Better Pharmacy Chiang Mai
Shared publicly - 2 Dec 2015
สิ่งที่ต้องคำนึงถึงเป็นอันดับแรกคือเรื่องของปริมาณ ต้องไม่มากเกินไป เพราะต่อให้เป็นไขมันดีแค่ไหนถ้ากินเยอะก็ก่อปัญหาได้ทั้งสิ้น
หากเป็นอาหารประเภท "ทอดกรอบ" ควรใช้น้ำมันประเภทที่มีกรดไขมันอิ่มตัว เพราะทนต่อความร้อนได้ดี ไม่ทำให้เกิดควัน ไม่ทำให้อาหารเหม็นหืน น้ำมันที่ควรเลือกใช้ก็คือน้ำมันปาล์ม หรือน้ำมันหมู ที่สำคัญไม่มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง
เมนู "ผัด" ก็เลือกใช้น้ำมันที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว อาทิ น้ำมันรำข้าว น้ำมันมะกอก หรือจะใช้น้ำมันที่มีสัดส่วนของกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนเยอะกว่าก็ได้ เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันดอกทานตะวัน ตรงนี้ยังสามารถเอามาทำเป็นน้ำมันสลัด ได้ด้วย
แต่ถ้าจะให้ดีเลือกใช้น้ำมันบริสุทธิ์ที่ไม่ผ่านความร้อนก็จะยิ่งทำให้ได้รับประโยชน์จากสารอาหารดั้งเดิมได้ เช่น วิตามินอีในน้ำมันรำข้าว น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันงา
น้ำมัน 2 ประเภทสำหรับทอด กับสำหรับผัด เพราะหากใช้น้ำมันสำหรับเมนูผัดต่าง ๆ ไปใช้ทอดแล้วน้ำมันพวกนี้ไม่ได้ทนความร้อนมาก จะทำให้เกิดกลุ่มควันเยอะมีโอกาสเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเป็นสารที่ก่ออันตรายต่อร่างกายและมีโอกาสเป็นสารก่อมะเร็งได้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับโอกาสและปริมาณสิ่งที่เราได้รับ
หากเป็นอาหารประเภท "ทอดกรอบ" ควรใช้น้ำมันประเภทที่มีกรดไขมันอิ่มตัว เพราะทนต่อความร้อนได้ดี ไม่ทำให้เกิดควัน ไม่ทำให้อาหารเหม็นหืน น้ำมันที่ควรเลือกใช้ก็คือน้ำมันปาล์ม หรือน้ำมันหมู ที่สำคัญไม่มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง
เมนู "ผัด" ก็เลือกใช้น้ำมันที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว อาทิ น้ำมันรำข้าว น้ำมันมะกอก หรือจะใช้น้ำมันที่มีสัดส่วนของกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนเยอะกว่าก็ได้ เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันดอกทานตะวัน ตรงนี้ยังสามารถเอามาทำเป็นน้ำมันสลัด ได้ด้วย
แต่ถ้าจะให้ดีเลือกใช้น้ำมันบริสุทธิ์ที่ไม่ผ่านความร้อนก็จะยิ่งทำให้ได้รับประโยชน์จากสารอาหารดั้งเดิมได้ เช่น วิตามินอีในน้ำมันรำข้าว น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันงา
น้ำมัน 2 ประเภทสำหรับทอด กับสำหรับผัด เพราะหากใช้น้ำมันสำหรับเมนูผัดต่าง ๆ ไปใช้ทอดแล้วน้ำมันพวกนี้ไม่ได้ทนความร้อนมาก จะทำให้เกิดกลุ่มควันเยอะมีโอกาสเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเป็นสารที่ก่ออันตรายต่อร่างกายและมีโอกาสเป็นสารก่อมะเร็งได้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับโอกาสและปริมาณสิ่งที่เราได้รับ
1
Add a comment...
Better Pharmacy Chiang Mai
Shared publicly - 29 Sep 2015
น้ำมันปลา ก็มี OMEGA 3
KRILL OIL ก็มี OMEGA 3 เช่นเดียวกับน้ำมันปลา แต่มีราคาแพงกว่า
มีผลงานวิจัยออกมาว่า ร่่างกายดูดซึมน้ำมันปลา และ KRILL OIL ได้ไม่ต่างกัน ปริมาณ EPA และ DHA ที่ได้ มีค่าไม่ต่างกัน แล้วอย่างนี้จะเสียเงินมากกว่าไปทำไม ....
ศึกษาสักนิด ก่อนเสียเงินซื้อ เพื่อความคุ้มค่าของเงินที่เสียไป
.......................................................
there was no statistically significant difference in total plasma and red blood cell EPA plus DHA levels observed between fish oil EE, fish oil TG and krill oil, at a daily intake of 1.3g.
http://www.foodbev.com/news/fish-and-krill-derived-omega-3-have-similar-bioavailability/
KRILL OIL ก็มี OMEGA 3 เช่นเดียวกับน้ำมันปลา แต่มีราคาแพงกว่า
มีผลงานวิจัยออกมาว่า ร่่างกายดูดซึมน้ำมันปลา และ KRILL OIL ได้ไม่ต่างกัน ปริมาณ EPA และ DHA ที่ได้ มีค่าไม่ต่างกัน แล้วอย่างนี้จะเสียเงินมากกว่าไปทำไม ....
ศึกษาสักนิด ก่อนเสียเงินซื้อ เพื่อความคุ้มค่าของเงินที่เสียไป
.......................................................
there was no statistically significant difference in total plasma and red blood cell EPA plus DHA levels observed between fish oil EE, fish oil TG and krill oil, at a daily intake of 1.3g.
http://www.foodbev.com/news/fish-and-krill-derived-omega-3-have-similar-bioavailability/
1
Add a comment...
Better Pharmacy Chiang Mai
Shared publicly - 29 Sep 2015
มีงานวิจัยตีพิมพ์ใน JAMA บอกว่า น้ำมันปลา รวมทั้ง Lutein และ zeaxanthin ไม่ได้มีส่วนช่วยในการป้องกันภาวะสมองเสื่อมในผู้สูงอายุ
................................
ในปัจจุบัน มีการใช้อาหารเสริมเป็นจำนวนมาก และมีงานวิจัยออกมามากด้วยเช่นกัน จึงต้องติดตามงานวิจัยใหม่ๆ อยู่ตลอด เพราะบางครั้ง ข้อมูลเก่าจะค้านกับข้อมูลใหม่อย่างสิ้นเชิง .... สุดท้ายก็อยู่ที่วิจารณญาณของแต่ละบุคคล ว่าจะยอมเสียเงินเพื่อซื้ออาหารเสริมมากิน และคุ้มค่ากับเงินที่เสียไปหรือไม่
http://www.starminenews.com/how-this-new-omega-3-research-is-an-upsetting-news-for-old-age-patients-and-industry/6219/
http://www.smh.com.au/technology/sci-tech/omega3-supplements-dont-stave-off-cognitive-decline-study-finds-20150901-gjc907.html
................................
ในปัจจุบัน มีการใช้อาหารเสริมเป็นจำนวนมาก และมีงานวิจัยออกมามากด้วยเช่นกัน จึงต้องติดตามงานวิจัยใหม่ๆ อยู่ตลอด เพราะบางครั้ง ข้อมูลเก่าจะค้านกับข้อมูลใหม่อย่างสิ้นเชิง .... สุดท้ายก็อยู่ที่วิจารณญาณของแต่ละบุคคล ว่าจะยอมเสียเงินเพื่อซื้ออาหารเสริมมากิน และคุ้มค่ากับเงินที่เสียไปหรือไม่
http://www.starminenews.com/how-this-new-omega-3-research-is-an-upsetting-news-for-old-age-patients-and-industry/6219/
http://www.smh.com.au/technology/sci-tech/omega3-supplements-dont-stave-off-cognitive-decline-study-finds-20150901-gjc907.html
1
Add a comment...
Better Pharmacy Chiang Mai
Shared publicly - 24 Sep 2015
ข่าวสารเรื่องสุขภาพจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งบางครั้งข้อมูลใหม่จะค้านกับข้อมูลเก่าอย่างสิ้นเชิง จึงขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแต่ละบุคคล ....
.......................................
"น้ำมันหมู" เป็นน้ำมันที่ได้จากธรรมชาติแท้ๆ ที่มีกรดไขมันอิ่มตัวและไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวสูง ช่วยลดระดับคลอเลสเตอรอลไม่ดี (LDL) และเพิ่มระดับคลอเลสเตอรอลดี (HDL) แถมทนต่อความร้อน จึงไม่เปลี่ยนเป็นไขมันทรานส์ ซึ่งเป็นตัวร้ายก่อมะเร็งและโรคหัวใจ
น้ำมันหมูเป็นไขมันดี และอย่างน้อยก็ไม่เลวร้ายเท่าไขมันทรานซ์ในมาการีนหรือน้ำมันพืช ซึ่งไขมันทรานซ์นี่แหละที่ทำให้เกิดปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ และ มะเร็ง
น้ำมันหมู นอกจากจะไม่ใช่สิ่งเลวร้ายแล้ว ยังถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่จะมาใช้ปรุงอาหารแทนน้ำมันพืชและเนย เนื่องจากน้ำมันหมูมีstearic acid ซี่งเป็นกรดไขมันชนิดอิ่มตัว ที่ช่วยลดการดูดซึมคลอเลสเตอรอล และลดระดับคลอเลสเตอรอลไม่ดี (LDL) ที่ทำให้เลือดไม่เหนียวข้น
"น้ำมันหมู" เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากธรรมชาติโดยตรง โดยใช้กระบวนการเจียวด้วยความร้อนเท่านั้น จึงปราศจากกระบวนการผลิตทางเคมี ทั้งให้ความหอมสำหรับการปรุงอาหารได้ดีกว่า แตกต่างจากน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีทั้งกลั่น ฟอกสี และแต่งกลิ่น และเมื่อนำมาปรุงอาหารจะเกิดการแตกตัวเป็นสารอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกายได้
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1442465455
.......................................
"น้ำมันหมู" เป็นน้ำมันที่ได้จากธรรมชาติแท้ๆ ที่มีกรดไขมันอิ่มตัวและไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวสูง ช่วยลดระดับคลอเลสเตอรอลไม่ดี (LDL) และเพิ่มระดับคลอเลสเตอรอลดี (HDL) แถมทนต่อความร้อน จึงไม่เปลี่ยนเป็นไขมันทรานส์ ซึ่งเป็นตัวร้ายก่อมะเร็งและโรคหัวใจ
น้ำมันหมูเป็นไขมันดี และอย่างน้อยก็ไม่เลวร้ายเท่าไขมันทรานซ์ในมาการีนหรือน้ำมันพืช ซึ่งไขมันทรานซ์นี่แหละที่ทำให้เกิดปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ และ มะเร็ง
น้ำมันหมู นอกจากจะไม่ใช่สิ่งเลวร้ายแล้ว ยังถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่จะมาใช้ปรุงอาหารแทนน้ำมันพืชและเนย เนื่องจากน้ำมันหมูมีstearic acid ซี่งเป็นกรดไขมันชนิดอิ่มตัว ที่ช่วยลดการดูดซึมคลอเลสเตอรอล และลดระดับคลอเลสเตอรอลไม่ดี (LDL) ที่ทำให้เลือดไม่เหนียวข้น
"น้ำมันหมู" เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากธรรมชาติโดยตรง โดยใช้กระบวนการเจียวด้วยความร้อนเท่านั้น จึงปราศจากกระบวนการผลิตทางเคมี ทั้งให้ความหอมสำหรับการปรุงอาหารได้ดีกว่า แตกต่างจากน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีทั้งกลั่น ฟอกสี และแต่งกลิ่น และเมื่อนำมาปรุงอาหารจะเกิดการแตกตัวเป็นสารอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกายได้
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1442465455
1
Add a comment...
Better Pharmacy Chiang Mai
Shared publicly - 21 Sep 2015
มะเร็งต่อมลูกหมาก
การแก้ไข
1. ลดปริมาณสาเหตุ จะพบว่าภายใน 2 อาทิตย์ อาการจะดีขึ้น
- เนื้อสัตว์และไขมันสัตว์
- แอลกอฮอล์
- บุหรี่
- ธัยรอยต่ำ
- หวานๆ
2. ทานธัยรอยด์ฮอร์โมน
3. ทานเมล็ดฟักทอง มีกรดไขมันจำเป็นคล้ายปาล์มประเภทหนึ่งในสหรัฐฯ ที่แพทย์แนะนำคนไข้ (แนะนำ วิตามินรวม ไอ-อาร์ดี)
4. ทานน้ำมันโอเมก้า 3 (Fish oil หรือ Flax seed oil) เป็นน้ำมันปลาหรือน้ำมันสกัดจากฝ้าย จะช่วยต้านการอักเสบ รับประทานวันละ 1 เม็ดขนาด 1000 mg. (แนะนำ วิตามินรวม ไอ-อาร์ดี)
5. Zn (Z-BEC) ธาตุสังกะสีและวิตามินบี อี ซี เป็นธาตุจำเป็นสำหรับต่อมลูกหมากและเส้นผม (แนะนำ วิตามินรวม ไอ-อาร์ดี)
6. กระเทียม, ขิง, ขมิ้น เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ให้รับประทานทุกวัน (แนะนำ วิตามินรวม ไอ-อาร์ดี)
7. ถั่วแดง หรือ Nature Plants
http://bhipshop.blog.com/2013/03/12/bph/
การแก้ไข
1. ลดปริมาณสาเหตุ จะพบว่าภายใน 2 อาทิตย์ อาการจะดีขึ้น
- เนื้อสัตว์และไขมันสัตว์
- แอลกอฮอล์
- บุหรี่
- ธัยรอยต่ำ
- หวานๆ
2. ทานธัยรอยด์ฮอร์โมน
3. ทานเมล็ดฟักทอง มีกรดไขมันจำเป็นคล้ายปาล์มประเภทหนึ่งในสหรัฐฯ ที่แพทย์แนะนำคนไข้ (แนะนำ วิตามินรวม ไอ-อาร์ดี)
4. ทานน้ำมันโอเมก้า 3 (Fish oil หรือ Flax seed oil) เป็นน้ำมันปลาหรือน้ำมันสกัดจากฝ้าย จะช่วยต้านการอักเสบ รับประทานวันละ 1 เม็ดขนาด 1000 mg. (แนะนำ วิตามินรวม ไอ-อาร์ดี)
5. Zn (Z-BEC) ธาตุสังกะสีและวิตามินบี อี ซี เป็นธาตุจำเป็นสำหรับต่อมลูกหมากและเส้นผม (แนะนำ วิตามินรวม ไอ-อาร์ดี)
6. กระเทียม, ขิง, ขมิ้น เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ให้รับประทานทุกวัน (แนะนำ วิตามินรวม ไอ-อาร์ดี)
7. ถั่วแดง หรือ Nature Plants
http://bhipshop.blog.com/2013/03/12/bph/
1
Add a comment...
Better Pharmacy Chiang Mai
Shared publicly - 16 Sep 2015
น้ำมันงาขี้ม้อน มีโอเมก้า3 สูงถึงร้อยละ 56 และเป็นโอเมก้า6 อีกร้อยละ 23 โดยมีข้อมูลที่ระบุว่างาขี้ม้อนเป็นพืชเพียงชนิดเดียวที่มีโอเมก้า3 และยังมีปริมาณของโอเมก้า3 มากกว่าน้ำมันปลาจากปลาทะเลน้ำลึกหลายเท่าตัว มีสรรพคุณช่วยบำรุงสมอง ลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ช่วยควบคุมระดับคอเลสตอรอลไม่ให้มีมากมากจนเกินไป ช่วยป้องกันไม่ให้หลอดเลือดแข็งตัว ป้องกันโรคหัวใจและโรคที่เกี่ยวข้องกับหลอดเลือดบางชนิด และยังช่วยแก้อาการไม่สบายต่าง ๆ ที่เกิดจากระบบประสาท
งาขี้ม้อนอุดมไปด้วยวิตามินบี ธาตุฟอสฟอรัส และธาตุแคลเซียมสูงกว่าพืชผักทั่วไปหลายเท่านัก โดยมีปริมาณแคลเซียมประมาณ 410-485 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม
งาขี้ม้อนยังมีสารเซซามอล (Sesamol) ซึ่งเป็นสารที่ช่วยป้องกันโรคมะเร็งและช่วยทำให้ร่างกายแก่ช้าลงอีกด้วย
http://www.doa.go.th/pibai/pibai/n15/v_3-apr/kayaipon.html
งาขี้ม้อนอุดมไปด้วยวิตามินบี ธาตุฟอสฟอรัส และธาตุแคลเซียมสูงกว่าพืชผักทั่วไปหลายเท่านัก โดยมีปริมาณแคลเซียมประมาณ 410-485 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม
งาขี้ม้อนยังมีสารเซซามอล (Sesamol) ซึ่งเป็นสารที่ช่วยป้องกันโรคมะเร็งและช่วยทำให้ร่างกายแก่ช้าลงอีกด้วย
http://www.doa.go.th/pibai/pibai/n15/v_3-apr/kayaipon.html
งาขี้ม้อน ภาษาอังกฤษ Perilla ชื่อวิทยาศาสตร์ Perilla frutescens (Linn.) Britton (งาม้อน) ประโยชน์ต้นงาขี้ม้อน สรรพคุณงาขี้ม้อน น้ำมันงาขี้ม้อน ฯลฯ
1
Add a comment...
