าอาการหูอื้อคงอยู่ตลอดเป็นวัน ร่วมกับอาการปวด มีเสียงผิดปกติในหูเกิดขึ้น อย่างนี้ควรรีบปรึกษาแพทย์ค่ะ เนื่องจากอาจเป็นอาการของหูชั้นกลางอักเสบเยื่อแก้วหูผิดปกติ หรือเส้นประสาทหูเสื่อมเฉียบพลันได้
สรุปแล้วถ้าเราหูอื้อแบบชั่วคราวเวลาขึ้นลิฟต์ ขึ้นเครื่องบิน แค่กลืนน้ำลายก็หายไปได้เอง แบบนี้ไม่น่ากังวลใจสักเท่าไรค่ะ แต่ถ้าอาการหนักกว่านี้ แถมยังปวดหู ด้วย ต้องปรึกษาแพทย์แล้วล่ะ
ที่มา...Lisa
18 plus ones
18
no comments
4 shares
4
barotrauma - อันตรายจากการถูก “ตบบ้องหู”
สาเหตุที่ทำให้แก้วหูทะลุหลังจากถูกตบบ้องหูนั้น เกิดจากการอัดแรงดันอากาศเข้าไปภายในช่องหูอย่างรวดเร็วและรุนแรง กระแทกแก้วหู ทำให้แก้วหูทะลุได้ทันที และมีเลือดออกได้ด้วย
ถ้าแรงอัดอากาศไม่มากนัก เยื่อแก้วหูอาจเพียงอักเสบช้ำ มีเลือดตกบนแก้วหู แต่ไม่ทะลุ เยื่อแก้วหูอักเสบเพียงเล็กน้อย อาจมีอาการแค่หูอื้อชั่วคราว
แต่ถ้าความกดดันอากาศที่กระแทกเข้าไปในช่องหูนั้นมีแรงดันมากอย่างรวดเร็ว ก็สามารถทำให้เยื่อแก้วหูทะลุ หรือถึงขั้นฉีกขาดได้
หูอื้อและปวดในหูโดยทันทีที่ได้รับแรงกระแทกหรือเสียงดังมาก อาจรู้สึกว่าหูชาไปเลย ก่อนจะรู้สึก ปวดหรืออื้อ และเวลาผ่านไป 1 ชม ก็ยังไม่หายอื้อ ควรรีบไปพบแพทย์
หูอาจมีเสียงดังวิ้ง หรือ วี้ และได้ยินไม่ชัด ไม่ยอมหาย ใน 2-3 ชั่วโมง หรือมีอาการเวียนศีรษะบ้านหมุนมึนงง แสดงว่าแรงกระเทือนไปถึงหูชั้นใน อาจมีเยื่อของหูชั้นในฉีกขาดด้วย ต้องรักษาด่วน
บางรายอาจ “มีเลือดออกมาจากช่องหู” บางรายรู้สึกว่า “หูดับ” ไปทันที ควรพบแพทย์ด่วน อาจมีเลือดออกในหูชั้นในก็ได้ อาจทำให้หูตึงถาวรได้
สำหรับกรณีที่ถูกตบบ้องหู หรือ กกหูอย่างรุนแรง นอกจากจะทำให้ใบหูและเยื่อแก้วหูฉีกขาดแล้ว ถ้าแรงตบหรือแรงกระแทก มากพออาจทำให้สะเทือนถึงกะโหลกศีรษะทำให้กะโหลกร้าว หรือสะเทือนถึงสมอง ทำให้เกิดอาการ “มึนงง” “เวียนศีรษะบ้านหมุน” “เดินเซ” “ซึมลง ตอบสนองช้า” หรือถึงขึ้น “หมดสติ” ได้ จากเลือดตกในสมอง
เมื่อมีอาการดังกล่าวไม่ว่าจะมากหรือน้อย ควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจให้แน่ชัดว่าเยื่อแก้วหูผิดปกติหรือไม่ จะได้รีบรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ
การทะลุของแก้วหูถ้าไม่กระทบกระเทือนไปถึงประสาทรับเสียงในหูชั้นใน และแก้วหูทะลุโดยไม่มีการติดเชื้อ แก้วหูอาจปิดได้เองในเวลา 1-2 สัปดาห์หรือถึง 1 เดือน แล้วแต่ว่ารูทะลุเล็กหรือใหญ่แค่ไหน และขาดแบบกระรุ่งกระริ่งหรือเปล่า