Better Pharmacy Chiang Mai
Shared publicly - 24 Aug 2015
โรคไข้เลือดออก | โดยคณะเภสัชฯ ม.มหิดล
อาการของไข้เลือดออกคล้ายคลึงกับไข้หวัด กล่าวคือ มีไข้ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ แต่แตกต่างกันที่ ไข้จะสูงกว่ามาก โดยอาจมีไข้สูงกว่า 40 องศาเซลเซียส ผู้ป่วยจะมีหน้าแดง และปวดเมื่อยกล้ามเนื้อค่อนข้างมากกว่า หากทำการรัดต้นแขนด้วยสายรัด (Touniquet test) จะพบจุดเลือดออก ผู้ป่วยอาจมีเลือดออกผิดปกติ เช่น เลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน หรืออาการเลือดออกผิดปกติอื่นๆ และในบางรายที่มีอาการรุนแรงมากๆ อาจพบอาการซึม เหงื่อออก มือเท้าเย็น ชีพจรเต้นเบาแต่เร็ว ปวดท้องโดยเฉพาะบริเวณใต้ชายโครงขวา ปัสสาวะลดลง อาจถึงกับช็อกและเสียชีวิตได้ โดยอาการนำของภาวะช็อกมักเริ่มจากการมีไข้ลดลง
ในเด็กที่ป่วยด้วยโรคไข้เลือดออก มักพบว่า มีอาการในระยะเริ่มต้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งหากผู้ปกครองละเลยการพาผู้ป่วยไปรับการรักษาที่โรงพยาบาล ก็มีโอกาสที่ผู้ป่วยเด็กจะเสียชีวิตเนื่องจากการรักษาที่ล่าช้าได้
ยาลดไข้ที่ใช้มีเพียงชนิดเดียว คือ ยาพาราเซตามอล
แอสไพรินและไอบูโปรเฟน ห้ามนำมาใช้ในโรคไข้เลือดออก เนื่องจากยาทั้งสองชนิดนี้จะยิ่งส่งเสริมการเกิดภาวะเลือดออกผิดปกติจนอาจเกิดอันตรายต่อผู้ป่วยได้
หากไม่สามารถนอนในมุ้งหรือนอนในห้องที่มีมุ้งลวดได้ ควรใช้ยากันยุงชนิดทาผิวซึ่งมีสารสำคัญที่สกัดจากธรรมชาติ เช่น น้ำมันตะไคร้หอม (oil of citronella), น้ำมันยูคาลิปตัส (oil of eucalyptus) ซึ่งมีความปลอดภัยสูงกว่ามาทาหรือหยดใส่ผิวหนังใช้เป็นยากันยุง แต่ประสิทธิภาพจะต่ำกว่า DEET
www.pharmacy.mahidol.ac.th/knowledge/article/102/โรคไข้เลือดออก/
อาการของไข้เลือดออกคล้ายคลึงกับไข้หวัด กล่าวคือ มีไข้ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ แต่แตกต่างกันที่ ไข้จะสูงกว่ามาก โดยอาจมีไข้สูงกว่า 40 องศาเซลเซียส ผู้ป่วยจะมีหน้าแดง และปวดเมื่อยกล้ามเนื้อค่อนข้างมากกว่า หากทำการรัดต้นแขนด้วยสายรัด (Touniquet test) จะพบจุดเลือดออก ผู้ป่วยอาจมีเลือดออกผิดปกติ เช่น เลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน หรืออาการเลือดออกผิดปกติอื่นๆ และในบางรายที่มีอาการรุนแรงมากๆ อาจพบอาการซึม เหงื่อออก มือเท้าเย็น ชีพจรเต้นเบาแต่เร็ว ปวดท้องโดยเฉพาะบริเวณใต้ชายโครงขวา ปัสสาวะลดลง อาจถึงกับช็อกและเสียชีวิตได้ โดยอาการนำของภาวะช็อกมักเริ่มจากการมีไข้ลดลง
ในเด็กที่ป่วยด้วยโรคไข้เลือดออก มักพบว่า มีอาการในระยะเริ่มต้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งหากผู้ปกครองละเลยการพาผู้ป่วยไปรับการรักษาที่โรงพยาบาล ก็มีโอกาสที่ผู้ป่วยเด็กจะเสียชีวิตเนื่องจากการรักษาที่ล่าช้าได้
ยาลดไข้ที่ใช้มีเพียงชนิดเดียว คือ ยาพาราเซตามอล
แอสไพรินและไอบูโปรเฟน ห้ามนำมาใช้ในโรคไข้เลือดออก เนื่องจากยาทั้งสองชนิดนี้จะยิ่งส่งเสริมการเกิดภาวะเลือดออกผิดปกติจนอาจเกิดอันตรายต่อผู้ป่วยได้
หากไม่สามารถนอนในมุ้งหรือนอนในห้องที่มีมุ้งลวดได้ ควรใช้ยากันยุงชนิดทาผิวซึ่งมีสารสำคัญที่สกัดจากธรรมชาติ เช่น น้ำมันตะไคร้หอม (oil of citronella), น้ำมันยูคาลิปตัส (oil of eucalyptus) ซึ่งมีความปลอดภัยสูงกว่ามาทาหรือหยดใส่ผิวหนังใช้เป็นยากันยุง แต่ประสิทธิภาพจะต่ำกว่า DEET
www.pharmacy.mahidol.ac.th/knowledge/article/102/โรคไข้เลือดออก/
1
Add a comment...
Better Pharmacy Chiang Mai
Shared publicly - 7 Aug 2015
เรื่องน้ำมันนี่พลิกกลับไปกลับมา แล้วแต่ว่าคุณอ่านงานวิจัยไหน มีทฤษฏีความเชื่อของค่ายไหน ข่าวนี้มาจาก UC เทียบระหว่างหนูที่ให้กินน้ำมันมะพร้าว กับ น้ำมันถั่วเหลือง ปรากฏว่า หนูที่กินน้ำมันถั่วเหลืองมีไขมันที่ตับ และมีน้ำตาลในเลือดสูงกว่าหนูที่กินน้ำมันมะพร้าว และเมื่อเทียบกับน้ำมันข้าวโพด ปรากฏว่า หนูที่กินน้ำมันข่าวโพดทำให้อ้วนมากกว่าน้ำมันมะพร้าว แต่น้อยกว่าน้ำมันถั่วเหลือง
http://www.foxnews.com/health/2015/08/03/common-oil-that-science-now-shows-is-worse-than-sugar/
http://www.foxnews.com/health/2015/08/03/common-oil-that-science-now-shows-is-worse-than-sugar/
If you think that sugar is the unhealthiest thing you can eat, you're wrong.
1
Add a comment...
Better Pharmacy Chiang Mai
Shared publicly - 2 Aug 2015
ได้ทำการศึกษาสารในเนื้อมังคุด รวมทั้งบริเวณเนื้อติดเปลือกที่มีเยื่อแดงๆ ซึ่งพบว่ามีสารที่เรียกว่า โพลีฟีนอล (polyphenols) โดยสารดังกล่าวมีคุณสมบัติที่ดีต่อสุขภาพในการต้านอนุมูลอิสระ ที่เป็นสาเหตุของการก่อโรคมะเร็งได้
หลังการกินทุเรียนหมอนทอง ทำให้น้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นร้อยละ 70 เมื่อเทียบกับน้ำตาลกลูโคส หรือเรียกง่ายๆ ว่า จะทำให้น้ำตาลในเลือดสูงมาก ที่สำคัญคือ หลังจากผ่านไป 2 ชั่วโมง น้ำตาลในเลือดยังคงเหลือมากกว่าทุเรียนสายพันธุ์อื่นๆ
ในขณะที่ทุเรียนชะนีทำให้น้ำตาลเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ26เท่านั้นและเมื่อกินไปแล้วประมาณ 2 ชั่วโมง ร่างกายสามารถกำจัดน้ำตาลดังกล่าวออกมาได้หมดเหมือนก่อนการกิน จะเห็นได้ว่าทุเรียนชะนีมีค่าดัชนีน้ำตาลน้อยกว่าทุเรียนหมอนทองมากๆ ทั้งนี้ อาจเนื่องมาจากทุเรียนชะนีมีปริมาณใยอาหาร แร่ธาตุโพแทสเซียม แคโรทีนอยด์ และสารที่เป็นประโยชน์ในพืชที่มากกว่า นอกจากนี้ ยังมีชนิดของกรดไขมันที่เป็นแบบไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวที่มากกว่า ซึ่งไขมันชนิดนี้เป็นชนิดเดียวกับที่พบในน้ำมันมะกอกนั่นเองเพียงแต่พบในปริมาณต่ำกว่า ขณะที่ทุเรียนหมอนทองพบว่ามีกรดไขมันอิ่มตัวเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนั้น ทุเรียนพันธุ์พื้นบ้าน เช่น กระดุม และกบชนิดต่างๆ ก็พบว่ามีของดีเช่นเดียวกับทุเรียนชะนี
ไม่ควรกินร่วมกับดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะทุเรียนเป็นอาหารที่มีไขมันและคาร์โบไฮเดรตสูง ส่วนเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ก็ให้พลังงานสูง เมื่อกินทุเรียนร่วมกับเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เสี่ยงอันตรายได้
กล้วยน้ำว้าให้แคลเซียมสูงที่สุด มีวิตามินบี 1 บี 2 วิตามินซี และไนอะซิน (บี 6) ในปริมาณที่เท่าๆ กัน แต่ที่ทำให้กล้วยน้ำว้ามีคุณค่าสารอาหารที่พิเศษกว่ากล้วยชนิดอื่น นั่นคือโปรตีนที่อยู่ในกล้วยน้ำว้า เพราะมีกรดอะมิโน อาร์จินิน และฮีสติดิน ซึ่งมีความจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของทารก ถึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมตอนเด็กๆ ผู้ใหญ่ถึงให้กินกล้วยบด เพราะอุดมด้วยสารอาหาร และวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย แต่การกินควรเลือกกล้วยห่ามๆ วันละ 2-4 ผล เพราะกินสุกมากๆ จะได้รับน้ำตาลสูงได้เช่นกัน
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1438483281
หลังการกินทุเรียนหมอนทอง ทำให้น้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นร้อยละ 70 เมื่อเทียบกับน้ำตาลกลูโคส หรือเรียกง่ายๆ ว่า จะทำให้น้ำตาลในเลือดสูงมาก ที่สำคัญคือ หลังจากผ่านไป 2 ชั่วโมง น้ำตาลในเลือดยังคงเหลือมากกว่าทุเรียนสายพันธุ์อื่นๆ
ในขณะที่ทุเรียนชะนีทำให้น้ำตาลเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ26เท่านั้นและเมื่อกินไปแล้วประมาณ 2 ชั่วโมง ร่างกายสามารถกำจัดน้ำตาลดังกล่าวออกมาได้หมดเหมือนก่อนการกิน จะเห็นได้ว่าทุเรียนชะนีมีค่าดัชนีน้ำตาลน้อยกว่าทุเรียนหมอนทองมากๆ ทั้งนี้ อาจเนื่องมาจากทุเรียนชะนีมีปริมาณใยอาหาร แร่ธาตุโพแทสเซียม แคโรทีนอยด์ และสารที่เป็นประโยชน์ในพืชที่มากกว่า นอกจากนี้ ยังมีชนิดของกรดไขมันที่เป็นแบบไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวที่มากกว่า ซึ่งไขมันชนิดนี้เป็นชนิดเดียวกับที่พบในน้ำมันมะกอกนั่นเองเพียงแต่พบในปริมาณต่ำกว่า ขณะที่ทุเรียนหมอนทองพบว่ามีกรดไขมันอิ่มตัวเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนั้น ทุเรียนพันธุ์พื้นบ้าน เช่น กระดุม และกบชนิดต่างๆ ก็พบว่ามีของดีเช่นเดียวกับทุเรียนชะนี
ไม่ควรกินร่วมกับดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะทุเรียนเป็นอาหารที่มีไขมันและคาร์โบไฮเดรตสูง ส่วนเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ก็ให้พลังงานสูง เมื่อกินทุเรียนร่วมกับเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เสี่ยงอันตรายได้
กล้วยน้ำว้าให้แคลเซียมสูงที่สุด มีวิตามินบี 1 บี 2 วิตามินซี และไนอะซิน (บี 6) ในปริมาณที่เท่าๆ กัน แต่ที่ทำให้กล้วยน้ำว้ามีคุณค่าสารอาหารที่พิเศษกว่ากล้วยชนิดอื่น นั่นคือโปรตีนที่อยู่ในกล้วยน้ำว้า เพราะมีกรดอะมิโน อาร์จินิน และฮีสติดิน ซึ่งมีความจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของทารก ถึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมตอนเด็กๆ ผู้ใหญ่ถึงให้กินกล้วยบด เพราะอุดมด้วยสารอาหาร และวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย แต่การกินควรเลือกกล้วยห่ามๆ วันละ 2-4 ผล เพราะกินสุกมากๆ จะได้รับน้ำตาลสูงได้เช่นกัน
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1438483281
1
Add a comment...
Better Pharmacy Chiang Mai
Shared publicly - 30 Jul 2015
ในทุกวันดวงตาต้องรับภาระอย่างหนัก ต้องเจอกับสภาพแวดล้อมที่เป็นพิษตลอดวัน แสงแดด ควันพิษ บุหรี่ รวมถึงการอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานาน
สิ่งเหล่านี้กระตุ้นให้ดวงตาเสื่อมเร็วมากกว่าปกติรวมถึงเป็นสาเหตุของอาการและโรคตาต่าง ๆ3
- โรคจอประสาทตาเสื่อม
- โรคต้อกระจก
- ต้อหิน
- ตาแห้ง
ดังนั้นการถนอมและเริ่มต้นดูแลสายตาจึงเป็นสิ่งที่สำคัญและควรลงมือปฏิบัติตั้งแต่วันนี้
"มาปล่อยให้ธรรมชาติเป็นผู้ปกป้องดวงตากันนะคะ"
VISTRA BILBERRY EXTRACT PLUS LUTEIN
มีสารสำคัญอะไรบ้างที่ช่วยดูแลปกป้องดวงตา?
1. บิลเบอร์รี่ (Bilberry) เป็นผลไม้สีน้ำเงินม่วง ตระกูลเดียวกับแบล็คเคอร์แรนท์ ซึ่งมีสาร "แอนโธไซยาโนไซด์ (Anthocyanoside)” ที่จัดเป็นสารประกอบโพลีฟีนอลในกลุ่มของ ฟลาโวนอยด์ โดยมีคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดคือ ปกป้องอนุมูลอิสระที่มาทำลายดวงตา เพิ่มประสิทธิภาพการมองเห็นในที่มืด ทำให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น ลดอาการเมื่อยล้าของดวงตา เพิ่มความแข็งแรงของผนังเส้นเลือดฝอย
2. ลูทีน (Lutein) สารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ ดวงตา ทำหน้าที่ในการป้องกันรังสีจากแสงแดด รวมถึงช่วยลดความเสี่ยงของโรคจอประสาทตาเสื่อม
3. ซีแซนทีน (zeaxanthin) สารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ ร่างกายสร้างเองไม่ได้ ทำหน้าที่กรองแสงที่จะผ่านเข้าสู่จอตาและช่วยลดการสะท้อนของแสง ป้องกันรังสีจากแสงแดดที่เป็นอันตรายต่อดวงตาและจะทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเมื่อทำงานร่วมกับลูทีน
4. เบต้า-แคโรทีน (Beta-carotene) เป็นสารตั้งต้นที่สำคัญของการสร้างวิตามินเอในร่างกาย ช่วยเพิ่มความสามารถในการมองเห็นในตอนกลางคืนได้ดี และยังมีคุณสมบัติในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย
5. วิตามินเอ (Vitamin A)
บำรุงสายตา ป้องกันโรคตามัวตอนกลางคืน (Night Blindness) ช่วยในการสร้างสารที่ใช้ในการมองเห็นพบมากในน้ำมันตับปลา ตับ แครอท มันเทศ
รู้ประโยชน์ของ Bilberry กันแล้วก็อย่าลืมไปหามาติดบ้านกันไว้นะคะ
https://www.facebook.com/VistraClub/photos/a.185274000851.128280.174853160851/10153142632645852/
สิ่งเหล่านี้กระตุ้นให้ดวงตาเสื่อมเร็วมากกว่าปกติรวมถึงเป็นสาเหตุของอาการและโรคตาต่าง ๆ3
- โรคจอประสาทตาเสื่อม
- โรคต้อกระจก
- ต้อหิน
- ตาแห้ง
ดังนั้นการถนอมและเริ่มต้นดูแลสายตาจึงเป็นสิ่งที่สำคัญและควรลงมือปฏิบัติตั้งแต่วันนี้
"มาปล่อยให้ธรรมชาติเป็นผู้ปกป้องดวงตากันนะคะ"
VISTRA BILBERRY EXTRACT PLUS LUTEIN
มีสารสำคัญอะไรบ้างที่ช่วยดูแลปกป้องดวงตา?
1. บิลเบอร์รี่ (Bilberry) เป็นผลไม้สีน้ำเงินม่วง ตระกูลเดียวกับแบล็คเคอร์แรนท์ ซึ่งมีสาร "แอนโธไซยาโนไซด์ (Anthocyanoside)” ที่จัดเป็นสารประกอบโพลีฟีนอลในกลุ่มของ ฟลาโวนอยด์ โดยมีคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดคือ ปกป้องอนุมูลอิสระที่มาทำลายดวงตา เพิ่มประสิทธิภาพการมองเห็นในที่มืด ทำให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น ลดอาการเมื่อยล้าของดวงตา เพิ่มความแข็งแรงของผนังเส้นเลือดฝอย
2. ลูทีน (Lutein) สารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ ดวงตา ทำหน้าที่ในการป้องกันรังสีจากแสงแดด รวมถึงช่วยลดความเสี่ยงของโรคจอประสาทตาเสื่อม
3. ซีแซนทีน (zeaxanthin) สารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ ร่างกายสร้างเองไม่ได้ ทำหน้าที่กรองแสงที่จะผ่านเข้าสู่จอตาและช่วยลดการสะท้อนของแสง ป้องกันรังสีจากแสงแดดที่เป็นอันตรายต่อดวงตาและจะทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเมื่อทำงานร่วมกับลูทีน
4. เบต้า-แคโรทีน (Beta-carotene) เป็นสารตั้งต้นที่สำคัญของการสร้างวิตามินเอในร่างกาย ช่วยเพิ่มความสามารถในการมองเห็นในตอนกลางคืนได้ดี และยังมีคุณสมบัติในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย
5. วิตามินเอ (Vitamin A)
บำรุงสายตา ป้องกันโรคตามัวตอนกลางคืน (Night Blindness) ช่วยในการสร้างสารที่ใช้ในการมองเห็นพบมากในน้ำมันตับปลา ตับ แครอท มันเทศ
รู้ประโยชน์ของ Bilberry กันแล้วก็อย่าลืมไปหามาติดบ้านกันไว้นะคะ
https://www.facebook.com/VistraClub/photos/a.185274000851.128280.174853160851/10153142632645852/
1
Add a comment...
Better Pharmacy Chiang Mai
Shared publicly - 6 Jul 2015
ในขณะมีประจำเดือน มดลูกจะบีบตัวอย่างมาก จนอาจทำให้หลอดเลือดตีบตัน เกิดอาการปวดประจำเดือน ยา Naproxen aspirin และ ibuprofen จะยับยั้งการสร้าง prostaglandins ที่เกี่ยวข้องกับการหดตัวของกล้ามเนื้อ
Omega-3 ทีมีอยู่ในน้ำมันปลา มีผลยับยั้งการสร้าง prostaglandin ด้วยเช่นกัน
การประคบด้วยถุงน้ำร้อนนาน 8 ชั่วโมง จะทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว
กินแคลเซียมวันละ 1200 มิลลิกรัม จะช่วยลดอาการปวดประจำเดือนได้เช่นกัน
กินวิตะมินอี วันละ 400 IU มีผลลดการสร้าง prostaglandin
Yaz เป็นยาคุมกำเนิดที่ US FDA ให้ใช้รักษาอาการ PMDD (premenstrual dysphoric disorder). อาการปวดประจำเดือนจะลดลงครึ่งหนึ่ง
http://edition.cnn.com/2007/HEALTH/conditions/09/25/healthmag.period.makeover/
http://www.wikihow.com/Get-Rid-of-Menstrual-Cramps
http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/premenstrual-syndrome/basics/alternative-medicine/con-20020003
Omega-3 ทีมีอยู่ในน้ำมันปลา มีผลยับยั้งการสร้าง prostaglandin ด้วยเช่นกัน
การประคบด้วยถุงน้ำร้อนนาน 8 ชั่วโมง จะทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว
กินแคลเซียมวันละ 1200 มิลลิกรัม จะช่วยลดอาการปวดประจำเดือนได้เช่นกัน
กินวิตะมินอี วันละ 400 IU มีผลลดการสร้าง prostaglandin
Yaz เป็นยาคุมกำเนิดที่ US FDA ให้ใช้รักษาอาการ PMDD (premenstrual dysphoric disorder). อาการปวดประจำเดือนจะลดลงครึ่งหนึ่ง
http://edition.cnn.com/2007/HEALTH/conditions/09/25/healthmag.period.makeover/
http://www.wikihow.com/Get-Rid-of-Menstrual-Cramps
http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/premenstrual-syndrome/basics/alternative-medicine/con-20020003
How to Get Rid of Menstrual Cramps. What happens when you get menstrual cramps? Your uterus, which is a muscle, contracts during your period. Sometimes when the uterus contracts, it can accidentally press against other blood vessels,...
1
Add a comment...
Better Pharmacy Chiang Mai
Shared publicly - 21 May 2015
น้ำมันทอดซ้ำเสื่อมสภาพ ก่อให้เกิดผลกระทบด้านสุขภาพ โดยสารโพลาร์ในน้ำมันทอดซ้ำเสื่อมสภาพเป็นสาเหตุก่อให้เกิดโรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน และโรคหลอดเลือดสมองอุดตัน
และสารพีเอเอช(PAH.)Polycyclic aromatic hydrocarbon เป็นสารก่อมะเร็ง
http://thainews.prd.go.th/centerweb/News/NewsDetail?NT01_NewsID=TNRPT5805210010002
และสารพีเอเอช(PAH.)Polycyclic aromatic hydrocarbon เป็นสารก่อมะเร็ง
http://thainews.prd.go.th/centerweb/News/NewsDetail?NT01_NewsID=TNRPT5805210010002
1
Add a comment...
Better Pharmacy Chiang Mai
Shared publicly - 20 May 2015
น้ำมันมะพร้าว มีโมเลกุลขนาดเล็ก สามารถแทรกซึมทำความสะอาดผิวได้อย่างล้ำลึก ลดการเกิดสิวฝ้า และการสะสมของสารเคมีจากเครื่องสำอางค์ ทำความสะอาดรูขุมขน ทำให้รูขุมขนกระชับ เต่งตึง ผิวหน้าเนียนใส และช่วยขจัดสิ่งอุดตัน ที่เป็นสาเหตุของการเกิดสิวอย่างได้ผล
วิธีใช้ นำน้ำมันมะพร้าว หยดบนสำลีพอประมาณ แล้วเช็ดให้ทั่วใบหน้า สามารถเช็ดรอบดวงตา และริมฝีปาก
สำหรับผู้ที่แต่งหน้า สามารถใช้น้ำมันมะพร้าว เช็ดทำความสะอาดได้ 2 รอบ เพื่อความสะอาดอย่างหมดจด
หลังจากเช็ดทั่วทั้งใบหน้าด้วยน้ำมันมะพร้าวแล้ว ให้ทิ้งไว้ 10 นาที จึงล้างออกด้วยสบู่ จากนั้นซับหน้าให้แห้ง
.........................................................
J-TASTE เป็นน้ำมันมะพร้าวออแกนิกสกัดเย็นบริสุทธิ์ 100% ที่ใช้กระบวนการเหวี่ยงแยก (Centrifugal Process) 3 ขั้นตอน ในการสกัดน้ำมัน ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัย และดีที่สุดในปัจจุบัน จนได้รับรางวัลจากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA)
ซึ้อน้ำมันมะพร้าว นอกจากจะมีตราอย. GMP HACCP HALAL และถ้าน้ำมันมะพร้าวนั้นมีตรา NIA ท่านจะมั่นใจได้ว่า เป็นน้ำมันมะพร้าวที่บริสุทธิ์ที่สุด ใส สะอาด เบา ซึมเร็ว คงความสด และคุณสมบัติตามธรรมชาติ
น้ำมันมะพร้าว J-TASTE ขนาด 100 ml ฝาปั๊ม และขนาด 250 ml มีจำหน่ายที่ BETTER PHARMACY ใกล้ TRAM CONDOMINIUM เจ็ดยอด เชียงใหม่ ....
LINE ID - BETTERCM
FACEBOOK/BetterPharmacyCMG
BETTER PHARMACY เราคัดสรรแต่สิ่งที่ดี มีคุณภาพ เพื่อคุณ
วิธีใช้ นำน้ำมันมะพร้าว หยดบนสำลีพอประมาณ แล้วเช็ดให้ทั่วใบหน้า สามารถเช็ดรอบดวงตา และริมฝีปาก
สำหรับผู้ที่แต่งหน้า สามารถใช้น้ำมันมะพร้าว เช็ดทำความสะอาดได้ 2 รอบ เพื่อความสะอาดอย่างหมดจด
หลังจากเช็ดทั่วทั้งใบหน้าด้วยน้ำมันมะพร้าวแล้ว ให้ทิ้งไว้ 10 นาที จึงล้างออกด้วยสบู่ จากนั้นซับหน้าให้แห้ง
.........................................................
J-TASTE เป็นน้ำมันมะพร้าวออแกนิกสกัดเย็นบริสุทธิ์ 100% ที่ใช้กระบวนการเหวี่ยงแยก (Centrifugal Process) 3 ขั้นตอน ในการสกัดน้ำมัน ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัย และดีที่สุดในปัจจุบัน จนได้รับรางวัลจากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA)
ซึ้อน้ำมันมะพร้าว นอกจากจะมีตราอย. GMP HACCP HALAL และถ้าน้ำมันมะพร้าวนั้นมีตรา NIA ท่านจะมั่นใจได้ว่า เป็นน้ำมันมะพร้าวที่บริสุทธิ์ที่สุด ใส สะอาด เบา ซึมเร็ว คงความสด และคุณสมบัติตามธรรมชาติ
น้ำมันมะพร้าว J-TASTE ขนาด 100 ml ฝาปั๊ม และขนาด 250 ml มีจำหน่ายที่ BETTER PHARMACY ใกล้ TRAM CONDOMINIUM เจ็ดยอด เชียงใหม่ ....
LINE ID - BETTERCM
FACEBOOK/BetterPharmacyCMG
BETTER PHARMACY เราคัดสรรแต่สิ่งที่ดี มีคุณภาพ เพื่อคุณ
1
Add a comment...
Better Pharmacy Chiang Mai
Shared publicly - 17 Apr 2015
ลดน้ำหนักด้วยน้ำมันมะพร้าว
น้ำมันมะพร้าวประกอบไปด้วยกรดไขมันอิ่มตัวสายกลาง (Medium chain fatty acid) เช่น กรดลอริก (Lauric acid) ซึ่งจะถูกเผาผลาญได้ดี เมื่อถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย จึงสะสมในร่างกายได้น้อยกว่ากรดไขมันสายยาว กรดไขมันอิ่มตัวของน้ำมันมะพร้าว ช่วยในกระบวนการเผาผลาญไขมันที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride)
การควบคุมน้ำหนักด้วยการเผาผลาญกรดไขมันสายกลาง ให้ผลในการลดน้ำหนักได้ 20 เปอร์เซ็นต์ และ ลดปริมาณไขมันในร่างกาย 23 เปอร์เซ็นต์ น้ำมันมะพร้าวช่วยเผาผลาญปริมาณแคลอรีจากอาหารที่ร่างกายได้รับมากขึ้น
กรดไขมันสายกลาง (ชนิดที่พบในน้ำมันมะพร้าว) ช่วยเพิ่มความรู้สึกอิ่มอาหารและ นำไปสู่การลดปริมาณแคลอรีจากอาหารที่จะเข้าสู่ร่างกายโดยอัตโนมัติ คนที่กินน้ำมันมะพร้าวไม่เพียงแต่น้ำหนักจะลดลงเท่านั้น แต่ยังพบว่ามีรอบเอวที่ลดลงด้วย
http://health.haijai.com/2865/
น้ำมันมะพร้าวประกอบไปด้วยกรดไขมันอิ่มตัวสายกลาง (Medium chain fatty acid) เช่น กรดลอริก (Lauric acid) ซึ่งจะถูกเผาผลาญได้ดี เมื่อถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย จึงสะสมในร่างกายได้น้อยกว่ากรดไขมันสายยาว กรดไขมันอิ่มตัวของน้ำมันมะพร้าว ช่วยในกระบวนการเผาผลาญไขมันที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride)
การควบคุมน้ำหนักด้วยการเผาผลาญกรดไขมันสายกลาง ให้ผลในการลดน้ำหนักได้ 20 เปอร์เซ็นต์ และ ลดปริมาณไขมันในร่างกาย 23 เปอร์เซ็นต์ น้ำมันมะพร้าวช่วยเผาผลาญปริมาณแคลอรีจากอาหารที่ร่างกายได้รับมากขึ้น
กรดไขมันสายกลาง (ชนิดที่พบในน้ำมันมะพร้าว) ช่วยเพิ่มความรู้สึกอิ่มอาหารและ นำไปสู่การลดปริมาณแคลอรีจากอาหารที่จะเข้าสู่ร่างกายโดยอัตโนมัติ คนที่กินน้ำมันมะพร้าวไม่เพียงแต่น้ำหนักจะลดลงเท่านั้น แต่ยังพบว่ามีรอบเอวที่ลดลงด้วย
http://health.haijai.com/2865/
ลดน้ำหนักด้วยน้ำมันมะพร้าว เนื่องจากน้ำมันมะพร้าวมีความแตกต่างจากกรดไขมันชนิดอื่นๆ ในขณะที่ไขมันชนิดอื่นๆ มีส่วนประกอบของกรดไขมันสายยาว (Long chain fatty acid) เช่น กรดไลโนเลอิก (Linoleic acid) ซึ่งเป็นกรดไขมันอิ่มตัวที่พบมากใ
1
Add a comment...
Better Pharmacy Chiang Mai
Shared publicly - 14 Apr 2015
๐ มันเทศ ๐
มันเทศร้อนๆ จากเตา นอกจากจะให้คุณค่ามากด้วยเส้นใยแล้ว ยังช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ ลดอัตราเสี่ยงมะเร็งลำไส้ ช่วยควบคุมน้ำหนัก ลดน้ำตาลในเลือด นอกจากนี้ใบยังมีสารเบต้าแคโรทีนสูงมาก ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ลดน้ำตาล ขับระบายพิษ บำรุงสายตา โดยการกินใบมีหลายอย่างเช่น กินสดคู่กับน้ำพริก หรือนำมาผัดน้ำมันหอย หรือเมนูอื่นตามชอบ
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=824467374305280&id=434693929949295
มันเทศร้อนๆ จากเตา นอกจากจะให้คุณค่ามากด้วยเส้นใยแล้ว ยังช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ ลดอัตราเสี่ยงมะเร็งลำไส้ ช่วยควบคุมน้ำหนัก ลดน้ำตาลในเลือด นอกจากนี้ใบยังมีสารเบต้าแคโรทีนสูงมาก ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ลดน้ำตาล ขับระบายพิษ บำรุงสายตา โดยการกินใบมีหลายอย่างเช่น กินสดคู่กับน้ำพริก หรือนำมาผัดน้ำมันหอย หรือเมนูอื่นตามชอบ
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=824467374305280&id=434693929949295
1
Add a comment...
Better Pharmacy Chiang Mai
Shared publicly - 10 Apr 2015
สวัสดีฮะเพื่อนๆห้องแป้งทุกคนนทโตะขอกราบรายงานตัว (แกเป็นใคร?) วันนี้นทจะมารีวิว 10 กันแดดตัว ราคา Drugstore ที่จะช่วยชีวิตผิวของเราจากแสงแดดอันไม่ปราณีผู้ใดในโล
1
Add a comment...
Better Pharmacy Chiang Mai
Shared publicly - 20 Mar 2015
แนะนำให้ใช้น้ำมันมะพร้าวพรหมจรรย์ (virgin coconut oil) ทาไปบริเวณที่เป็นเริม ให้สกิดตุ่มน้ำใสๆให้แตกเอา กระดาษทิชชู่ซับแผล แล้วใช้น้ำมันมะพร้าวทาบริเวณที่เป็น 2-3 ครั้ง แผลหายสนิท อยากจะบอกว่า
เป็นสุดยอดน้ำมันมหัศจรรย์ หลังจากที่เคยเป็นเริมมาเป็นเดือนกว่าจะหาย พี่ชายเพื่อนยังแนะนำให้หลีกเลี่ยงอาหาร เช่น ข้าวโพด ถั่วเปลือกแข็งทุกชนิด เบียร์ เนย ช็อกโกแลต ซีเรียล เพราะโปรตีนที่มีแอลอาร์จินินสูง เชื้อเริมชอบมาก
ให้กินมันฝรั่ง ถั่วฝักยาว ผักต่างๆ ปลาทะเล น้ำมันปลา สาหร่ายทะเล น้ำมะพร้าวอ่อน ไข่ไก่ เพราะมีโปรตีนที่มี แอลไลซีนสูง เชื้อเริมไม่ชอบ
ตั้งแต่ได้รับคำแนะนำโรคเริมที่เคยเป็นก็ห่างหายไปนาน ถ้าไปดื่มเบียร์ กับเพื่อนก็จะมีอาการ
https://www.gotoknow.org/posts/331254
เป็นสุดยอดน้ำมันมหัศจรรย์ หลังจากที่เคยเป็นเริมมาเป็นเดือนกว่าจะหาย พี่ชายเพื่อนยังแนะนำให้หลีกเลี่ยงอาหาร เช่น ข้าวโพด ถั่วเปลือกแข็งทุกชนิด เบียร์ เนย ช็อกโกแลต ซีเรียล เพราะโปรตีนที่มีแอลอาร์จินินสูง เชื้อเริมชอบมาก
ให้กินมันฝรั่ง ถั่วฝักยาว ผักต่างๆ ปลาทะเล น้ำมันปลา สาหร่ายทะเล น้ำมะพร้าวอ่อน ไข่ไก่ เพราะมีโปรตีนที่มี แอลไลซีนสูง เชื้อเริมไม่ชอบ
ตั้งแต่ได้รับคำแนะนำโรคเริมที่เคยเป็นก็ห่างหายไปนาน ถ้าไปดื่มเบียร์ กับเพื่อนก็จะมีอาการ
https://www.gotoknow.org/posts/331254
1
Add a comment...
Better Pharmacy Chiang Mai
Shared publicly - 9 Mar 2015
หน้ากากกรองฝุ่น มาตรฐาน N95 ประเทศสหรัฐอเมริกา ใช้สำหรับป้องกันฝุ่นละอองต่างๆ อาทิ ฝุ่นจากโรงงานอุตสาหกรรม ฝุ่นจากการทำความสะอาดบ้าน ฝุ่นจากท้องถนน ฝุ่นควันจากการเผาป่า เหมาะสำหรับผู่ที่แพ้อากาศ ฝุ่นละอองเกสรดอกไม้ต่างๆ และยังสามารถป้องกันไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009 และเชื้อราได้อีกด้วย
ข้อดี:
- น้ำหนักเบา ใส่แล้วไม่หนักศีรษะ
- สามารถป้องกันฝุ่นที่ใหญ่กว่า 0.3 ไมครอนได้ดี
- มาตรฐาน N95 จากประเทศอเมริกา คือ หน้ากาก
ป้องกันอนุภาคที่ไม่ใช่น้ำมัน และมีประสิทธิภาพใน
การกรองไม่ต่ำกว่า 95% เอามาเทียบเปอร์เซนต์
กับมาตรฐานยุโรปไม่ได้ เพราะการทดสอบต่างกัน
- ไม่เกะกะ ออกแบบเพื่อให้สามารถสวมแว่นนิรภัย
และอุปกรณ์ต่างๆ ได้
ข้อเสีย:
- ไม่สามารถป้องกันสารเคมีได้
- หน้ากากแบบใช้แล้วทิ้งใส่แล้วอาจจะมีรูเล็ดลอด
ได้ง่ายหากสวมใส่ไม่ชำนาญ
ถ้าต้องใช้งานนานๆ แนะนำหน้ากากแบบเปลี่ยนไส้กรอง
หรือถ้าชอบใส่แบบใช้แล้วทิ้ง แนะนำรุ่น
หน้ากาก 3M 8822 จะเหมือนกันแต่มีวาล์วเพิ่ม จะทำให้
สวมใส่นานๆ อากาศถ่ายเทได้ดีกว่า
เหมาะกับงานสบายๆ เช่น กวาดบ้าน,
งานเลื่อยไม้, ตัดไม้, ขัดวัสดุต่างๆ โดยใช้กระดาษทราย,
เคลื่อนย้ายสารเคมีแห้งแบบไม่อันตราย, งานในห้องแล๊ป,
ทำอาหาร, เตรียมวัสดุเกี่ยวกับแร่ธาตุจำพวกหิน, งานเก็บ
เกี่ยวพืชผักผลไม้ในสวน, ห้องออฟฟิศที่มีฝุ่น, งานเจียร,
งานบรรจุหีบห่อ, ฝุ่นจากท้องถนน, ฝุ่นจากการเผาหญ้าเผาป่า,
ฝุ่นแป้ง, ฝุ่นยา, ฝุ่นเซรามิค, ฝุ่นเหมืองแร่, ปูนซีเมนต์,
อุตสาหกรรมสิ่งทอ, และฝุ่นอื่นๆ ที่ไม่ละเอียดทั่วไป
เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการเป็น
ภูมิแพ้อากาศ เชื้อรา ฝุ่นจากละอองเกสรดอกไม้ และยัง
สามารถป้องกันเชื้อโรคต่างๆ ไข้หวัดนก ไข้หวัดต่างๆ
ได้ดี เช่น ไข้หวัด 2009 H1N1, วัณโรค TB, เชื้อโรค
หลายชนิดจากโรงพยาบาล, เชื้อโรคจากการไปเยี่ยมผู้ป่วย
เป็นต้น
หมายเหตุ สินค้าแบบนี้ มีขายที่ BETTER อยู่ตลอด แต่ไม่เป็นที่นิยม เพราะราคาจะสูงกว่า ทั้งๆที่ป้องกันฝุ่นควันได้ดีกว่า มีประสิทธิภาพมากกว่า
ข้อดี:
- น้ำหนักเบา ใส่แล้วไม่หนักศีรษะ
- สามารถป้องกันฝุ่นที่ใหญ่กว่า 0.3 ไมครอนได้ดี
- มาตรฐาน N95 จากประเทศอเมริกา คือ หน้ากาก
ป้องกันอนุภาคที่ไม่ใช่น้ำมัน และมีประสิทธิภาพใน
การกรองไม่ต่ำกว่า 95% เอามาเทียบเปอร์เซนต์
กับมาตรฐานยุโรปไม่ได้ เพราะการทดสอบต่างกัน
- ไม่เกะกะ ออกแบบเพื่อให้สามารถสวมแว่นนิรภัย
และอุปกรณ์ต่างๆ ได้
ข้อเสีย:
- ไม่สามารถป้องกันสารเคมีได้
- หน้ากากแบบใช้แล้วทิ้งใส่แล้วอาจจะมีรูเล็ดลอด
ได้ง่ายหากสวมใส่ไม่ชำนาญ
ถ้าต้องใช้งานนานๆ แนะนำหน้ากากแบบเปลี่ยนไส้กรอง
หรือถ้าชอบใส่แบบใช้แล้วทิ้ง แนะนำรุ่น
หน้ากาก 3M 8822 จะเหมือนกันแต่มีวาล์วเพิ่ม จะทำให้
สวมใส่นานๆ อากาศถ่ายเทได้ดีกว่า
เหมาะกับงานสบายๆ เช่น กวาดบ้าน,
งานเลื่อยไม้, ตัดไม้, ขัดวัสดุต่างๆ โดยใช้กระดาษทราย,
เคลื่อนย้ายสารเคมีแห้งแบบไม่อันตราย, งานในห้องแล๊ป,
ทำอาหาร, เตรียมวัสดุเกี่ยวกับแร่ธาตุจำพวกหิน, งานเก็บ
เกี่ยวพืชผักผลไม้ในสวน, ห้องออฟฟิศที่มีฝุ่น, งานเจียร,
งานบรรจุหีบห่อ, ฝุ่นจากท้องถนน, ฝุ่นจากการเผาหญ้าเผาป่า,
ฝุ่นแป้ง, ฝุ่นยา, ฝุ่นเซรามิค, ฝุ่นเหมืองแร่, ปูนซีเมนต์,
อุตสาหกรรมสิ่งทอ, และฝุ่นอื่นๆ ที่ไม่ละเอียดทั่วไป
เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการเป็น
ภูมิแพ้อากาศ เชื้อรา ฝุ่นจากละอองเกสรดอกไม้ และยัง
สามารถป้องกันเชื้อโรคต่างๆ ไข้หวัดนก ไข้หวัดต่างๆ
ได้ดี เช่น ไข้หวัด 2009 H1N1, วัณโรค TB, เชื้อโรค
หลายชนิดจากโรงพยาบาล, เชื้อโรคจากการไปเยี่ยมผู้ป่วย
เป็นต้น
หมายเหตุ สินค้าแบบนี้ มีขายที่ BETTER อยู่ตลอด แต่ไม่เป็นที่นิยม เพราะราคาจะสูงกว่า ทั้งๆที่ป้องกันฝุ่นควันได้ดีกว่า มีประสิทธิภาพมากกว่า
1
Add a comment...