ถ้าท่านได้รับการกระทบกระเทือนจนคิดว่าแก้วหูทะลุ หูอื้อปวด ควรรีบไปพบแพทย์หู ไม่ควรไปซื้อยาหยอดหูมาหยอด เพราะจะทำให้แผลทะลุเปียกชื้นและปิดได้ยาก ถ้าเป็นมากแพทย์อาจตรวจการได้ยินเพื่อให้รู้ว่ากระทบกระเทือนถึงกระดูกในหูชั้นกลางหรือประสาทรับเสียงหรือไม่ แพทย์อาจให้ยากิน แต่ไม่ใช่ยาหยอด
http://www.vachiraphuket.go.th/www/public-health/?name=knowledge&file=readknowledge&id=289
สาเหตุที่ทำให้แก้วหูทะลุหลังจากถูกตบบ้องหูนั้น เกิดจากการอัดแรงดันอากาศเข้าไปภายในช่องหูอย่างรวดเร็วและรุนแรง กระแทกแก้วหู ทำให้แก้วหูทะลุได้ทันที และมีเลือดออกได้ด้วย
ถ้าแรงอัดอากาศไม่มากนัก เยื่อแก้วหูอาจเพียงอักเสบช้ำ มีเลือดตกบนแก้วหู แต่ไม่ทะลุ เยื่อแก้วหูอักเสบเพียงเล็กน้อย อาจมีอาการแค่หูอื้อชั่วคราว
แต่ถ้าความกดดันอากาศที่กระแทกเข้าไปในช่องหูนั้นมีแรงดันมากอย่างรวดเร็ว ก็สามารถทำให้เยื่อแก้วหูทะลุ หรือถึงขั้นฉีกขาดได้
หูอื้อและปวดในหูโดยทันทีที่ได้รับแรงกระแทกหรือเสียงดังมาก อาจรู้สึกว่าหูชาไปเลย ก่อนจะรู้สึก ปวดหรืออื้อ และเวลาผ่านไป 1 ชม ก็ยังไม่หายอื้อ ควรรีบไปพบแพทย์
หูอาจมีเสียงดังวิ้ง หรือ วี้ และได้ยินไม่ชัด ไม่ยอมหาย ใน 2-3 ชั่วโมง หรือมีอาการเวียนศีรษะบ้านหมุนมึนงง แสดงว่าแรงกระเทือนไปถึงหูชั้นใน อาจมีเยื่อของหูชั้นในฉีกขาดด้วย ต้องรักษาด่วน
บางรายอาจ “มีเลือดออกมาจากช่องหู” บางรายรู้สึกว่า “หูดับ” ไปทันที ควรพบแพทย์ด่วน อาจมีเลือดออกในหูชั้นในก็ได้ อาจทำให้หูตึงถาวรได้
สำหรับกรณีที่ถูกตบบ้องหู หรือ กกหูอย่างรุนแรง นอกจากจะทำให้ใบหูและเยื่อแก้วหูฉีกขาดแล้ว ถ้าแรงตบหรือแรงกระแทก มากพออาจทำให้สะเทือนถึงกะโหลกศีรษะทำให้กะโหลกร้าว หรือสะเทือนถึงสมอง ทำให้เกิดอาการ “มึนงง” “เวียนศีรษะบ้านหมุน” “เดินเซ” “ซึมลง ตอบสนองช้า” หรือถึงขึ้น “หมดสติ” ได้ จากเลือดตกในสมอง
เมื่อมีอาการดังกล่าวไม่ว่าจะมากหรือน้อย ควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจให้แน่ชัดว่าเยื่อแก้วหูผิดปกติหรือไม่ จะได้รีบรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ
การทะลุของแก้วหูถ้าไม่กระทบกระเทือนไปถึงประสาทรับเสียงในหูชั้นใน และแก้วหูทะลุโดยไม่มีการติดเชื้อ แก้วหูอาจปิดได้เองในเวลา 1-2 สัปดาห์หรือถึง 1 เดือน แล้วแต่ว่ารูทะลุเล็กหรือใหญ่แค่ไหน และขาดแบบกระรุ่งกระริ่งหรือเปล่า