Better Pharmacy Chiang Mai
Shared publicly - 6 Mar 2015
6 ความเคยชินที่มักทำลายตับ
โดย แพทย์จีน เยาวเกียรติ เยาวพันธุ์กุล
ตับเป็นอวัยวะสำคัญของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นของเสียที่พิษที่อยู่ในร่างกาย หรืออาหารมีพิษที่เรารับประทานกันเข้าไป ล้วนแต่ต้องผ่านการกรองสารพิษของตับทั้งสิ้น 6 พฤติกรรมเหล่านี้คือสาเหตุที่ทำให้ตับทำงานหนัก และอาจทำลายตับจนทำให้มีโรคตามมาได้
1.ดื่มสุรา
ปัจจุบันการดื่มเหล้าสังสรรค์เป็นเรื่องปกติสำหรับชีวิตประจำวันไปแล้ว เหล้ามีทั้งคุณและโทษ ตามหลักการแพทย์แผนจีนนั้นเหล้ามีรสเผ็ด ร้อน สามารถขับเลือด กระตุ้นชีพจร ขับความหนาวเย็น นำพายาไปสู่ที่ต่างๆ ในร่างกาย เหล้าเป็นสารที่เข้าทำลายตับโดยตรง เพราะเหล้าต้องผ่านตับเพื่อกรองสารพิษ ดังนั้น ตับจะทำงานหนัก การดื่มเหล้ามากๆ จะทำเกิดโรคต่างๆ ตามมาได้ เช่น ตับอักเสบ
2.หงุดหงิดและโกรธง่าย
ไม่ว่าจะเป็นความเครียด คิดมาก ความโกรธ ล้วนแต่เป็นประตูสำหรับโรคภัยไข้เจ็บทั้งสิ้น ดังนั้นมนุษย์เราไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงเรื่องเช่นนี้ได้ ในหลักการแพทย์แผนจีนความโกรธจะไปลงอยู่ที่ตับ ทำให้ตับร้อน และทำให้เกิดโรคต่างๆ มากมาย วิธีทำให้หายหงุดหงิด ลองตะโกนดังๆ หรือฟังเพลงสบายๆ เพื่อให้ อารมณ์เย็นลง
3.รับประทานยามั่ว
ยาต่างๆ บนโลกนี้ล้วนมีอันตรายต่อตับและไตมาก ดังสำนวนจีนที่ว่า "ขอแค่เป็นยาล้วนมีพิษ" มนุษย์เราไม่ค่อยระมัดระวังการรับประทานยา ตอนร่างกายแข็งแรงก็กินยาโด๊ปยาบำรุง พอร่างกายอ่อนแอก็กินยารักษา แต่รู้ไหมว่าสิ่งที่ทำงานหนักที่สุดคือตับและไต ฉะนั้นเราควรที่จะออกกำลังกายรักษาสุขภาพเพื่อไม่ให้เจ็บไข้ไม่สบาย เพียงเท่านี้ก็ไม่ต้องรับประทานยาเหล่านั้นแล้ว และเป็นอีกทางหนึ่งที่ช่วยดูแลตับของท่านไม่ให้ต้องทำงานหนักอีกด้วย
4.นอนไม่เพียงพอ
การนอนไม่เพียงพอนั้นนอกจากทำให้ร่างกายเหนื่อยล้าแล้วยังทำให้ตับทำงานแย่ลงอีกด้วย บางคนไม่นอนกลางคืน ทำให้ระบบหยินหยางเสียสมดุล บางคนออกไปเที่ยวกลางคืนกลับมาก็รุ่งเช้า ในทางการแพทย์แผนจีนแนะนำว่าควรเข้านอนก่อนเวลา 23.00 นาฬิกา เพื่อรักษาสมดุลของตับ แม้ว่าการทำงานของตับจะอยู่ในช่วงเวลา 01.00-03.00 น. ส่วนช่วงเวลา 23.00-01.00 เป็นช่วงเวลาของถุงน้ำดี การรักษาตับนั้นต้องเริ่มตั้งแต่เรียนรู้ที่จะรักษาถุงน้ำดีก่อน เพราะถุงน้ำดีกับตับเป็นอวัยวะที่คู่กัน ถ้าเข้านอนก่อน 23.00 นาฬิกาจะช่วยรักษาสมดุลของตับทั้งทางตรงและทางอ้อม เพราะตับผลิตน้ำดีและรักษาสมดุลของถุงน้ำดีโดยตรง
5.รับประทานอาหารที่มีน้ำมันเยอะหรืออาหารเลี่ยนมากๆ
ไขมันหรือน้ำมันเป็นอาหารที่ต้องมีในชีวิตประจำวัน เพราะเป็นสารอาหารที่ร่างกายต้องการนำมาใช้เป็นพลังงาน แต่ในขณะเดียวกัน ไขมันเหล่านี้จะไปเกาะตับ ทำอันตรายต่อตับ ทำให้เกิดโรคอื่นๆ ตามมา เช่น โรคไขมันในเลือดสูง ไขมันที่ตับ หรือ โรคอ้วนด้วย
6.รับประทานอาหารมื้อดึก
การรับประทานอาหารดึกทำให้มีการหลั่งน้ำดีออกมาโดยไม่เป็นเวลาเพื่อที่จะมาช่วยย่อยอาหารที่เรากินเข้าไป จึงทำให้ตับมีการผลิตน้ำดีเพิ่มขึ้นแล้วทำให้ตับทำงานหนัก อีกทั้งการเผาพลาญพลังงานในร่างกายก็จะลด ทำให้อ้วนได้ง่ายอีกด้วย
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1437758833165617&set=a.1377189839222517.1073741830.100007945411647
โดย แพทย์จีน เยาวเกียรติ เยาวพันธุ์กุล
ตับเป็นอวัยวะสำคัญของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นของเสียที่พิษที่อยู่ในร่างกาย หรืออาหารมีพิษที่เรารับประทานกันเข้าไป ล้วนแต่ต้องผ่านการกรองสารพิษของตับทั้งสิ้น 6 พฤติกรรมเหล่านี้คือสาเหตุที่ทำให้ตับทำงานหนัก และอาจทำลายตับจนทำให้มีโรคตามมาได้
1.ดื่มสุรา
ปัจจุบันการดื่มเหล้าสังสรรค์เป็นเรื่องปกติสำหรับชีวิตประจำวันไปแล้ว เหล้ามีทั้งคุณและโทษ ตามหลักการแพทย์แผนจีนนั้นเหล้ามีรสเผ็ด ร้อน สามารถขับเลือด กระตุ้นชีพจร ขับความหนาวเย็น นำพายาไปสู่ที่ต่างๆ ในร่างกาย เหล้าเป็นสารที่เข้าทำลายตับโดยตรง เพราะเหล้าต้องผ่านตับเพื่อกรองสารพิษ ดังนั้น ตับจะทำงานหนัก การดื่มเหล้ามากๆ จะทำเกิดโรคต่างๆ ตามมาได้ เช่น ตับอักเสบ
2.หงุดหงิดและโกรธง่าย
ไม่ว่าจะเป็นความเครียด คิดมาก ความโกรธ ล้วนแต่เป็นประตูสำหรับโรคภัยไข้เจ็บทั้งสิ้น ดังนั้นมนุษย์เราไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงเรื่องเช่นนี้ได้ ในหลักการแพทย์แผนจีนความโกรธจะไปลงอยู่ที่ตับ ทำให้ตับร้อน และทำให้เกิดโรคต่างๆ มากมาย วิธีทำให้หายหงุดหงิด ลองตะโกนดังๆ หรือฟังเพลงสบายๆ เพื่อให้ อารมณ์เย็นลง
3.รับประทานยามั่ว
ยาต่างๆ บนโลกนี้ล้วนมีอันตรายต่อตับและไตมาก ดังสำนวนจีนที่ว่า "ขอแค่เป็นยาล้วนมีพิษ" มนุษย์เราไม่ค่อยระมัดระวังการรับประทานยา ตอนร่างกายแข็งแรงก็กินยาโด๊ปยาบำรุง พอร่างกายอ่อนแอก็กินยารักษา แต่รู้ไหมว่าสิ่งที่ทำงานหนักที่สุดคือตับและไต ฉะนั้นเราควรที่จะออกกำลังกายรักษาสุขภาพเพื่อไม่ให้เจ็บไข้ไม่สบาย เพียงเท่านี้ก็ไม่ต้องรับประทานยาเหล่านั้นแล้ว และเป็นอีกทางหนึ่งที่ช่วยดูแลตับของท่านไม่ให้ต้องทำงานหนักอีกด้วย
4.นอนไม่เพียงพอ
การนอนไม่เพียงพอนั้นนอกจากทำให้ร่างกายเหนื่อยล้าแล้วยังทำให้ตับทำงานแย่ลงอีกด้วย บางคนไม่นอนกลางคืน ทำให้ระบบหยินหยางเสียสมดุล บางคนออกไปเที่ยวกลางคืนกลับมาก็รุ่งเช้า ในทางการแพทย์แผนจีนแนะนำว่าควรเข้านอนก่อนเวลา 23.00 นาฬิกา เพื่อรักษาสมดุลของตับ แม้ว่าการทำงานของตับจะอยู่ในช่วงเวลา 01.00-03.00 น. ส่วนช่วงเวลา 23.00-01.00 เป็นช่วงเวลาของถุงน้ำดี การรักษาตับนั้นต้องเริ่มตั้งแต่เรียนรู้ที่จะรักษาถุงน้ำดีก่อน เพราะถุงน้ำดีกับตับเป็นอวัยวะที่คู่กัน ถ้าเข้านอนก่อน 23.00 นาฬิกาจะช่วยรักษาสมดุลของตับทั้งทางตรงและทางอ้อม เพราะตับผลิตน้ำดีและรักษาสมดุลของถุงน้ำดีโดยตรง
5.รับประทานอาหารที่มีน้ำมันเยอะหรืออาหารเลี่ยนมากๆ
ไขมันหรือน้ำมันเป็นอาหารที่ต้องมีในชีวิตประจำวัน เพราะเป็นสารอาหารที่ร่างกายต้องการนำมาใช้เป็นพลังงาน แต่ในขณะเดียวกัน ไขมันเหล่านี้จะไปเกาะตับ ทำอันตรายต่อตับ ทำให้เกิดโรคอื่นๆ ตามมา เช่น โรคไขมันในเลือดสูง ไขมันที่ตับ หรือ โรคอ้วนด้วย
6.รับประทานอาหารมื้อดึก
การรับประทานอาหารดึกทำให้มีการหลั่งน้ำดีออกมาโดยไม่เป็นเวลาเพื่อที่จะมาช่วยย่อยอาหารที่เรากินเข้าไป จึงทำให้ตับมีการผลิตน้ำดีเพิ่มขึ้นแล้วทำให้ตับทำงานหนัก อีกทั้งการเผาพลาญพลังงานในร่างกายก็จะลด ทำให้อ้วนได้ง่ายอีกด้วย
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1437758833165617&set=a.1377189839222517.1073741830.100007945411647
1
Add a comment...
Better Pharmacy Chiang Mai
Shared publicly - 6 Mar 2015
การรักษาแผลสะเก็ดเงินภายนอก(ผิว)ใช้อยู่ 2 วิธี
1) ใช้ยาทาผิวที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ 0.1% ใช้ไม่เกิน 10 วัน (ถ้ามากกว่านี้จะมีผลข้างเคียง ผิวหนังบาง ติดเชื้อง่าย ไหม้ มีสิว ระคายเคือง ผิวหนังแห้งแตก ต่อมใต้ผิวหนังอักเสบ สีดล้ำ และร่างกายจะขาดโปแตสเซียม) ทางเฉพาะบริเวณที่เป็นสะเก็ดเงินเท่านั้น ทาวันละ 2-3 ครั้ง หลังจากสะเก็ดเงินบางลงหยุดใช้
ถ้าไม่ใช้สเตียรอยด์ทา ยังมียากลุ่มอื่นที่ไม่ใช้สเตียรอยด์ แต่มีราคาแพง เช่น โปรโทปิค (PROTOPIC) ยาอิริเดล (ELIDEL) แทนได้ประสิทธิภาพเทียบเท่าสเตียรอยด์ ชนิดอ่อนและปานกลางเท่านั้น นับว่าเป็นทางเลือกได้อีกทางที่ช่วยระงับอาการคันได้
2) ใช้น้ำมันมะพร้าวทาผิวต่อเนื่อง ทาได้บ่อยๆ ผิวหนังจะชุ่มชื้นเข้าอาการสะเก็ดเงินจะควบคุมได้ดี และใช้น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ทาได้ตลอด
.....................................................
ผู้ป่วยสะเก็ดเงินส่วนหนึ่งจะมีผื่นที่ศีรษะซึ่งอาจเป็นอาการแสดงเริ่มแรก หรือเป็นในภายหลังก็ได้ ผื่นสะเก็ดเงินที่ศีรษะมีความรุนแรงแตกต่างกันได้หลายระดับ ดังนั้นการดูแลรักษาจึงแตกต่างกันตามความรุนแรง
การรักษาสะเก็ดเงินที่ศีรษะ : ควรเลือกใช้ยาให้เหมาะกับความรุนแรงของพื้นที่ศีรษะ ดังนี้
• ความรุนแรงน้อย - สระผมด้วยแชมพูน้ำมันดิน โดยนวดทิ้งไว้ 5 นาทีแล้วล้างออก
- ทาผื่นที่ศีรษะด้วย ยาสเตียรอยด์ชนิดสารละลาย
• ความรุนแรงมาก – หมักด้วยน้ำมันมะกอกข้ามคืน เพื่อช่วยให้ขุยและสะเก็ดนุ่ม
- สระผมด้วยแชมพูน้ำมันดินวันเว้นวัน โดยนวดทิ้งไว้ 5 นาทีแล้วล้างออก
- ทาผื่นที่ศีรษะด้วย ยาสเตียรอยด์ชนิดครีมน้ำนม
• ผื่นรุนแรงและมีน้ำเหลือง – ชะแผลด้วยน้ำเกลือ วันละ 3-4 ครั้งจนน้ำเหลืองแห้ง แล้วใช้น้ำมันมะกอกหรือ baby oil ทาเสริมเพื่อเพิ่มการดูดซึมของยา
วิธีการทายา
• ใช้หวีแสกเส้นผมทีละส่วน แล้วทายาที่หนังศีรษะบริเวณรอยแสก
เทคนิคการทายาให้มีประสิทธิภาพ
ทายาให้ถูกที่,ถูกตำแหน่ง
ทาถูกวิธี
ทาตรงตามเวลา (คือ ทาวันละ 2 ครั้ง)
ทาต่อเนื่อง เป็นเวลานานพอ
สรุป
การรักษาสะเก็ดเงินจะต้องอาศัยการดูแลแบบองค์รวม คือต้องหลีกเลี่ยงสาเหตุที่กระตุ้นให้โรคกำเริบ เช่นความเครียด พักผ่อนน้อย เป็นหวัดเจ็บคอ การแกะเกา การดื่มสุรา เป็นต้น การรักษาโดยใช้ยา เป็นเพียงส่วนหนึ่งในการรักษาเท่านั้น
คำถามจากการประชุม
1. แชมพูน้ำมันดิน ต้องใช้ต่อเนื่องหรือไม่?
ควรสระผมด้วยน้ำมันดินอย่างต่อเนื่องจนผื่น ขุย และสะเก็ดบนศีรษะลดลง โดยทั่วไปใช้วันเว้นวัน ถ้าอาการดีขึ้น ก็ลดความถี่ลง อาจใช้สลับกับแชมพูอื่นได้
2. สามารถใช้น้ำอุ่นสระผม ได้หรือไม่?
ได้ แต่ไม่ควรร้อนมาก เพราะน้ำร้อนทำให้หลอดเลือดขยาย และทำให้เม็ดเลือดขาวซึ่งก่อให้เกิดการอักเสบมาที่ผิวหนังเพิ่มขึ้นด้วย
3. โรคสะเก็ดเงิน เป็นสาเหตุทำให้ผมร่วงได้หรือไม่?
สะเก็ดเงินมีพยาธิสภาพเกิดที่ผิวหนังชั้นนอก (หนังกำพร้าและหนังแท้ส่วนบน) แต่ รากผมอยู่ในชั้นลึกจึงไม่เกิดการอักเสบด้วย ผมจึงไม่ร่วง
ในกรณีที่เกาจนผมร่วง ผมจะขึ้นใหม่ได้ เพราะเซลล์ที่สร้างรากผมยังอยู่
4. การไดร์ผม ดัดผม ทำให้โรคสะเก็ดเงินกำเริบได้หรือไม่?
ถ้าร้อนเล็กน้อยไม่เป็นไร แต่ถ้าร้อนมาก ทำให้หลอดเลือดขยายตัว เม็ดเลือดขาวมาที่ผิวหนังมากขึ้น
5. ถ้าหนังศีรษะเป็นปกติแล้ว จำเป็นต้องใช้แชมพูน้ำมันดินเพื่อควบคุมอาการหรือไม่?
ไม่จำเป็นต้องสระผมด้วยแชมพูน้ำมันดินตลอดไปดูตามอาการอักเสบที่หนังศีรษะ ว่าเป็นมากหรือน้อย แล้วสระผมด้วยแชมพูน้ำมันดินรวมกับทายาครีมสเตียรอยด์ เมื่ออาการหนังศีรษะอักเสบสงบ อาจใช้แชมพูน้ำมันดินสระเป็นครั้งคราว เช่น สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง เป็นต้น
6. ควรเลือกใช้น้ำมันมะกอกหรือ baby oil ?
ใช้ชนิดไหนก็ได้ ขึ้นกับความชอบของแต่ละบุคคล แต่ baby oil บางชนิดผสมเครื่องหอม อาจทำให้เกิดผื่นแพ้สัมผัสได้
7. อยากทราบความสัมพันธ์ของโรคผิวหนังอักเสบ (seborrheic dermatitis) กับโรคสะเก็ดเงิน?
Seborrheic dermatitis เป็นโรคผิวหนังอักเสบในบริเวณที่มีต่อมไขมัน เช่น ศีรษะ หน้าหน้าอก หลังส่วนบน สะดือ หัวเหน่า และรักแร้ โรคสะเก็ดเงินก็เป็นใน บริเวณ เหล่านี้ได้
ผู้ป่วยบางคนสงสัยเป็นผิวหนังอักเสบ seborrheic dermatitis เมื่อติดตามต่อไป อาจ เป็น seborrheic dermatitis หรือเป็นสะเก็ดเงินก็ได้ แต่ถ้าเป็นตำแหน่งที่มีต่อมไขมันมากๆ ไม่เป็นที่อื่นเลยจะสงสัยเป็น seborrheic dermatitis มากกว่า ถ้าเป็นโรคสะเก็ดเงินผื่นมักเกิดได้ทุกตำแหน่งของผิวหนัง
ที่มาhttp://www.si.mahidol.ac.th/project/psoria/quiz/quiz05.htm
https://www.facebook.com/saked.1/posts/655628424521466
1) ใช้ยาทาผิวที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ 0.1% ใช้ไม่เกิน 10 วัน (ถ้ามากกว่านี้จะมีผลข้างเคียง ผิวหนังบาง ติดเชื้อง่าย ไหม้ มีสิว ระคายเคือง ผิวหนังแห้งแตก ต่อมใต้ผิวหนังอักเสบ สีดล้ำ และร่างกายจะขาดโปแตสเซียม) ทางเฉพาะบริเวณที่เป็นสะเก็ดเงินเท่านั้น ทาวันละ 2-3 ครั้ง หลังจากสะเก็ดเงินบางลงหยุดใช้
ถ้าไม่ใช้สเตียรอยด์ทา ยังมียากลุ่มอื่นที่ไม่ใช้สเตียรอยด์ แต่มีราคาแพง เช่น โปรโทปิค (PROTOPIC) ยาอิริเดล (ELIDEL) แทนได้ประสิทธิภาพเทียบเท่าสเตียรอยด์ ชนิดอ่อนและปานกลางเท่านั้น นับว่าเป็นทางเลือกได้อีกทางที่ช่วยระงับอาการคันได้
2) ใช้น้ำมันมะพร้าวทาผิวต่อเนื่อง ทาได้บ่อยๆ ผิวหนังจะชุ่มชื้นเข้าอาการสะเก็ดเงินจะควบคุมได้ดี และใช้น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ทาได้ตลอด
.....................................................