ถ้าท่านได้รับการกระทบกระเทือนจนคิดว่าแก้วหูทะลุ หูอื้อปวด ควรรีบไปพบแพทย์หู ไม่ควรไปซื้อยาหยอดหูมาหยอด เพราะจะทำให้แผลทะลุเปียกชื้นและปิดได้ยาก ถ้าเป็นมากแพทย์อาจตรวจการได้ยินเพื่อให้รู้ว่ากระทบกระเทือนถึงกระดูกในหูชั้นกลางหรือประสาทรับเสียงหรือไม่ แพทย์อาจให้ยากิน แต่ไม่ใช่ยาหยอด
http://www.vachiraphuket.go.th/www/public-health/?name=knowledge&file=readknowledge&id=289
no plus ones
no comments
no shares
Shared publicly
Add a comment...
แก้วหูทะลุจากการกระทบกระแทก ผู้ป่วยกลุ่มนี้มีโอกาสที่แก้วหูที่ขาดจะกลับมาติดกันได้เองสูงมาก จึงมักไม่จำ เป็นต้องผ่าตัดซ่อมแซม
แก้วหูทะลุที่เกิดตามหลังการติดเชื้อในหูชั้นกลาง ต้องพยายามนำสิ่งสกปรกที่ตกค้างอยู่ในช่องหูชั้นนอก และหูชั้นกลางออกให้มากที่สุด แล้วให้ยาต้านจุลชีพ/ ยาปฏิชีวนะ ชนิดรับประทานและชนิดหยอดหู เป็นระยะเวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์ หลังจากนั้นอาจรอให้แก้วหูปิดเอง ซึ่งมักเป็นระ ยะเวลาประมาณ 4-6 สัปดาห์
1.ไม่ควรทำความสะอาดภายในช่องหูด้วยตนเอง รวมทั้งการใช้ไม้แคะหู หรือไม้พันสำลี (Cotton bud)
2. ไม่ควรหยอดยาหยอดหูใดๆทั้งสิ้น
3. ห้ามน้ำเข้าหูเด็ดขาด
4. รีบพบแพทย์/แพทย์ หู คอ จมูก เพื่อการวินิจฉัย รักษาและการดูแลหูที่เหมาะสม
เราควรพบแพทย์โดยเร็วที่สุดถ้ามีอาการแก้วหูทะลุดังกล่าวข้างต้น และกรณีมีเลือดออกจากช่องหู หูอื้อ และ/หรือการรับเสียงบกพร่อง ควรรีบพบแพทย์ หู คอ จมูกฉุกเฉิน หรือภายใน 24 ชั่วโมง
http://www.todayhealth.org//daily-health/บทความสุขภาพ/การรักษาแก้วหูทะลุ.html
แก้วหูทะลุที่เกิดตามหลังการติดเชื้อในหูชั้นกลาง ต้องพยายามนำสิ่งสกปรกที่ตกค้างอยู่ในช่องหูชั้นนอก และหูชั้นกลางออกให้มากที่สุด แล้วให้ยาต้านจุลชีพ/ ยาปฏิชีวนะ ชนิดรับประทานและชนิดหยอดหู เป็นระยะเวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์ หลังจากนั้นอาจรอให้แก้วหูปิดเอง ซึ่งมักเป็นระ ยะเวลาประมาณ 4-6 สัปดาห์
1.ไม่ควรทำความสะอาดภายในช่องหูด้วยตนเอง รวมทั้งการใช้ไม้แคะหู หรือไม้พันสำลี (Cotton bud)
2. ไม่ควรหยอดยาหยอดหูใดๆทั้งสิ้น
3. ห้ามน้ำเข้าหูเด็ดขาด
4. รีบพบแพทย์/แพทย์ หู คอ จมูก เพื่อการวินิจฉัย รักษาและการดูแลหูที่เหมาะสม
เราควรพบแพทย์โดยเร็วที่สุดถ้ามีอาการแก้วหูทะลุดังกล่าวข้างต้น และกรณีมีเลือดออกจากช่องหู หูอื้อ และ/หรือการรับเสียงบกพร่อง ควรรีบพบแพทย์ หู คอ จมูกฉุกเฉิน หรือภายใน 24 ชั่วโมง
http://www.todayhealth.org//daily-health/บทความสุขภาพ/การรักษาแก้วหูทะลุ.html
no plus ones
no comments
no shares
Shared publicly
Add a comment...
อาการที่ทำให้สงสัยว่าแก้วหูทะลุ จากแรงอัดอากาศ หรือได้ยินเสียงระเบิด หรือประทัด ?
หูอื้อและปวดในหูโดยทันทีที่ได้รับแรงกระแทกหรือเสียงดังมาก อาจรู้สึกว่าหูชาไปเลย ก่อนจะรู้สึกปวดหรืออื้อ และเวลาผ่านไป 1 ชม. ก็ยังไม่หายอื้อ ควรรีบไปพบแพทย์
หูอาจมีเสียงดังวิ้ง หรือ วี้ และได้ยินไม่ชัด ไม่ยอมหาย ใน 2-3 ชั่วโมง หรือมีอาการเวียนศีรษะบ้านหมุนมึนงง แสดงว่าแรงกระเทือนไปถึงหูชั้นใน อาจมีเยื่อของหูชั้นในฉีกขาดด้วย ต้องรักษาด่วน
บางรายอาจ “มีเลือดออกมาจากช่องหู” บางรายรู้สึกว่า “หูดับ” ไปทันที ควรพบแพทย์ด่วน อาจมีเลือดออกในหูชั้นในก็ได้ อาจทำให้หูตึงถาวรได้
สำหรับกรณีที่ถูกตบบ้องหู หรือ กกหูอย่างรุนแรง นอกจากจะทำให้ใบหูและเยื่อแก้วหูฉีกขาดแล้ว ถ้าแรงตบหรือแรงกระแทก มากพออาจทำให้สะเทือนถึงกะโหลกศีรษะทำให้กะโหลกร้าว หรือสะเทือนถึงสมอง ทำให้เกิดอาการ “มึนงง” “เวียนศีรษะบ้านหมุน” “เดินเซ” “ซึมลง ตอบสนองช้า” หรือถึงขึ้น “หมดสติ” ได้ จากเลือดตกในสมอง
เมื่อมีอาการดังกล่าวไม่ว่าจะมากหรือน้อย ควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจให้แน่ชัดว่าเยื่อแก้วหูผิดปกติหรือไม่ จะได้รีบรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ
หูอื้อและปวดในหูโดยทันทีที่ได้รับแรงกระแทกหรือเสียงดังมาก อาจรู้สึกว่าหูชาไปเลย ก่อนจะรู้สึกปวดหรืออื้อ และเวลาผ่านไป 1 ชม. ก็ยังไม่หายอื้อ ควรรีบไปพบแพทย์
หูอาจมีเสียงดังวิ้ง หรือ วี้ และได้ยินไม่ชัด ไม่ยอมหาย ใน 2-3 ชั่วโมง หรือมีอาการเวียนศีรษะบ้านหมุนมึนงง แสดงว่าแรงกระเทือนไปถึงหูชั้นใน อาจมีเยื่อของหูชั้นในฉีกขาดด้วย ต้องรักษาด่วน
บางรายอาจ “มีเลือดออกมาจากช่องหู” บางรายรู้สึกว่า “หูดับ” ไปทันที ควรพบแพทย์ด่วน อาจมีเลือดออกในหูชั้นในก็ได้ อาจทำให้หูตึงถาวรได้
สำหรับกรณีที่ถูกตบบ้องหู หรือ กกหูอย่างรุนแรง นอกจากจะทำให้ใบหูและเยื่อแก้วหูฉีกขาดแล้ว ถ้าแรงตบหรือแรงกระแทก มากพออาจทำให้สะเทือนถึงกะโหลกศีรษะทำให้กะโหลกร้าว หรือสะเทือนถึงสมอง ทำให้เกิดอาการ “มึนงง” “เวียนศีรษะบ้านหมุน” “เดินเซ” “ซึมลง ตอบสนองช้า” หรือถึงขึ้น “หมดสติ” ได้ จากเลือดตกในสมอง
เมื่อมีอาการดังกล่าวไม่ว่าจะมากหรือน้อย ควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจให้แน่ชัดว่าเยื่อแก้วหูผิดปกติหรือไม่ จะได้รีบรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ
no plus ones
no comments
no shares
Shared publicly
Add a comment...