ผู้ป่วยสะเก็ดเงินส่วนหนึ่งจะมีผื่นที่ศีรษะซึ่งอาจเป็นอาการแสดงเริ่มแรก หรือเป็นในภายหลังก็ได้ ผื่นสะเก็ดเงินที่ศีรษะมีความรุนแรงแตกต่างกันได้หลายระดับ ดังนั้นการดูแลรักษาจึงแตกต่างกันตามความรุนแรง
การรักษาสะเก็ดเงินที่ศีรษะ : ควรเลือกใช้ยาให้เหมาะกับความรุนแรงของพื้นที่ศีรษะ ดังนี้
• ความรุนแรงน้อย - สระผมด้วยแชมพูน้ำมันดิน โดยนวดทิ้งไว้ 5 นาทีแล้วล้างออก
- ทาผื่นที่ศีรษะด้วย ยาสเตียรอยด์ชนิดสารละลาย
• ความรุนแรงมาก – หมักด้วยน้ำมันมะกอกข้ามคืน เพื่อช่วยให้ขุยและสะเก็ดนุ่ม
- สระผมด้วยแชมพูน้ำมันดินวันเว้นวัน โดยนวดทิ้งไว้ 5 นาทีแล้วล้างออก
- ทาผื่นที่ศีรษะด้วย ยาสเตียรอยด์ชนิดครีมน้ำนม
• ผื่นรุนแรงและมีน้ำเหลือง – ชะแผลด้วยน้ำเกลือ วันละ 3-4 ครั้งจนน้ำเหลืองแห้ง แล้วใช้น้ำมันมะกอกหรือ baby oil ทาเสริมเพื่อเพิ่มการดูดซึมของยา
วิธีการทายา
• ใช้หวีแสกเส้นผมทีละส่วน แล้วทายาที่หนังศีรษะบริเวณรอยแสก
เทคนิคการทายาให้มีประสิทธิภาพ
ทายาให้ถูกที่,ถูกตำแหน่ง
ทาถูกวิธี
ทาตรงตามเวลา (คือ ทาวันละ 2 ครั้ง)
ทาต่อเนื่อง เป็นเวลานานพอ
สรุป
การรักษาสะเก็ดเงินจะต้องอาศัยการดูแลแบบองค์รวม คือต้องหลีกเลี่ยงสาเหตุที่กระตุ้นให้โรคกำเริบ เช่นความเครียด พักผ่อนน้อย เป็นหวัดเจ็บคอ การแกะเกา การดื่มสุรา เป็นต้น การรักษาโดยใช้ยา เป็นเพียงส่วนหนึ่งในการรักษาเท่านั้น
คำถามจากการประชุม
1. แชมพูน้ำมันดิน ต้องใช้ต่อเนื่องหรือไม่?
ควรสระผมด้วยน้ำมันดินอย่างต่อเนื่องจนผื่น ขุย และสะเก็ดบนศีรษะลดลง โดยทั่วไปใช้วันเว้นวัน ถ้าอาการดีขึ้น ก็ลดความถี่ลง อาจใช้สลับกับแชมพูอื่นได้
2. สามารถใช้น้ำอุ่นสระผม ได้หรือไม่?
ได้ แต่ไม่ควรร้อนมาก เพราะน้ำร้อนทำให้หลอดเลือดขยาย และทำให้เม็ดเลือดขาวซึ่งก่อให้เกิดการอักเสบมาที่ผิวหนังเพิ่มขึ้นด้วย
3. โรคสะเก็ดเงิน เป็นสาเหตุทำให้ผมร่วงได้หรือไม่?
สะเก็ดเงินมีพยาธิสภาพเกิดที่ผิวหนังชั้นนอก (หนังกำพร้าและหนังแท้ส่วนบน) แต่ รากผมอยู่ในชั้นลึกจึงไม่เกิดการอักเสบด้วย ผมจึงไม่ร่วง
ในกรณีที่เกาจนผมร่วง ผมจะขึ้นใหม่ได้ เพราะเซลล์ที่สร้างรากผมยังอยู่
4. การไดร์ผม ดัดผม ทำให้โรคสะเก็ดเงินกำเริบได้หรือไม่?
ถ้าร้อนเล็กน้อยไม่เป็นไร แต่ถ้าร้อนมาก ทำให้หลอดเลือดขยายตัว เม็ดเลือดขาวมาที่ผิวหนังมากขึ้น
5. ถ้าหนังศีรษะเป็นปกติแล้ว จำเป็นต้องใช้แชมพูน้ำมันดินเพื่อควบคุมอาการหรือไม่?
ไม่จำเป็นต้องสระผมด้วยแชมพูน้ำมันดินตลอดไปดูตามอาการอักเสบที่หนังศีรษะ ว่าเป็นมากหรือน้อย แล้วสระผมด้วยแชมพูน้ำมันดินรวมกับทายาครีมสเตียรอยด์ เมื่ออาการหนังศีรษะอักเสบสงบ อาจใช้แชมพูน้ำมันดินสระเป็นครั้งคราว เช่น สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง เป็นต้น
6. ควรเลือกใช้น้ำมันมะกอกหรือ baby oil ?
ใช้ชนิดไหนก็ได้ ขึ้นกับความชอบของแต่ละบุคคล แต่ baby oil บางชนิดผสมเครื่องหอม อาจทำให้เกิดผื่นแพ้สัมผัสได้
7. อยากทราบความสัมพันธ์ของโรคผิวหนังอักเสบ (seborrheic dermatitis) กับโรคสะเก็ดเงิน?
Seborrheic dermatitis เป็นโรคผิวหนังอักเสบในบริเวณที่มีต่อมไขมัน เช่น ศีรษะ หน้าหน้าอก หลังส่วนบน สะดือ หัวเหน่า และรักแร้ โรคสะเก็ดเงินก็เป็นใน บริเวณ เหล่านี้ได้
ผู้ป่วยบางคนสงสัยเป็นผิวหนังอักเสบ seborrheic dermatitis เมื่อติดตามต่อไป อาจ เป็น seborrheic dermatitis หรือเป็นสะเก็ดเงินก็ได้ แต่ถ้าเป็นตำแหน่งที่มีต่อมไขมันมากๆ ไม่เป็นที่อื่นเลยจะสงสัยเป็น seborrheic dermatitis มากกว่า ถ้าเป็นโรคสะเก็ดเงินผื่นมักเกิดได้ทุกตำแหน่งของผิวหนัง
ที่มาhttp://www.si.mahidol.ac.th/project/psoria/quiz/quiz05.htm
https://www.facebook.com/saked.1/posts/655628424521466
1
Add a comment...
Better Pharmacy Chiang Mai
Shared publicly - 2 Mar 2015
ไม่รู้ไม่ได้แล้ว! นี่แหละ 3 อาหารเสริมที่คนญี่ปุ่นบอกเลยว่า “สุโก้ย!”
1. “อนุพันธ์วิตามินบี 1” ซุปเปอร์ฮีโร่บำรุงร่างกาย
กิน “อนุพันธ์วิตามินบี1” อย่างต่อเนื่อง แค่นี้ร่างกายก็จะฟื้นตัวได้เร็วกว่าการทานวิตามินบี1 แบบทั่วๆไป
2. วิตามินอี ราชินีบำรุงผิวสวย
กินอาหารเสริมเพื่อบำรุงผิว เช่น น้ำมันรำข้าวที่มีวิตามินอีสูง และยังนิยมใช้ “รำข้าว” ที่เรียกว่า “Shiro Nuka” ในการทำความสะอาดผิวหน้าอีกด้วย
3. พ่อมดสมองดี ได้ด้วยวิตามินบีและแกมมา ออริซานอล
การกินแค่เห็ดกับชาเขียวทุกวันก็อาจจะให้รู้สึกว่ายังบำรุงสมองได้ไม่เต็มที่ คนญี่ปุ่นเลยเลือกกินวิตามินบีรวมเสริมอัดแน่นเข้าไปอีก โดยเฉพาะวิตามินบี1, วิตามินบี6 และวิตามินบี12 ทั้ง 3 ตัวนี้จะช่วยกันทำให้ระบบประสาทต่างๆนั้นทำงานดีขึ้น แถมยังเพิ่มเรื่องแกมมา ออริซานอล ซึ่งเป็นสารที่พบได้ในเมล็ดพืชทั่วไปแต่พบว่ามีปริมาณมากที่สุดในเมล็ดข้าว หรือที่เป็นที่รู้จักกันคือน้ำมันรำข้าวนั่นเอง
http://women.sanook.com/34533/
1. “อนุพันธ์วิตามินบี 1” ซุปเปอร์ฮีโร่บำรุงร่างกาย
กิน “อนุพันธ์วิตามินบี1” อย่างต่อเนื่อง แค่นี้ร่างกายก็จะฟื้นตัวได้เร็วกว่าการทานวิตามินบี1 แบบทั่วๆไป
2. วิตามินอี ราชินีบำรุงผิวสวย
กินอาหารเสริมเพื่อบำรุงผิว เช่น น้ำมันรำข้าวที่มีวิตามินอีสูง และยังนิยมใช้ “รำข้าว” ที่เรียกว่า “Shiro Nuka” ในการทำความสะอาดผิวหน้าอีกด้วย
3. พ่อมดสมองดี ได้ด้วยวิตามินบีและแกมมา ออริซานอล
การกินแค่เห็ดกับชาเขียวทุกวันก็อาจจะให้รู้สึกว่ายังบำรุงสมองได้ไม่เต็มที่ คนญี่ปุ่นเลยเลือกกินวิตามินบีรวมเสริมอัดแน่นเข้าไปอีก โดยเฉพาะวิตามินบี1, วิตามินบี6 และวิตามินบี12 ทั้ง 3 ตัวนี้จะช่วยกันทำให้ระบบประสาทต่างๆนั้นทำงานดีขึ้น แถมยังเพิ่มเรื่องแกมมา ออริซานอล ซึ่งเป็นสารที่พบได้ในเมล็ดพืชทั่วไปแต่พบว่ามีปริมาณมากที่สุดในเมล็ดข้าว หรือที่เป็นที่รู้จักกันคือน้ำมันรำข้าวนั่นเอง
http://women.sanook.com/34533/
เรามาดูกันดีกว่าว่าอาหารเสริมที่คนญี่ปุ่นนิยมกิน มีอะไรบ้างนะ!
1
Add a comment...
Better Pharmacy Chiang Mai
Shared publicly - 29 Dec 2014
ประโยชน์ใน `พริกไทยเม็ดเล็ก`
ขอนำประโยชน์ดีๆ กับเครื่องเทศใกล้ๆ ตัว ที่ถูกใช้เป็นเครื่องปรุงใส่ลงในอาหารให้เราได้รับประทานกันแทบทุกวัน นั่นก็คือ พริกไทย เครื่องเทศมากประโยชน์ชนิดนี้ มาดูกันดีกว่าว่า เจ้าพริกไทยเม็ดเล็กๆนี้ จะมีประโยชน์ต่อร่างกายเราอย่างไรบ้าง
คุณค่าทางด้านโภชนาการของพริกไทย
1. มีแคลเซียมในปริมาณที่สูงมาก โดยเฉพาะพริกไทยอ่อน ซึ่งแคลเซียมเป็นส่วนสำคัญในการบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรงอยู่เสมอ และแคลซียม ยังสามารถป้องกันการเกิดภาวะกระดูกพรุนได้อีกด้วย
2. มีฟอสฟอรัส วิตามินซี ซึ่งวิตามินซีนั้นเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ชะลอการเสื่อมสภาพของเซลล์ ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง
3. มีเบต้าแคโรทีน ซึ่งเป็นวัตถุดิบตั้งต้นในการสร้างวิตามินเอ และมีส่วนช่วยในการมองเห็น
4. มีสารที่ชื่อว่า ไปเปอรีน และ ฟินอลิกส์ ซึ่งทั้งคู่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และมีสรรพคุณในการป้องกันมะเร็ง
สรรพคุณของพริกไทย
ตำรายาจีนใช้พริกไทยแก้ปวดท้อง ท้องเดินจากโรคอหิวาต์ โรคมาลาเรีย และแก้ไข้ ส่วนน้ำมันพริกไทยดำ (blackpepper oil) มีสารชื่อ พิเพอรีน (piperine) กลิ่นฉุนจัด ระคายเคืองต่อผิวหนัง เมื่อใช้ต้องเจือจาง สำหรับสูดดมหรือทาถูช่วยลดอาการหนาวสั่นจากหวัดและไข้หวัดใหญ่ ทำให้หายใจโล่งและช่วยฆ่าเชื้อโรค ผสมน้ำมันนวดบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อ กลิ่นพริกไทยมีฤทธิ์กระตุ้นความสนใจสภาพแวดล้อม ให้ตื่นตัวเสมอ เพิ่มพลังใจ และความเข้มแข็ง ตำรายาอินเดีย ใช้กลั้วคอ แก้เจ็บคอ ลดไข้ แก้หวัด ปวดท้อง ท้องเสีย ปวดประจำเดือน คลื่นไส้ อาหารไม่ย่อย
https://www.facebook.com/OuayUn/photos/a.196916776996486.44415.150176071670557/857531757601648/
ขอนำประโยชน์ดีๆ กับเครื่องเทศใกล้ๆ ตัว ที่ถูกใช้เป็นเครื่องปรุงใส่ลงในอาหารให้เราได้รับประทานกันแทบทุกวัน นั่นก็คือ พริกไทย เครื่องเทศมากประโยชน์ชนิดนี้ มาดูกันดีกว่าว่า เจ้าพริกไทยเม็ดเล็กๆนี้ จะมีประโยชน์ต่อร่างกายเราอย่างไรบ้าง
คุณค่าทางด้านโภชนาการของพริกไทย
1. มีแคลเซียมในปริมาณที่สูงมาก โดยเฉพาะพริกไทยอ่อน ซึ่งแคลเซียมเป็นส่วนสำคัญในการบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรงอยู่เสมอ และแคลซียม ยังสามารถป้องกันการเกิดภาวะกระดูกพรุนได้อีกด้วย
2. มีฟอสฟอรัส วิตามินซี ซึ่งวิตามินซีนั้นเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ชะลอการเสื่อมสภาพของเซลล์ ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง
3. มีเบต้าแคโรทีน ซึ่งเป็นวัตถุดิบตั้งต้นในการสร้างวิตามินเอ และมีส่วนช่วยในการมองเห็น
4. มีสารที่ชื่อว่า ไปเปอรีน และ ฟินอลิกส์ ซึ่งทั้งคู่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และมีสรรพคุณในการป้องกันมะเร็ง
สรรพคุณของพริกไทย
ตำรายาจีนใช้พริกไทยแก้ปวดท้อง ท้องเดินจากโรคอหิวาต์ โรคมาลาเรีย และแก้ไข้ ส่วนน้ำมันพริกไทยดำ (blackpepper oil) มีสารชื่อ พิเพอรีน (piperine) กลิ่นฉุนจัด ระคายเคืองต่อผิวหนัง เมื่อใช้ต้องเจือจาง สำหรับสูดดมหรือทาถูช่วยลดอาการหนาวสั่นจากหวัดและไข้หวัดใหญ่ ทำให้หายใจโล่งและช่วยฆ่าเชื้อโรค ผสมน้ำมันนวดบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อ กลิ่นพริกไทยมีฤทธิ์กระตุ้นความสนใจสภาพแวดล้อม ให้ตื่นตัวเสมอ เพิ่มพลังใจ และความเข้มแข็ง ตำรายาอินเดีย ใช้กลั้วคอ แก้เจ็บคอ ลดไข้ แก้หวัด ปวดท้อง ท้องเสีย ปวดประจำเดือน คลื่นไส้ อาหารไม่ย่อย
https://www.facebook.com/OuayUn/photos/a.196916776996486.44415.150176071670557/857531757601648/
1
Add a comment...
Better Pharmacy Chiang Mai
Shared publicly - 24 Dec 2014
ยอดมะระหวานมีฤทธิ์เย็น จึงไม่เหมาะกับคนที่ร่างกายกลัวหนาว ท้องร่วงง่าย กระเพาะลำไส้ม้ามทำงานอ่อนแอ ย่อยไม่ดีอีก ทั้งมะระหวานเป็นผักกินยอด ผักทอดยอดทั้งหลายล้วนเป็นข้อห้ามของผู้ที่เป็นโรคเก๊าต์อยู่แล้ว ท่านที่มียูริคในเลือดสูงมะระหวานจึงเป็นผักต้องห้าม
///////////////////////
โภชนาการของ `ยอดฟักม้ง` หรือ ยอดมะระหวาน
ยอดมะระหวาน มีรสหวาน ฤทธิ์หนาว ในยอดมะระหวานนี้จะมี โปรตีน วิตามิน เอ บี แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก โพแทสเซียม อยู่ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ ด้วยเหตุนี้ ยอดมะระหวาน จึงมีสรรพคุณ ป้องกันความดันโลหิตสูง เหมาะสำหรับผู้ที่มีความดันโลหิตสูง ทั้งยังช่วยให้เลือดเย็น ผู้ที่ร้อนในง่ายจึงควรเลือกเมนูผักยอดมะระหวานเพิ่มอีก 1 เมนูด้วย นอกจากนี้ยังช่วยให้ผนังเส้นเลือดอ่อนนุ่มยืดหยุ่นดี จึงช่วยชะลอการแข็งตัวของเส้นเลือด ช่วยให้ผิวพรรณสวยงาม
ในการปรุงอาหารจะใช้ยอดอ่อน โดยเด็ดยอดอ่อนปริมาณตามใจชอบ ล้างน้ำให้สะอาด ถ้าตามหลักโภชนาการแล้วควรล้างยอดระมะหวานก่อนค่อยเด็ด จะช่วยให้วิตามินยังคงเหลืออยู่มาก หากเด็ดแล้วค่อยล้างจะทำให้วิตามินออกไปตามน้ำ ท่านว่าไว้อย่างนั้น
จากนั้นค่อยนำไปผัดไฟแรงกับกระเทียม น้ำมันหอยก็อร่อยอย่าบอกใครแล้ว หรือจะให้เพิ่มสารอาหารมากกว่านั้น ก็ใส่ไข่ไก่เข้าไป ยิ่งเพิ่มคุณค่าอาหารได้มากขึ้น หรือนำไปลวกในน้ำเดือดที่ใส่เกลือเล็กน้อย จากนั้นนำไปยำกับน้ำยำ หมูสับ กุ้งสดหรือแห้งก็ได้ ถั่วลิสงคั่ว อร่อยเลิศไปเลย
นอกจากนี้ในยอดมะระหวานยังมีสารโคโรฟีนสูง มีกากใยมาก จึงช่วยย่อยได้ดี ถ้าอยากคงความมีสีเขียว ให้โคโรฟินยังคงอยู่มาก ควรลวกน้ำร้อนโดยเติมเกลือลงไปเล็กน้อย ตักขึ้นแล้วแช่น้ำแข็งหรือน้ำเย็น จะทำให้คงความเขียวอีกทั้งยังกรอบอร่อย อย่างที่เคยกล่าวมาในผักทุกชนิดแล้วว่า แม้ว่าผักชนิดนั้นจะมีข้อดีเลิศแค่ไหน มีประโยชน์มากมายเพียงใด ก็ยังต้องเลือกบริโภคให้เหมาะกับร่างกายของแต่ละคน
เนื่องจากยอดมะระหวานมีฤทธิ์หนาว จึงไม่เหมาะกับคนที่ร่างกายกลัวหนาว ท้องร่วงง่าย กระเพาะลำไส้ม้ามทำงานอ่อนแอ ย่อยไม่ดีอีก ทั้งมะระหวานเป็นผักกินยอด ผักทอดยอดทั้งหลายล้วนเป็นข้อห้ามของผู้ที่เป็นโรคเก๊าต์อยู่แล้ว ท่านที่มียูริคในเลือดสูงมะระหวานจึงเป็นผักต้องห้าม
https://www.facebook.com/OuayUn/photos/a.196916776996486.44415.150176071670557/779572498730908/
///////////////////////
โภชนาการของ `ยอดฟักม้ง` หรือ ยอดมะระหวาน
ยอดมะระหวาน มีรสหวาน ฤทธิ์หนาว ในยอดมะระหวานนี้จะมี โปรตีน วิตามิน เอ บี แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก โพแทสเซียม อยู่ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ ด้วยเหตุนี้ ยอดมะระหวาน จึงมีสรรพคุณ ป้องกันความดันโลหิตสูง เหมาะสำหรับผู้ที่มีความดันโลหิตสูง ทั้งยังช่วยให้เลือดเย็น ผู้ที่ร้อนในง่ายจึงควรเลือกเมนูผักยอดมะระหวานเพิ่มอีก 1 เมนูด้วย นอกจากนี้ยังช่วยให้ผนังเส้นเลือดอ่อนนุ่มยืดหยุ่นดี จึงช่วยชะลอการแข็งตัวของเส้นเลือด ช่วยให้ผิวพรรณสวยงาม
ในการปรุงอาหารจะใช้ยอดอ่อน โดยเด็ดยอดอ่อนปริมาณตามใจชอบ ล้างน้ำให้สะอาด ถ้าตามหลักโภชนาการแล้วควรล้างยอดระมะหวานก่อนค่อยเด็ด จะช่วยให้วิตามินยังคงเหลืออยู่มาก หากเด็ดแล้วค่อยล้างจะทำให้วิตามินออกไปตามน้ำ ท่านว่าไว้อย่างนั้น
จากนั้นค่อยนำไปผัดไฟแรงกับกระเทียม น้ำมันหอยก็อร่อยอย่าบอกใครแล้ว หรือจะให้เพิ่มสารอาหารมากกว่านั้น ก็ใส่ไข่ไก่เข้าไป ยิ่งเพิ่มคุณค่าอาหารได้มากขึ้น หรือนำไปลวกในน้ำเดือดที่ใส่เกลือเล็กน้อย จากนั้นนำไปยำกับน้ำยำ หมูสับ กุ้งสดหรือแห้งก็ได้ ถั่วลิสงคั่ว อร่อยเลิศไปเลย
นอกจากนี้ในยอดมะระหวานยังมีสารโคโรฟีนสูง มีกากใยมาก จึงช่วยย่อยได้ดี ถ้าอยากคงความมีสีเขียว ให้โคโรฟินยังคงอยู่มาก ควรลวกน้ำร้อนโดยเติมเกลือลงไปเล็กน้อย ตักขึ้นแล้วแช่น้ำแข็งหรือน้ำเย็น จะทำให้คงความเขียวอีกทั้งยังกรอบอร่อย อย่างที่เคยกล่าวมาในผักทุกชนิดแล้วว่า แม้ว่าผักชนิดนั้นจะมีข้อดีเลิศแค่ไหน มีประโยชน์มากมายเพียงใด ก็ยังต้องเลือกบริโภคให้เหมาะกับร่างกายของแต่ละคน
เนื่องจากยอดมะระหวานมีฤทธิ์หนาว จึงไม่เหมาะกับคนที่ร่างกายกลัวหนาว ท้องร่วงง่าย กระเพาะลำไส้ม้ามทำงานอ่อนแอ ย่อยไม่ดีอีก ทั้งมะระหวานเป็นผักกินยอด ผักทอดยอดทั้งหลายล้วนเป็นข้อห้ามของผู้ที่เป็นโรคเก๊าต์อยู่แล้ว ท่านที่มียูริคในเลือดสูงมะระหวานจึงเป็นผักต้องห้าม
https://www.facebook.com/OuayUn/photos/a.196916776996486.44415.150176071670557/779572498730908/
1
Add a comment...