ถ้าเยื่อแก้วหูทะลุ โดยไม่มีสิ่งสกปรก และไม่มีการติดเชื้อในหูชั้นนอกหรือหูชั้นกลาง แพทย์คงไม่ต้องให้ยาอะไร แม้แต่ยาหยอดหู เพราะร้อยละ 80-90 ของรูทะลุบนเยื่อแก้วหูผู้ป่วยสามารถปิดได้เอง ภายใน 4 สัปดาห์ เพียงแต่แนะนำไม่ให้น้ำเข้าหู โดยใช้สำลีชุบวาสลีน หรือวัสดุอุดรูหู (ear plug)
ถ้าเยื่อแก้วหูทะลุโดยมีสิ่งสกปรก หรือมีการติดเชื้อในหูชั้นนอกหรือหูชั้นกลาง อันอาจจะเนื่องมาจากการใช้เครื่องมือที่ไม่สะอาดแคะหู หรือมีน้ำสกปกติเข้าหูหลังจากที่เยื่อแก้วหูทะลุ ในกรณีนี้แพทย์ต้องพยายามนำสิ่งสกปรกที่ตกค้างอยู่ในช่องหูชั้นนอกและหูชั้นกลางออกให้มากที่สุด และให้ยาต้านจุลชีพชนิดรับประทานและชนิดหยอดหูเป็นระยะเวลา 1-2 สัปดาห์ หลังจากนั้นอาจรอให้เยื่อแก้วหูปิดเอง เป็นระยะเวลา 4-6 สัปดาห์
แต่ถ้ารูทะลุไม่สามารถปิดเองได้ อาจพิจารณาทำการผ่าตัดปะเยื่อแก้วหูต่อไป
http://www.si.mahidol.ac.th/sidoctor/e-pl/articledetail.asp?id=820
http://www.healthtoday.net/thailand/HealthFocus/healthfocus_123.html
ถ้าเยื่อแก้วหูทะลุโดยมีสิ่งสกปรก หรือมีการติดเชื้อในหูชั้นนอกหรือหูชั้นกลาง อันอาจจะเนื่องมาจากการใช้เครื่องมือที่ไม่สะอาดแคะหู หรือมีน้ำสกปกติเข้าหูหลังจากที่เยื่อแก้วหูทะลุ ในกรณีนี้แพทย์ต้องพยายามนำสิ่งสกปรกที่ตกค้างอยู่ในช่องหูชั้นนอกและหูชั้นกลางออกให้มากที่สุด และให้ยาต้านจุลชีพชนิดรับประทานและชนิดหยอดหูเป็นระยะเวลา 1-2 สัปดาห์ หลังจากนั้นอาจรอให้เยื่อแก้วหูปิดเอง เป็นระยะเวลา 4-6 สัปดาห์
แต่ถ้ารูทะลุไม่สามารถปิดเองได้ อาจพิจารณาทำการผ่าตัดปะเยื่อแก้วหูต่อไป
http://www.si.mahidol.ac.th/sidoctor/e-pl/articledetail.asp?id=820
http://www.healthtoday.net/thailand/HealthFocus/healthfocus_123.html
no plus ones
no comments
no shares
Shared publicly
Add a comment...
การผ่าตัดปะเยื่อแก้วหู [tympanoplasty type 1หรือ myringoplasty]
ทำในรายที่เป็นหูน้ำหนวกเรื้อรังหรือหูชั้นกลางอักเสบ แล้วมีการทะลุของเยื่อแก้วหู และกระดูกหูอาจถูกทำลาย การผ่าตัดเพื่อ ให้การได้ยินเสียงดีขึ้น ในรายที่มีเส้นประสาทรับสัมผัสเสียงปกติอยู่ และการผ่าตัดเพื่อแก้ไขหรือป้องกันการอักเสบของ หูชั้นกลาง มิให้อักเสบ หรือลุกลามไปมากกว่าเดิม
ทำในรายที่แก้วหูทะลุ จากการได้รับบาดเจ็บหรือแรงกระแทกที่หู เช่นเกิดจากการแคะหู สิ่งแปลกปลอมเข้าหู การเขี่ยหู การตบหู การได้ยินเสียงดังจากวัตถุระเบิด
http://www.phraehospital.go.th/or/tympanoplasty.html
ทำในรายที่เป็นหูน้ำหนวกเรื้อรังหรือหูชั้นกลางอักเสบ แล้วมีการทะลุของเยื่อแก้วหู และกระดูกหูอาจถูกทำลาย การผ่าตัดเพื่อ ให้การได้ยินเสียงดีขึ้น ในรายที่มีเส้นประสาทรับสัมผัสเสียงปกติอยู่ และการผ่าตัดเพื่อแก้ไขหรือป้องกันการอักเสบของ หูชั้นกลาง มิให้อักเสบ หรือลุกลามไปมากกว่าเดิม
ทำในรายที่แก้วหูทะลุ จากการได้รับบาดเจ็บหรือแรงกระแทกที่หู เช่นเกิดจากการแคะหู สิ่งแปลกปลอมเข้าหู การเขี่ยหู การตบหู การได้ยินเสียงดังจากวัตถุระเบิด
http://www.phraehospital.go.th/or/tympanoplasty.html
no plus ones
no comments
no shares
Shared publicly
Add a comment...
การไปเล่นน้ำ เช่น ว่ายน้ำในสระน้ำ เล่นน้ำทะเล อาบน้ำสระผม แล้วน้ำเข้าหู เกิดอาการหูอื้อเหมือนน้ำขังในรูหูแล้วไม่ยอมออก ยิ่งใส่น้ำเข้าหูเขย่ากระแทกก็ยิ่งอื้อมากขึ้นไปอีก ส่วนใหญ่มักเกิดเนื่องจากมีขี้หูอุดตันในรูหูอยู่แล้ว พอน้ำเข้าหูทำให้ขี้หูพองตัว เกิดอาการรำคาญแน่นๆ มากขึ้นนั้นเอง ดังนั้นการรักษาจึงต้อง เอาขี้หูออกครับ
ที่ผู้ป่วยรู้สึกมีเสมหะติดคอนั้น แท้ที่จริงเป็นเนื้อเยื่อในลำคอของเราเองที่บวมขึ้นมา ทำให้เรารู้สึกหนาๆ เหมือนมีอะไรติดคอ แต่โดยธรรมชาติแล้วถ้ามีเสมหะจริง ผู้ป่วยจะต้องมีอาการไอ เพื่อขับเสมหะออกมา
การล้างจมูกเป็นเพียงการให้ความชุ่มชื้นแก่จมูก และทำให้น้ำมูกที่เหนียวมากสามารถไหลออกมาได้สะดวกขึ้น
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1433299444
ที่ผู้ป่วยรู้สึกมีเสมหะติดคอนั้น แท้ที่จริงเป็นเนื้อเยื่อในลำคอของเราเองที่บวมขึ้นมา ทำให้เรารู้สึกหนาๆ เหมือนมีอะไรติดคอ แต่โดยธรรมชาติแล้วถ้ามีเสมหะจริง ผู้ป่วยจะต้องมีอาการไอ เพื่อขับเสมหะออกมา
การล้างจมูกเป็นเพียงการให้ความชุ่มชื้นแก่จมูก และทำให้น้ำมูกที่เหนียวมากสามารถไหลออกมาได้สะดวกขึ้น
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1433299444
no plus ones
no comments
no shares
Shared publicly
Add a comment...