Better Pharmacy Chiang Mai
Shared publicly - 24 Dec 2014
โคเอ็นไซม์ คิวเท็น ( Coenzyme Q10 ) เป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน ทำหน้าที่ป้องกันเซลล์ไม่ให้ทำปฎิกิริยากับออกซิเจน ช่วยให้ร่างกายนำออกซิเจนมาใช้งานได้มากขึ้น และหน้าที่สำคัญมาก คือ เป็นตัวจุดประกายให้ไมโตรครอนเดียในเซลล์ สามารถสร้างพลังงานให้แก่ร่างกาย ดังนั้น ถ้าร่างกายเราขาด วิตามิน คิวเท็น จะทำให้ร่างกายขาดพลังงงาน ไปอย่างมหาศาล วิตามินคิวเท็นจึงจำเป็นมากสำหรับอวัยวะที่ทำงานหนัก และต้องใช้พลังงานอย่างสูงมากเป็นพิเศษ เช่น หัวใจ และตับ ไต
อาหารที่มี โคเอ็นไซม์ คิวเท็น ได้แก่ ปลาทะเลน้ำลึก เช่น ปลาซาร์ดีน ปลาแมคเคอเรล ปลาทูน่า เครื่องในสัตว์ เฉพาะส่วนหัวใจและตับ ส่วนในพืชจะพบได้บ้างใน ถั่วลิสง และน้ำมันถั่วเหลือง ถึงแม้ว่าร่างกายเราสามารถสร้าง โคเอ็นไซม์ Q10 ขึ้นเองได้ แต่จะสร้างได้น้อยลงเรื่อยๆตามอายุที่เพิ่มขึ้น และเมื่อถึงวัยกลางคนจึงมักจะขาดโคเอ็นไซม์ Q10
/////////////////////////////////////////
วิตามิน Q10 สำคัญแค่ไหน...
สารอาหารที่กำลังฮิตมากที่สุดในบ้านเราขณะนี้ ต้องนึกถึง สารอาหาร Q10 เพราะหลายคนรู้ว่าสารอาหารตัวนี้มีช่วยเสริมสร้างผิวพรรณให้เปล่งปลั่ง ชะลอความแก่ แต่จริงๆ แล้ว Q10 มีประโยชน์มากกว่าที่หลายๆ คนคิด...
เมื่อนึกสารอาหารที่กำลังฮิตมากที่สุดในบ้านเราขณะนี้ คุณคิดถึงสารอาหารตัวใด ? ” Q 10” น่าจะป็นคำตอบที่คุณกำลังนึกถึง เพราะว่ามีการโฆษณาทางโทรศัพท์บ่อยที่สุด และถูกพูดถึงในแง่ของการทำให้อายุยืน ชะลอความแก่ เสริมความสาว และช่วยผิวพรรณเปล่งปลั่ง ทั้งๆที่จริงๆแล้ว โคเอนไซม์ คิวเท็น Q10 สามารถป้องกันสมองเสื่อมหรืออัลไซเมอร์ และป้องกันโรคหัวใจล้มเหลว รวมถึงโรคจากความชราได้ แพทย์รู้จักการใช้ คิวเท็น ป้องกันโรคหัวใจมานานหลายปีแล้ว ส่วนแพททย์ในอีกหลายประเทศทั่วโลกใช้ คิวเท็น ในการรักษาโรคชรา โรคเรื้อรัง โรคหัวใจ ประมาณกันว่าแพทย์ได้สั่ง คิวเท็น ให้แก่ผู้ป่วยโรคหัวใจมามากกว่า 40 ล้านคนทั่วโลก เพราะมีการศึกษาชี้ชัดว่า โคเอนไซม์คิวเท็น จะช่วยยับยั้งไม่ให้คอเลสเตอรอลจับตัวเป็นก้อนแข็งในหลอดเลือด จึงช่วยลดปัญหาหลอดเลือดแข็งและการอุดตันของหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงหัวใจได้
โคเอ็นไซม์ คิวเท็น ( Coenzyme Q10 ) เป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน ทำหน้าที่ป้องกันเซลล์ไม่ให้ทำปฎิกิริยากับออกซิเจน ช่วยให้ร่างกายนำออกซิเจนมาใช้งานได้มากขึ้น และหน้าที่สำคัญมาก คือ เป็นตัวจุดประกายให้ไมโตรครอนเดียในเซลล์ สามารถสร้างพลังงานให้แก่ร่างกาย ดังนั้น ถ้าร่างกายเราขาด วิตามิน คิวเท็น จะทำให้ร่างกายขาดพลังงงาน ไปอย่างมหาศาล วิตามินคิวเท็นจึงจำเป็นมากสำหรับอวัยวะที่ทำงานหนัก และต้องใช้พลังงานอย่างสูงมากเป็นพิเศษ เช่น หัวใจ และตับ ไต
อาหารที่มี โคเอ็นไซม์ คิวเท็น ได้แก่ ปลาทะเลน้ำลึก เช่น ปลาซาร์ดีน ปลาแมคเคอเรล ปลาทูน่า เครื่องในสัตว์ เฉพาะส่วนหัวใจและตับ ส่วนในพืชจะพบได้บ้างใน ถั่วลิสง และน้ำมันถั่วเหลือง ถึงแม้ว่าร่างกายเราสามารถสร้าง โคเอ็นไซม์ Q10 ขึ้นเองได้ แต่จะสร้างได้น้อยลงเรื่อยๆตามอายุที่เพิ่มขึ้น และเมื่อถึงวัยกลางคนจึงมักจะขาดโคเอ็นไซม์ Q10 รู้อย่างนี้เล้ว เราคงต้องทำความเข้าใจใหม่ สำหรับ วิตามิน คิวเท็น ที่ไม่เพียงจะทำให้ผิวพรรณเต่งตึงเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์อันมากมายต่อร่างกายของเราอีกด้วย
https://www.facebook.com/OuayUn/photos/a.196916776996486.44415.150176071670557/493691517319009/
อาหารที่มี โคเอ็นไซม์ คิวเท็น ได้แก่ ปลาทะเลน้ำลึก เช่น ปลาซาร์ดีน ปลาแมคเคอเรล ปลาทูน่า เครื่องในสัตว์ เฉพาะส่วนหัวใจและตับ ส่วนในพืชจะพบได้บ้างใน ถั่วลิสง และน้ำมันถั่วเหลือง ถึงแม้ว่าร่างกายเราสามารถสร้าง โคเอ็นไซม์ Q10 ขึ้นเองได้ แต่จะสร้างได้น้อยลงเรื่อยๆตามอายุที่เพิ่มขึ้น และเมื่อถึงวัยกลางคนจึงมักจะขาดโคเอ็นไซม์ Q10
/////////////////////////////////////////
วิตามิน Q10 สำคัญแค่ไหน...
สารอาหารที่กำลังฮิตมากที่สุดในบ้านเราขณะนี้ ต้องนึกถึง สารอาหาร Q10 เพราะหลายคนรู้ว่าสารอาหารตัวนี้มีช่วยเสริมสร้างผิวพรรณให้เปล่งปลั่ง ชะลอความแก่ แต่จริงๆ แล้ว Q10 มีประโยชน์มากกว่าที่หลายๆ คนคิด...
เมื่อนึกสารอาหารที่กำลังฮิตมากที่สุดในบ้านเราขณะนี้ คุณคิดถึงสารอาหารตัวใด ? ” Q 10” น่าจะป็นคำตอบที่คุณกำลังนึกถึง เพราะว่ามีการโฆษณาทางโทรศัพท์บ่อยที่สุด และถูกพูดถึงในแง่ของการทำให้อายุยืน ชะลอความแก่ เสริมความสาว และช่วยผิวพรรณเปล่งปลั่ง ทั้งๆที่จริงๆแล้ว โคเอนไซม์ คิวเท็น Q10 สามารถป้องกันสมองเสื่อมหรืออัลไซเมอร์ และป้องกันโรคหัวใจล้มเหลว รวมถึงโรคจากความชราได้ แพทย์รู้จักการใช้ คิวเท็น ป้องกันโรคหัวใจมานานหลายปีแล้ว ส่วนแพททย์ในอีกหลายประเทศทั่วโลกใช้ คิวเท็น ในการรักษาโรคชรา โรคเรื้อรัง โรคหัวใจ ประมาณกันว่าแพทย์ได้สั่ง คิวเท็น ให้แก่ผู้ป่วยโรคหัวใจมามากกว่า 40 ล้านคนทั่วโลก เพราะมีการศึกษาชี้ชัดว่า โคเอนไซม์คิวเท็น จะช่วยยับยั้งไม่ให้คอเลสเตอรอลจับตัวเป็นก้อนแข็งในหลอดเลือด จึงช่วยลดปัญหาหลอดเลือดแข็งและการอุดตันของหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงหัวใจได้
โคเอ็นไซม์ คิวเท็น ( Coenzyme Q10 ) เป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน ทำหน้าที่ป้องกันเซลล์ไม่ให้ทำปฎิกิริยากับออกซิเจน ช่วยให้ร่างกายนำออกซิเจนมาใช้งานได้มากขึ้น และหน้าที่สำคัญมาก คือ เป็นตัวจุดประกายให้ไมโตรครอนเดียในเซลล์ สามารถสร้างพลังงานให้แก่ร่างกาย ดังนั้น ถ้าร่างกายเราขาด วิตามิน คิวเท็น จะทำให้ร่างกายขาดพลังงงาน ไปอย่างมหาศาล วิตามินคิวเท็นจึงจำเป็นมากสำหรับอวัยวะที่ทำงานหนัก และต้องใช้พลังงานอย่างสูงมากเป็นพิเศษ เช่น หัวใจ และตับ ไต
อาหารที่มี โคเอ็นไซม์ คิวเท็น ได้แก่ ปลาทะเลน้ำลึก เช่น ปลาซาร์ดีน ปลาแมคเคอเรล ปลาทูน่า เครื่องในสัตว์ เฉพาะส่วนหัวใจและตับ ส่วนในพืชจะพบได้บ้างใน ถั่วลิสง และน้ำมันถั่วเหลือง ถึงแม้ว่าร่างกายเราสามารถสร้าง โคเอ็นไซม์ Q10 ขึ้นเองได้ แต่จะสร้างได้น้อยลงเรื่อยๆตามอายุที่เพิ่มขึ้น และเมื่อถึงวัยกลางคนจึงมักจะขาดโคเอ็นไซม์ Q10 รู้อย่างนี้เล้ว เราคงต้องทำความเข้าใจใหม่ สำหรับ วิตามิน คิวเท็น ที่ไม่เพียงจะทำให้ผิวพรรณเต่งตึงเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์อันมากมายต่อร่างกายของเราอีกด้วย
https://www.facebook.com/OuayUn/photos/a.196916776996486.44415.150176071670557/493691517319009/
1
Add a comment...
Better Pharmacy Chiang Mai
Shared publicly - 18 Dec 2014
สารอาหารสำหรับคุณพ่อคุณแม่วัย 40 ปีขึ้นไป อยากให้ท่านมีสุขภาพแข็งแรงฟิตเปรี๊ยะ ต้องให้ท่านได้รับ วิตามินอี + วิตามินซี + โคเอ็นไซม์ คิวเทน + เบต้าแคโรทีน + น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส (สำหรับคุณแม่) + แคลเซียม + สังกะสี (สำหรับคุณพ่อ)
“วัยทอง” ควรได้รับวิตามินซี, โคเอ็นไซม์ คิวเทน และเบต้าแคโรทีน เพื่อเสริมฤทธิ์วิตามินอี รวมถึง น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส เพื่อลดอาการร้อนวูบวาบ และเพิ่มความชุ่มชื่นให้ผิวพรรณ ในขณะที่แคลเซียมก็เป็นอีกสารอาหารสำคัญ เพื่อป้องกันภาวะกระดูกพรุน
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1418892463
“วัยทอง” ควรได้รับวิตามินซี, โคเอ็นไซม์ คิวเทน และเบต้าแคโรทีน เพื่อเสริมฤทธิ์วิตามินอี รวมถึง น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส เพื่อลดอาการร้อนวูบวาบ และเพิ่มความชุ่มชื่นให้ผิวพรรณ ในขณะที่แคลเซียมก็เป็นอีกสารอาหารสำคัญ เพื่อป้องกันภาวะกระดูกพรุน
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1418892463
1
Add a comment...
Better Pharmacy Chiang Mai
Shared publicly - 18 Dec 2014
ซีรีย์ 9 : สมุนไพรตัวช่วยเบาหวาน ไขมัน ความดันให้พ่อ
มะระขี้นก
กระเจี๊ยบแดง
บัวบก
กระเทียม
ตรีผลา
คำฝอย
เบาหวานความดันไขมัน แนะนำให้ทานยาแผนปัจจุบันเป็นหลัก และไปพบแพทย์ตามนัดสม่ำเสมอ สำหรับสมุนไพรให้ทานเสริมการรักษา เพื่อให้การควบคุมโรคดียิ่งขึ้น
เบาหวาน แนะนำ มะระขี้นก – มีผลกระตุ้นการหลั่งอินซูลิน ยับยั้งการสร้างกลูโคส ทำให้มีผลลดน้ำตาลในเลือดได้ วิธีใช้คือ คั้นน้ำจากผลสดมื้อละ 2-3 ผล โดยเอาเมล็ดในออก ใส่น้ำลงไปเล็กน้อย ปั่นคั้นเอาแต่น้ำดื่ม 3 เวลา ก่อนอาหาร หรือนำเนื้อมะระผลเล็ก (มีตัวยามาก) ผ่านำเมล็ดออก หั่นเนื้อมะระเป็นชิ้นเล็กๆ ตากแดดให้แห้ง แล้วนำมาชงกับน้ำเดือด (มะระ 1-2 ชิ้น ต่อน้ำ 1 ถ้วย) ดื่มเป็นน้ำชา ครั้งละ 1-2 ถ้วย วันละ 3 เวลา ก่อนอาหาร หรือกินในรูปแบบแคปซูลครั้งละ 500-1000 มิลลิกรัม วันละ 1-2 ครั้ง มะระขี้นก จะมีรสขมมากกว่ามะระจีน วิธีลดความขมของมะระขี้นกทำได้ด้วยการต้มน้ำให้เดือดจัด ใส่เกลือประมาณหยิบมือ แล้วลวกมะระในน้ำเดือดสักครู่ จะทำให้ความขมลดลง มะระที่สุกแล้วจะมีสารซาโปนิน (Saponin) ในปริมาณมาก การรับประทานอาจทำให้มีอาการอาเจียน ท้องร่วงได้ ดังนั้นควรทานผลอ่อน ข้อควรระวังคือ คนท้อง เด็กและคนที่มีน้ำตาลในเลือดต่ำไม่ควรกิน และควรรับประทานในปริมาณที่พอดี อย่าทำอะไรเกินเลย เพราะความขมจัดของมะระขี้นก อาจทำให้ตับทำงานหนักขึ้น
ความดัน แนะนำ กระเจี๊ยบแดง จากการทดลองในสัตว์และมนุษย์ พบว่า กระเจี๊ยบแดงสามารถลดความดันโลหิต ขับปัสสาวะ ขับยูริค รวมทั้งลดการอักเสบของระบบทางเดินปัสสาวะภายหลังการผ่าตัดในไตได้ นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่าการดื่มชากระเจี๊ยบวันละ 2 - 3 ครั้ง สามารถลดความดันโลหิตตัวบนลงตั้งแต่ร้อยละ 7.2 ถึง 13 เลยทีเดียว นักวิทยาศาสตร์วิจัยพบว่า การที่กระเจี๊ยบแดงสามารถลดความดันโลหิตได้ เนื่องมาจากสาร “แอนโธไซยานิน” (anthocyanins) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และสร้างความแข็งแรงให้กับหลอดเลือดนั่นเอง บัวบก เป็นพืชสมุนไพรที่มีประโยชน์ต่อผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง เนื่องจากบัวบกทำให้การไหลเวียนของเลือดทั้งในหลอดเลือดดำและเส้นเลือดฝอยมีการไหลเวียนดีขึ้น มีคุณสมบัติขยายหลอดเลือด ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดี จึงสามารถลดความดันโลหิตได้ ทั้งนี้ มีรายงานการวิจัยที่สนับสนุนว่า สารสกัดเอทานอลจากต้นบัวบก มีฤทธิ์ลดความดันโลหิตในหนูขาวเมื่อให้ทางหลอดเลือดดำ น้ำคั้นจากต้น และสารสกัดด้วยน้ำมีฤทธิ์ลดความดันโลหิตในหนูขาวและสุนัข บัวบกยังทำให้หลอดเลือดดำและเส้นเลือดฝอยแข็งแรงขึ้น ซึ่งจะมีประโยชน์ต่อคนที่มีปัญหาเส้นเลือดขอดและคนที่เป็นริดสีดวงทวาร นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ต่อระบบประสาท ทำให้การเรียนรู้ดีขึ้น มีฤทธิ์คลายความเครียด ซึ่งฤทธิ์คลายความเครียดนี้เป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยความดันโลหิตสูงด้วย
ไขมัน แนะนำ กระเทียม นอกจากจะลดความดันได้แล้ว ยังมีผลลดไขมันในเลือดได้ โดยมีการศึกษาพบว่า เพียงคุณทานกระเทียมวันละ 1-2 กลีบ หรือทานในรูปแบบผงกระเทียม 600-900 มิลลิกรัมต่อกรัม เป็นเวลา 2 เดือนขึ้นไป จะมีผลลดไขมันโคเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ โดยมีการศึกษาหนึ่งพบว่าหากทานเป็นเวลา 16 สัปดาห์ สามารถลดไขมันโคเลสเตอรอลได้ 12% ลดไขมันไตรกลีเซอไรด์ได้ 17%
ควรระวังการทานกระเทียมและขิงในรูปแบบสารสกัด หรือการรับประทานในปริมาณมากในผู้ป่วยที่มีการทานยาละลายลิ่มเลือดร่วมด้วย เพราะกระเทียมและขิง อาจมีผลเพิ่มฤทธิ์ยาละลายลิ่มเลือด
กระเจี๊ยบแดง มีสารออกฤทธิ์สำคัญคือ แอนโทไซยานิน ซึ่งพบว่ามีผลลดระดับไขมันชนิดไตรกลีเซอไรด์ได้ดีมาก ลดไขมันชนิดร้าย (LDL) ลดโคเลสเตอรอล อีกทั้งยังมีผลช่วยเพิ่มระดับไขมันดี (HDL) โดยเห็นผลเมื่อดื่มชาชงกระเจี๊ยบวันละ 2 เวลา เป็นเวลาติดต่อกันอย่างน้อย 1 เดือน
ตรีผลา ตำรับสมุนไพรที่ประกอบขึ้นด้วยผลไม้สามอย่างคือ สมอไทย สมอพิเภกและมะขามป้อม มีผลลดระดับไขมันโคเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ได้ โดยอาจทานต่อเนื่องอย่างน้อยคืนละ 1 แก้ว ต่อเนื่องทุกคืน นอกจากจะลดไขมันในเลือดได้แล้ว ตรีผลายังมีส่วนช่วยในการรักษาภาวะไขมันพอกตับอีกด้วย (fatty liver)
ดอกคำฝอย มีสารสีเหลืองส้ม คนโบราณใช้ในการแต่งสีอาหาร โดยการนำกลีบดอกมาแช่น้ำร้อน ซึ่งสารนั้นมีชื่อว่า Carthamin และ Sufflower yellow อีกทั้งในเมล็ดดอกคำฝอยยังมีน้ำมันระเหยยาก เรียกว่าน้ำมันเมล็ดดอกคำฝอย มีส่วนประกอบของกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวหลายชนิด มีผลลดระดับโคเลสเตอรอลและไขมันตัวร้าย (LDL) และป้องกันการอุดตันของไขมันในเลือด รวมทั้งมีผลในการป้องกันโรคหัวใจได้ด้วย โดยอาจทานในรูปแบบชาชงวันละ 1 ครั้ง ครั้งละ 1 ซอง ตอนเย็นหรือก่อนนอน นอกจากนี้ยังพบว่าการรับประทานหอมเล็กหอมใหญ่เป็นประจำ ก็จะมีส่วนช่วยในการควบคุมระดับไขมันในเลือดได้ โดยกินเป็นประจำทุกวัน อย่างน้อยวันละ 1 หัว
ติดตามซีรีย์ 9 ชุดสมุนไพรดูแลสุขภาพคุณพ่อ/ herb for health's father sereis ทางเพจ FB : สมุนไพรอภัยภูเบศรค่ะ
https://www.facebook.com/abhaiherb/photos/a.136960229702392.26552.136694259728989/782614978470244/
มะระขี้นก
กระเจี๊ยบแดง
บัวบก
กระเทียม
ตรีผลา
คำฝอย
เบาหวานความดันไขมัน แนะนำให้ทานยาแผนปัจจุบันเป็นหลัก และไปพบแพทย์ตามนัดสม่ำเสมอ สำหรับสมุนไพรให้ทานเสริมการรักษา เพื่อให้การควบคุมโรคดียิ่งขึ้น
เบาหวาน แนะนำ มะระขี้นก – มีผลกระตุ้นการหลั่งอินซูลิน ยับยั้งการสร้างกลูโคส ทำให้มีผลลดน้ำตาลในเลือดได้ วิธีใช้คือ คั้นน้ำจากผลสดมื้อละ 2-3 ผล โดยเอาเมล็ดในออก ใส่น้ำลงไปเล็กน้อย ปั่นคั้นเอาแต่น้ำดื่ม 3 เวลา ก่อนอาหาร หรือนำเนื้อมะระผลเล็ก (มีตัวยามาก) ผ่านำเมล็ดออก หั่นเนื้อมะระเป็นชิ้นเล็กๆ ตากแดดให้แห้ง แล้วนำมาชงกับน้ำเดือด (มะระ 1-2 ชิ้น ต่อน้ำ 1 ถ้วย) ดื่มเป็นน้ำชา ครั้งละ 1-2 ถ้วย วันละ 3 เวลา ก่อนอาหาร หรือกินในรูปแบบแคปซูลครั้งละ 500-1000 มิลลิกรัม วันละ 1-2 ครั้ง มะระขี้นก จะมีรสขมมากกว่ามะระจีน วิธีลดความขมของมะระขี้นกทำได้ด้วยการต้มน้ำให้เดือดจัด ใส่เกลือประมาณหยิบมือ แล้วลวกมะระในน้ำเดือดสักครู่ จะทำให้ความขมลดลง มะระที่สุกแล้วจะมีสารซาโปนิน (Saponin) ในปริมาณมาก การรับประทานอาจทำให้มีอาการอาเจียน ท้องร่วงได้ ดังนั้นควรทานผลอ่อน ข้อควรระวังคือ คนท้อง เด็กและคนที่มีน้ำตาลในเลือดต่ำไม่ควรกิน และควรรับประทานในปริมาณที่พอดี อย่าทำอะไรเกินเลย เพราะความขมจัดของมะระขี้นก อาจทำให้ตับทำงานหนักขึ้น
ความดัน แนะนำ กระเจี๊ยบแดง จากการทดลองในสัตว์และมนุษย์ พบว่า กระเจี๊ยบแดงสามารถลดความดันโลหิต ขับปัสสาวะ ขับยูริค รวมทั้งลดการอักเสบของระบบทางเดินปัสสาวะภายหลังการผ่าตัดในไตได้ นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่าการดื่มชากระเจี๊ยบวันละ 2 - 3 ครั้ง สามารถลดความดันโลหิตตัวบนลงตั้งแต่ร้อยละ 7.2 ถึง 13 เลยทีเดียว นักวิทยาศาสตร์วิจัยพบว่า การที่กระเจี๊ยบแดงสามารถลดความดันโลหิตได้ เนื่องมาจากสาร “แอนโธไซยานิน” (anthocyanins) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และสร้างความแข็งแรงให้กับหลอดเลือดนั่นเอง บัวบก เป็นพืชสมุนไพรที่มีประโยชน์ต่อผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง เนื่องจากบัวบกทำให้การไหลเวียนของเลือดทั้งในหลอดเลือดดำและเส้นเลือดฝอยมีการไหลเวียนดีขึ้น มีคุณสมบัติขยายหลอดเลือด ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดี จึงสามารถลดความดันโลหิตได้ ทั้งนี้ มีรายงานการวิจัยที่สนับสนุนว่า สารสกัดเอทานอลจากต้นบัวบก มีฤทธิ์ลดความดันโลหิตในหนูขาวเมื่อให้ทางหลอดเลือดดำ น้ำคั้นจากต้น และสารสกัดด้วยน้ำมีฤทธิ์ลดความดันโลหิตในหนูขาวและสุนัข บัวบกยังทำให้หลอดเลือดดำและเส้นเลือดฝอยแข็งแรงขึ้น ซึ่งจะมีประโยชน์ต่อคนที่มีปัญหาเส้นเลือดขอดและคนที่เป็นริดสีดวงทวาร นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ต่อระบบประสาท ทำให้การเรียนรู้ดีขึ้น มีฤทธิ์คลายความเครียด ซึ่งฤทธิ์คลายความเครียดนี้เป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยความดันโลหิตสูงด้วย
ไขมัน แนะนำ กระเทียม นอกจากจะลดความดันได้แล้ว ยังมีผลลดไขมันในเลือดได้ โดยมีการศึกษาพบว่า เพียงคุณทานกระเทียมวันละ 1-2 กลีบ หรือทานในรูปแบบผงกระเทียม 600-900 มิลลิกรัมต่อกรัม เป็นเวลา 2 เดือนขึ้นไป จะมีผลลดไขมันโคเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ โดยมีการศึกษาหนึ่งพบว่าหากทานเป็นเวลา 16 สัปดาห์ สามารถลดไขมันโคเลสเตอรอลได้ 12% ลดไขมันไตรกลีเซอไรด์ได้ 17%
ควรระวังการทานกระเทียมและขิงในรูปแบบสารสกัด หรือการรับประทานในปริมาณมากในผู้ป่วยที่มีการทานยาละลายลิ่มเลือดร่วมด้วย เพราะกระเทียมและขิง อาจมีผลเพิ่มฤทธิ์ยาละลายลิ่มเลือด
กระเจี๊ยบแดง มีสารออกฤทธิ์สำคัญคือ แอนโทไซยานิน ซึ่งพบว่ามีผลลดระดับไขมันชนิดไตรกลีเซอไรด์ได้ดีมาก ลดไขมันชนิดร้าย (LDL) ลดโคเลสเตอรอล อีกทั้งยังมีผลช่วยเพิ่มระดับไขมันดี (HDL) โดยเห็นผลเมื่อดื่มชาชงกระเจี๊ยบวันละ 2 เวลา เป็นเวลาติดต่อกันอย่างน้อย 1 เดือน
ตรีผลา ตำรับสมุนไพรที่ประกอบขึ้นด้วยผลไม้สามอย่างคือ สมอไทย สมอพิเภกและมะขามป้อม มีผลลดระดับไขมันโคเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ได้ โดยอาจทานต่อเนื่องอย่างน้อยคืนละ 1 แก้ว ต่อเนื่องทุกคืน นอกจากจะลดไขมันในเลือดได้แล้ว ตรีผลายังมีส่วนช่วยในการรักษาภาวะไขมันพอกตับอีกด้วย (fatty liver)
ดอกคำฝอย มีสารสีเหลืองส้ม คนโบราณใช้ในการแต่งสีอาหาร โดยการนำกลีบดอกมาแช่น้ำร้อน ซึ่งสารนั้นมีชื่อว่า Carthamin และ Sufflower yellow อีกทั้งในเมล็ดดอกคำฝอยยังมีน้ำมันระเหยยาก เรียกว่าน้ำมันเมล็ดดอกคำฝอย มีส่วนประกอบของกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวหลายชนิด มีผลลดระดับโคเลสเตอรอลและไขมันตัวร้าย (LDL) และป้องกันการอุดตันของไขมันในเลือด รวมทั้งมีผลในการป้องกันโรคหัวใจได้ด้วย โดยอาจทานในรูปแบบชาชงวันละ 1 ครั้ง ครั้งละ 1 ซอง ตอนเย็นหรือก่อนนอน นอกจากนี้ยังพบว่าการรับประทานหอมเล็กหอมใหญ่เป็นประจำ ก็จะมีส่วนช่วยในการควบคุมระดับไขมันในเลือดได้ โดยกินเป็นประจำทุกวัน อย่างน้อยวันละ 1 หัว
ติดตามซีรีย์ 9 ชุดสมุนไพรดูแลสุขภาพคุณพ่อ/ herb for health's father sereis ทางเพจ FB : สมุนไพรอภัยภูเบศรค่ะ
https://www.facebook.com/abhaiherb/photos/a.136960229702392.26552.136694259728989/782614978470244/
1
Add a comment...
Better Pharmacy Chiang Mai
Shared publicly - 9 Dec 2014
สมุนไพรอภัยภูเบศร
ซีรีย์ 1 : ต่อมลูกหมากโต....เป็นเรื่องปกติที่ผู้ชายเกือบทุกคนต้องเจอ !!!
ต่อมลูกหมากโต (BPH) คือ ภาวะที่ต่อมลูกหมากมีขนาดใหญ่ผิดปกติ ตำแหน่งของต่อมลูกหมากจะอยู่ในบริเวณใต้กระเพาะปัสสาวะ ต่อมลูกหมากทำหน้าที่สร้างสารที่เป็นของเหลวประมาณ 30% ของน้ำอสุจิ ด้วยเหตุที่ต่อมลูกหมากจะห่อหุ้มท่อปัสสาวะส่วนต้นไว้ ดังนั้นเมื่อต่อมลูกหมากโตขึ้นก็อาจกดทับท่อปัสสาวะให้ตีบเล็กลง ส่งผลให้คนไข้มีอาการปัสสาวะติดขัด นอกจากนี้ต่อมลูกหมากโตอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผนังกล้ามเนื้อของกระเพาะปัสสาวะหนาขึ้น เนื่องจากต้องบีบตัวแรงขึ้นเพื่อขับน้ำปัสสาวะให้ผ่านท่อแคบๆ และเมื่อผนังกระเพาะปัสสาวะหนาตัวขึ้นก็จะส่งผลต่อความสามารถในการกักเก็บน้ำปัสสาวะลดลง คนไข้จึงต้องปัสสาวะบ่อย และอาจได้รับการกระตุ้นให้ปวดปัสสาวะขึ้นมาอย่างกะทันหันได้ โรคต่อมลูกหมากโตเป็นโรคที่พบได้เป็นปกติ และการเกิดขึ้นมักจะสัมพันธ์กับอายุ มีหลักฐานแสดงให้เห็นว่า มากกว่าครึ่งหนึ่งของชายอายุ 65 ปี จะมีอาการต่อมลูกหมากโต และเพิ่มขึ้นถึง 90% ในชายที่มีอายุ 80 ปี วัตถุประสงค์ของการรักษาต่อมลูกหมากโตคือ รักษาเพื่อลดอาการผิดปกติต่างๆของการถ่ายปัสสาวะที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตในผู้ป่วยแต่ละคน และป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนของต่อมลูกหมากโตในอนาคต เช่น ไตวาย ติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ นิ่วในกระเพาะปัสสาวะเป็นต้น ดังนั้นการรักษาต่อมลูกหมากโตในผู้ป่วยแต่ละคนจึงอาจแตกต่างกันออกไป เช่น ในผู้ป่วยที่มีอาการปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืน การรักษาอาจทำได้ง่ายๆโดยไม่ต้องใช้ยา เพียงแค่หลีกเลี่ยงการดื่มชา กาแฟ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ หรือหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำมากๆก่อนเข้านอน ก็สามารถทำให้การปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืนดีขึ้นได้โดยไม่ต้องทานยา แต่ในทางกลับกันในผู้ป่วยบางรายที่มีอาการปัสสาวะไม่ออกเลยจนถึงขั้นต้องใส่สายสวนปัสสาวะ ในกรณีนี้ก็จำเป็นจะต้องได้รับการรักษาโดยการผ่าตัดต่อมลูกหมากผ่านการส่องกล้องเพื่อให้กลับมาปัสสาวะได้ เป็นต้น
สำหรับสมุนไพร แม้ว่าในปัจจุบันจะยังไม่มีสมุนไพรที่ช่วยรักษาต่อมลูกหมากโตให้หายขาดได้ แต่ก็มีสมุนไพรบางตัวที่ช่วยบรรเทาอาการของต่อมลูกหมากโตได้ โดยเฉพาะอาการของปัสสาวะขัด เช่น
เถาวัลย์เปรียง ต้มน้ำดื่ม 1 แก้ว เช้า เย็น หรือ กินครั้งละ 1 แคปซูล 3 เวลา หลังอาหาร หรือ ผักบุ้งจีน โดยใช้ผักบุ้งจีนสด ตัดราก 4 ขีด ล้างให้สะอาด ต้มน้ำ 3-4 แก้ว จนเดือดแล้วยกลงใส่น้ำผึ้งแท้ 3 ช้อนโต๊ะ ลงไปคนให้เข้ากันจนได้ที่ แบ่งกินก่อนอาหาร 3 มื้อเช้ากลางวันเย็น โดยกินทั้งน้ำและเนื้อ 2 วัน จะสังเกตได้ว่าอาการที่เริ่มเป็นจะดีขึ้น ให้ต้มดื่มเรื่อยๆ เมื่อหายดีแล้วก็หยุดกิน สูตรนี้เหมาะสำหรับคนที่เป็นไม่มาก
หรือการรับประทานสารไลโคปีน มีงานวิจัยว่าช่วยลดค่า prostate specific antigen (PSA) ซึ่งเป็นค่าบ่งชี้สุขภาพของต่อมลูกหมาก ที่อาจเพิ่มขึ้นในคนที่เป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก (บางคนที่เป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก ก็อาจไม่มีการเพิ่มขึ้นของค่า PSA) หรือในรายที่มีภาวะการอักเสบของต่อมลูกหมาก ติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ ก็อาจส่งผลในค่า PSA เพิ่มขึ้น โดยสารไลโคปีนจะพบมากในมะเขือเทศ ฟักข้าว และฝรั่ง
หรือการหมั่นทานสารอาหารบางอย่างเป็นประจำในมื้ออาหาร อาจจะช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นต่อมลูกหมากโตได้ เช่น
สังกะสี เป็นแร่ธาตุที่ช่วยสร้างฮอร์โมนเพศชาย พบได้ในเมล็ดฟักทอง อาหารทะเล เช่น หอยนางรม
เบต้าซิโตสเตอรอล มีสรรพคุณช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือด และป้องกันต่อมลูกหมากโต พบมากในถั่วเหลือง จมูกข้าวสาลี น้ำมันข้าวโพด
วิตามินอี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ มีมากในรำละเอียด น้ำมันรำ ธัญพืช ถั่วเหลือง ถั่วแดง ผักกาดหอม เมล็ดทานตะวัน งา น้ำมันถั่วลิสง
แหล่งอ้างอิง
http://www.bumrungrad.com/mens-health-center/…/prostate.aspx
http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx…
http://www.prostate-rama.com/reading_detail.php?cid=10
http://www.thairath.co.th/content/263674
ติดตามซีรีย์ 9 ชุดสมุนไพรดูแลสุขภาพคุณพ่อ/ herb for health's father sereis ทางเพจ FB : สมุนไพรอภัยภูเบศรค่ะ
https://www.facebook.com/abhaiherb/photos/a.136960229702392.26552.136694259728989/774884482576627/
ซีรีย์ 1 : ต่อมลูกหมากโต....เป็นเรื่องปกติที่ผู้ชายเกือบทุกคนต้องเจอ !!!