เครื่องบินเกิดการลดระดับเพดานบินอย่างฉับพลัน ทำให้หน้ามืดและเลือดออก เพราะภาวะหูอื้อและขาดอ็อกซิเจน
ป้องกันอาการหูอื้อจากการลดระดับอย่างฉับพลัน ด้วยการอุดหูด้วย EAR PLUG แบบที่สามารถป้องกันอาการหูอื้อได้ ตลอดการเดินทาง ...
แค่บินเชียงใหม่ - กรุงเทพ ไม่กี่นาที อุดหูไว้บ้าง ก็ไม่เสียหายอะไร ยกเว้นแต่ว่า ต้องฟังเพลง ดูหนัง เวลาเกิดเหคุการณ์ขึ้นอย่างฉับพลันก็ช่วยอะไรไม่ได้เหมือนกัน
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1427778217
ป้องกันอาการหูอื้อจากการลดระดับอย่างฉับพลัน ด้วยการอุดหูด้วย EAR PLUG แบบที่สามารถป้องกันอาการหูอื้อได้ ตลอดการเดินทาง ...
แค่บินเชียงใหม่ - กรุงเทพ ไม่กี่นาที อุดหูไว้บ้าง ก็ไม่เสียหายอะไร ยกเว้นแต่ว่า ต้องฟังเพลง ดูหนัง เวลาเกิดเหคุการณ์ขึ้นอย่างฉับพลันก็ช่วยอะไรไม่ได้เหมือนกัน
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1427778217
no plus ones
no comments
no shares
Shared publiclyno shares
เรื่องไม่ธรรมดา ที่มากับ "เสียงแหบ"
updated: 01 ก.ค. 2556 เวลา 19:00:29 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
คอลัมน์ คลินิกหู คอ จมูก
โดย นายแพทย์ชัยยศ เด่นอริยะกูล แพทย์หูคอ จมูก รพ.กลาง
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1372678783
เสียงแหบชนิดเฉียบพลันมักจะมีอาการไม่เกิน 1 เดือน ส่วนชนิดเรื้อรังเป็นมากกว่า 1 เดือนขึ้นไป
ถ้าท่านมีอาการเสียงแหบแบบเฉียบพลัน และรู้สึกหายใจลำบาก หอบเหนื่อย ท่านควรมาพบแพทย์หูคอจมูกทันที หรือถ้าท่านเสียงแหบที่เป็นเรื้อรังนานกว่า 1 เดือนขึ้นไป ขออย่าได้นิ่งนอนใจ ต้องมาพบแพทย์หูคอจมูก ตรวจส่องดูให้แน่ชัดว่าเกิดจากสาเหตุใด
updated: 01 ก.ค. 2556 เวลา 19:00:29 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
คอลัมน์ คลินิกหู คอ จมูก
โดย นายแพทย์ชัยยศ เด่นอริยะกูล แพทย์หูคอ จมูก รพ.กลาง
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1372678783
เสียงแหบชนิดเฉียบพลันมักจะมีอาการไม่เกิน 1 เดือน ส่วนชนิดเรื้อรังเป็นมากกว่า 1 เดือนขึ้นไป
ถ้าท่านมีอาการเสียงแหบแบบเฉียบพลัน และรู้สึกหายใจลำบาก หอบเหนื่อย ท่านควรมาพบแพทย์หูคอจมูกทันที หรือถ้าท่านเสียงแหบที่เป็นเรื้อรังนานกว่า 1 เดือนขึ้นไป ขออย่าได้นิ่งนอนใจ ต้องมาพบแพทย์หูคอจมูก ตรวจส่องดูให้แน่ชัดว่าเกิดจากสาเหตุใด
no plus ones
no comments
no shares
Shared publicly
Add a comment...
No comments:
Post a Comment