ต่อมลูกหมากโต (BPH) คือ ภาวะที่ต่อมลูกหมากมีขนาดใหญ่ผิดปกติ ตำแหน่งของต่อมลูกหมากจะอยู่ในบริเวณใต้กระเพาะปัสสาวะ ต่อมลูกหมากทำหน้าที่สร้างสารที่เป็นของเหลวประมาณ 30% ของน้ำอสุจิ ด้วยเหตุที่ต่อมลูกหมากจะห่อหุ้มท่อปัสสาวะส่วนต้นไว้ ดังนั้นเมื่อต่อมลูกหมากโตขึ้นก็อาจกดทับท่อปัสสาวะให้ตีบเล็กลง ส่งผลให้คนไข้มีอาการปัสสาวะติดขัด นอกจากนี้ต่อมลูกหมากโตอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผนังกล้ามเนื้อของกระเพาะปัสสาวะหนาขึ้น เนื่องจากต้องบีบตัวแรงขึ้นเพื่อขับน้ำปัสสาวะให้ผ่านท่อแคบๆ และเมื่อผนังกระเพาะปัสสาวะหนาตัวขึ้นก็จะส่งผลต่อความสามารถในการกักเก็บน้ำปัสสาวะลดลง คนไข้จึงต้องปัสสาวะบ่อย และอาจได้รับการกระตุ้นให้ปวดปัสสาวะขึ้นมาอย่างกะทันหันได้ โรคต่อมลูกหมากโตเป็นโรคที่พบได้เป็นปกติ และการเกิดขึ้นมักจะสัมพันธ์กับอายุ มีหลักฐานแสดงให้เห็นว่า มากกว่าครึ่งหนึ่งของชายอายุ 65 ปี จะมีอาการต่อมลูกหมากโต และเพิ่มขึ้นถึง 90% ในชายที่มีอายุ 80 ปี วัตถุประสงค์ของการรักษาต่อมลูกหมากโตคือ รักษาเพื่อลดอาการผิดปกติต่างๆของการถ่ายปัสสาวะที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตในผู้ป่วยแต่ละคน และป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนของต่อมลูกหมากโตในอนาคต เช่น ไตวาย ติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ นิ่วในกระเพาะปัสสาวะเป็นต้น ดังนั้นการรักษาต่อมลูกหมากโตในผู้ป่วยแต่ละคนจึงอาจแตกต่างกันออกไป เช่น ในผู้ป่วยที่มีอาการปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืน การรักษาอาจทำได้ง่ายๆโดยไม่ต้องใช้ยา เพียงแค่หลีกเลี่ยงการดื่มชา กาแฟ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ หรือหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำมากๆก่อนเข้านอน ก็สามารถทำให้การปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืนดีขึ้นได้โดยไม่ต้องทานยา แต่ในทางกลับกันในผู้ป่วยบางรายที่มีอาการปัสสาวะไม่ออกเลยจนถึงขั้นต้องใส่สายสวนปัสสาวะ ในกรณีนี้ก็จำเป็นจะต้องได้รับการรักษาโดยการผ่าตัดต่อมลูกหมากผ่านการส่องกล้องเพื่อให้กลับมาปัสสาวะได้ เป็นต้น
สำหรับสมุนไพร แม้ว่าในปัจจุบันจะยังไม่มีสมุนไพรที่ช่วยรักษาต่อมลูกหมากโตให้หายขาดได้ แต่ก็มีสมุนไพรบางตัวที่ช่วยบรรเทาอาการของต่อมลูกหมากโตได้ โดยเฉพาะอาการของปัสสาวะขัด เช่น
เถาวัลย์เปรียง ต้มน้ำดื่ม 1 แก้ว เช้า เย็น หรือ กินครั้งละ 1 แคปซูล 3 เวลา หลังอาหาร หรือ ผักบุ้งจีน โดยใช้ผักบุ้งจีนสด ตัดราก 4 ขีด ล้างให้สะอาด ต้มน้ำ 3-4 แก้ว จนเดือดแล้วยกลงใส่น้ำผึ้งแท้ 3 ช้อนโต๊ะ ลงไปคนให้เข้ากันจนได้ที่ แบ่งกินก่อนอาหาร 3 มื้อเช้ากลางวันเย็น โดยกินทั้งน้ำและเนื้อ 2 วัน จะสังเกตได้ว่าอาการที่เริ่มเป็นจะดีขึ้น ให้ต้มดื่มเรื่อยๆ เมื่อหายดีแล้วก็หยุดกิน สูตรนี้เหมาะสำหรับคนที่เป็นไม่มาก
หรือการรับประทานสารไลโคปีน มีงานวิจัยว่าช่วยลดค่า prostate specific antigen (PSA) ซึ่งเป็นค่าบ่งชี้สุขภาพของต่อมลูกหมาก ที่อาจเพิ่มขึ้นในคนที่เป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก (บางคนที่เป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก ก็อาจไม่มีการเพิ่มขึ้นของค่า PSA) หรือในรายที่มีภาวะการอักเสบของต่อมลูกหมาก ติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ ก็อาจส่งผลในค่า PSA เพิ่มขึ้น โดยสารไลโคปีนจะพบมากในมะเขือเทศ ฟักข้าว และฝรั่ง
หรือการหมั่นทานสารอาหารบางอย่างเป็นประจำในมื้ออาหาร อาจจะช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นต่อมลูกหมากโตได้ เช่น
สังกะสี เป็นแร่ธาตุที่ช่วยสร้างฮอร์โมนเพศชาย พบได้ในเมล็ดฟักทอง อาหารทะเล เช่น หอยนางรม
เบต้าซิโตสเตอรอล มีสรรพคุณช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือด และป้องกันต่อมลูกหมากโต พบมากในถั่วเหลือง จมูกข้าวสาลี น้ำมันข้าวโพด
วิตามินอี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ มีมากในรำละเอียด น้ำมันรำ ธัญพืช ถั่วเหลือง ถั่วแดง ผักกาดหอม เมล็ดทานตะวัน งา น้ำมันถั่วลิสง
แหล่งอ้างอิง
http://www.bumrungrad.com/mens-health-center/…/prostate.aspx
http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx…
http://www.prostate-rama.com/reading_detail.php?cid=10
http://www.thairath.co.th/content/263674
ติดตามซีรีย์ 9 ชุดสมุนไพรดูแลสุขภาพคุณพ่อ/ herb for health's father sereis ทางเพจ FB : สมุนไพรอภัยภูเบศรค่ะ
https://www.facebook.com/abhaiherb/photos/a.136960229702392.26552.136694259728989/774884482576627/
1
Add a comment...
Better Pharmacy Chiang Mai
Shared publicly - 12 Nov 2014
ครีมไพล ลองกานา
PLAI CREAM LONGANA
มีจำหน่ายที่ BETTER PHARMACY
จดทะเบียนเป็นยาแผนโบราณถูกต้อง
ทะเบียนยาเลขที่ G56/57
ครีมไพล ลองกานา สูตรร้อน
บรรเทาอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย ข้ออักเสบ เข่าเสื่อม นิ้วล็อก เส้นตึง
ส่วนประกอบ สารสกัดไพลๅ10% ว่านเอ็นเหลือง10% น้ำมันเมล็ดลำไย10% พิมเสน10%
ทาวันละ 2-3 ครั้ง เวลาปวด
ผลิตโดย พรรณทิพย์โอสถ ห้างฉัตร ลำปาง
หมายเหตุ ผู้ผลิตเป็นทีมเดียวกับที่ทำวิจัยผลิตภัณฑ์แก้ปวดจากลำไย
PLAI CREAM LONGANA
มีจำหน่ายที่ BETTER PHARMACY
จดทะเบียนเป็นยาแผนโบราณถูกต้อง
ทะเบียนยาเลขที่ G56/57
ครีมไพล ลองกานา สูตรร้อน
บรรเทาอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย ข้ออักเสบ เข่าเสื่อม นิ้วล็อก เส้นตึง
ส่วนประกอบ สารสกัดไพลๅ10% ว่านเอ็นเหลือง10% น้ำมันเมล็ดลำไย10% พิมเสน10%
ทาวันละ 2-3 ครั้ง เวลาปวด
ผลิตโดย พรรณทิพย์โอสถ ห้างฉัตร ลำปาง
หมายเหตุ ผู้ผลิตเป็นทีมเดียวกับที่ทำวิจัยผลิตภัณฑ์แก้ปวดจากลำไย
1
Add a comment...
Better Pharmacy Chiang Mai
Shared publicly - 21 Oct 2014
เผยผลวิจัย "น้ำอุ่นผสมน้ำมะนาว" เช็ดตัวลดไข้ให้ผู้ป่วยเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ ได้ผลดี ชี้ไข้ลงได้มากกว่าการใช้น้ำอุ่นอย่างเดียวถึง 2 เท่า จากผลงานการศึกษาวิจัย เรื่อง "ประสิทธิผลของการใช้น้ำอุ่นผสมน้ำมะนาว ในการเช็ดตัวลดไข้ในผู้ป่วยเด็กที่รักษาใน โรงพยาบาลนครพิงค์" ของนางสาวชลิดา ภาวนาเกษมศานต์ พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ ประจำโรงพยาบาลนครพิงค์ จังหวัดเชียงใหม่
ผลการศึกษาวิจัยพบว่า การเช็ดตัวด้วยน้ำอุ่นผสมน้ำมะนาว ให้ผลต่อการลดไข้ได้ อุณหภูมิร่างกายลดลงกว่าเดิมเฉลี่ย 1.2 องศาเซลเซียส ในขณะที่เด็กที่เช็ดตัวลดไข้ด้วยน้ำอุ่นธรรมดาทั่วไป ลดอุณหภูมิได้เฉลี่ย 0.67 องศาเซลเซียสเท่านั้น ชี้ให้เห็นว่าการใช้น้ำอุ่นผสมน้ำมะนาวเช็ดตัวลดไข้ ให้ผลในการลดอุณหภูมิร่างกายได้ดีกว่าการใช้น้ำอุ่นอย่างเดียว ประมาณ 2 เท่าตัว
มะนาวที่นำมาศึกษาครั้งนี้ เป็นมะนาวพันธุ์แป้นเขียว ที่มีในท้องตลาดทั่วไป การผสมจะใช้มะนาว 1 ผล ต่อน้ำอุ่นอุณหภูมิ 38 องศาเซลเซียส ปริมาณ 2,000 ซี.ซี. การผ่ามะนาวต้องผ่าใต้น้ำและบีบใต้น้ำ เพื่อให้ได้น้ำมันจากผิวด้วย ซึ่งกลิ่นของน้ำมันผิวมะนาว จัดเป็นอโรมา เทอราปี เพิ่มการไหลเวียนเลือดดีขึ้น จะช่วยให้ผู้ป่วยสุขสบายด้วย โดยจากการติดตามผลการศึกษาในต่างประเทศพบว่าน้ำมันผิวมะนาว นำมาผสมน้ำและพันเท้าและขาเด็ก สามารถลดไข้ได้
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1410961157
ผลการศึกษาวิจัยพบว่า การเช็ดตัวด้วยน้ำอุ่นผสมน้ำมะนาว ให้ผลต่อการลดไข้ได้ อุณหภูมิร่างกายลดลงกว่าเดิมเฉลี่ย 1.2 องศาเซลเซียส ในขณะที่เด็กที่เช็ดตัวลดไข้ด้วยน้ำอุ่นธรรมดาทั่วไป ลดอุณหภูมิได้เฉลี่ย 0.67 องศาเซลเซียสเท่านั้น ชี้ให้เห็นว่าการใช้น้ำอุ่นผสมน้ำมะนาวเช็ดตัวลดไข้ ให้ผลในการลดอุณหภูมิร่างกายได้ดีกว่าการใช้น้ำอุ่นอย่างเดียว ประมาณ 2 เท่าตัว
มะนาวที่นำมาศึกษาครั้งนี้ เป็นมะนาวพันธุ์แป้นเขียว ที่มีในท้องตลาดทั่วไป การผสมจะใช้มะนาว 1 ผล ต่อน้ำอุ่นอุณหภูมิ 38 องศาเซลเซียส ปริมาณ 2,000 ซี.ซี. การผ่ามะนาวต้องผ่าใต้น้ำและบีบใต้น้ำ เพื่อให้ได้น้ำมันจากผิวด้วย ซึ่งกลิ่นของน้ำมันผิวมะนาว จัดเป็นอโรมา เทอราปี เพิ่มการไหลเวียนเลือดดีขึ้น จะช่วยให้ผู้ป่วยสุขสบายด้วย โดยจากการติดตามผลการศึกษาในต่างประเทศพบว่าน้ำมันผิวมะนาว นำมาผสมน้ำและพันเท้าและขาเด็ก สามารถลดไข้ได้
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1410961157
1
Add a comment...
Better Pharmacy Chiang Mai
Shared publicly - 15 Aug 2014
น้ำมันจากดอกคำฝอย สามารถช่วยลดความดันโลหิต และไขมันหรือโคเลสเตอรอลได้
ตำรับยาไทยโบราณได้นำดอกคำฝอยมาเป็นส่วนผสมเพื่อใช้บำรุงโลหิต หรือแก้โลหิตเป็นพิษ แก้อาการอักเสบ ป้องกันโรคไขมันอุดตันในเส้นโลหิตและหัวใจ
แพทย์แผนจีน ระบุว่า ดอกคำฝอยมีรสเผ็ด อุ่น เข้าเส้นหัวใจ ตับ ช่วยให้เลือดหมุนเวียน ขับประจำเดือน สลายลิ่มเลือด รักษาอาการของโรคสตรีทั้งหลายที่เกี่ยวกับเลือด และอาการปวดบวม ฟกช้ำดำเขียว
สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ทำการวิจัยพบว่า ดอกคำฝอยมีฤทธิ์ในการปกป้องเซลล์ตับ
ห้ามใช้ในสตรีมีครรภ์ ผู้ที่มีภาวะเลือดออก มีประจำเดือนมากผิดปกติ และแผลในกระเพาะอาหาร เนื่องจาก ดอกคำฝอยมีฤทธิ์เป็นยาบำรุงเลือดและช่วยขับประจำเดือน หากรับประทานอาจจะทำให้แท้งบุตรได้ และควรระมัดระวัง เมื่อใช้ร่วมกับยายับยั้งการแข็งตัวของเกร็ดเลือด
http://www.manager.co.th/dhamma/viewnews.aspx?NewsID=9570000012987
http://www.horapa.com/content.php?No=1004
http://www.herblucky.com/?page=Safflower.html&admintool=no
ตำรับยาไทยโบราณได้นำดอกคำฝอยมาเป็นส่วนผสมเพื่อใช้บำรุงโลหิต หรือแก้โลหิตเป็นพิษ แก้อาการอักเสบ ป้องกันโรคไขมันอุดตันในเส้นโลหิตและหัวใจ
แพทย์แผนจีน ระบุว่า ดอกคำฝอยมีรสเผ็ด อุ่น เข้าเส้นหัวใจ ตับ ช่วยให้เลือดหมุนเวียน ขับประจำเดือน สลายลิ่มเลือด รักษาอาการของโรคสตรีทั้งหลายที่เกี่ยวกับเลือด และอาการปวดบวม ฟกช้ำดำเขียว
สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ทำการวิจัยพบว่า ดอกคำฝอยมีฤทธิ์ในการปกป้องเซลล์ตับ
ห้ามใช้ในสตรีมีครรภ์ ผู้ที่มีภาวะเลือดออก มีประจำเดือนมากผิดปกติ และแผลในกระเพาะอาหาร เนื่องจาก ดอกคำฝอยมีฤทธิ์เป็นยาบำรุงเลือดและช่วยขับประจำเดือน หากรับประทานอาจจะทำให้แท้งบุตรได้ และควรระมัดระวัง เมื่อใช้ร่วมกับยายับยั้งการแข็งตัวของเกร็ดเลือด
http://www.manager.co.th/dhamma/viewnews.aspx?NewsID=9570000012987
http://www.horapa.com/content.php?No=1004
http://www.herblucky.com/?page=Safflower.html&admintool=no
1
Add a comment...
Better Pharmacy Chiang Mai
Shared publicly - 15 Aug 2014
น้ำมันจากดอกคำฝอย สามารถช่วยลดความดันโลหิต และไขมันหรือโคเลสเตอรอลได้
ตำรับยาไทยโบราณได้นำดอกคำฝอยมาเป็นส่วนผสมเพื่อใช้บำรุงโลหิต หรือแก้โลหิตเป็นพิษ แก้อาการอักเสบ ป้องกันโรคไขมันอุดตันในเส้นโลหิตและหัวใจ
แพทย์แผนจีน ระบุว่า ดอกคำฝอยมีรสเผ็ด อุ่น เข้าเส้นหัวใจ ตับ ช่วยให้เลือดหมุนเวียน ขับประจำเดือน สลายลิ่มเลือด รักษาอาการของโรคสตรีทั้งหลายที่เกี่ยวกับเลือด และอาการปวดบวม ฟกช้ำดำเขียว
สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ทำการวิจัยพบว่า ดอกคำฝอยมีฤทธิ์ในการปกป้องเซลล์ตับ
ห้ามใช้ในสตรีมีครรภ์ ผู้ที่มีภาวะเลือดออก มีประจำเดือนมากผิดปกติ และแผลในกระเพาะอาหาร เนื่องจาก ดอกคำฝอยมีฤทธิ์เป็นยาบำรุงเลือดและช่วยขับประจำเดือน หากรับประทานอาจจะทำให้แท้งบุตรได้ และควรระมัดระวัง เมื่อใช้ร่วมกับยายับยั้งการแข็งตัวของเกร็ดเลือด
http://www.manager.co.th/dhamma/viewnews.aspx?NewsID=9570000012987
http://www.horapa.com/content.php?No=1004
http://www.herblucky.com/?page=Safflower.html&admintool=no
ตำรับยาไทยโบราณได้นำดอกคำฝอยมาเป็นส่วนผสมเพื่อใช้บำรุงโลหิต หรือแก้โลหิตเป็นพิษ แก้อาการอักเสบ ป้องกันโรคไขมันอุดตันในเส้นโลหิตและหัวใจ
แพทย์แผนจีน ระบุว่า ดอกคำฝอยมีรสเผ็ด อุ่น เข้าเส้นหัวใจ ตับ ช่วยให้เลือดหมุนเวียน ขับประจำเดือน สลายลิ่มเลือด รักษาอาการของโรคสตรีทั้งหลายที่เกี่ยวกับเลือด และอาการปวดบวม ฟกช้ำดำเขียว
สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ทำการวิจัยพบว่า ดอกคำฝอยมีฤทธิ์ในการปกป้องเซลล์ตับ
ห้ามใช้ในสตรีมีครรภ์ ผู้ที่มีภาวะเลือดออก มีประจำเดือนมากผิดปกติ และแผลในกระเพาะอาหาร เนื่องจาก ดอกคำฝอยมีฤทธิ์เป็นยาบำรุงเลือดและช่วยขับประจำเดือน หากรับประทานอาจจะทำให้แท้งบุตรได้ และควรระมัดระวัง เมื่อใช้ร่วมกับยายับยั้งการแข็งตัวของเกร็ดเลือด
http://www.manager.co.th/dhamma/viewnews.aspx?NewsID=9570000012987
http://www.horapa.com/content.php?No=1004
http://www.herblucky.com/?page=Safflower.html&admintool=no
2
Add a comment...
Better Pharmacy Chiang Mai
Shared publicly - 31 Jul 2014
บารากู่ไฟฟ้าระบาดวัยรุ่น ใส่นิโคตินและสารเคมีปรุงกลิ่น แพทย์เตือนอันตราย
ชุลีพร บุตรโคตร TCIJ 01 สิงหาคม 2557
ปัจจุบันมีการใช้ยาสูบไฟฟ้าในประเทศไทยอยู่ 3 ประเภท คือ บุหรี่ไฟฟ้า บารากู่ไฟฟ้า และซิการ์ไฟฟ้า
บารากู่ไฟฟ้าที่นิยมใช้ในวัยรุ่นไทยมีลักษณะเป็นแท่ง มีแบตเตอรี่ในตัว ภายในแท่งบรรจุแผ่นใยสังเคราะห์ชุบน้ำยาที่มีลักษณะคล้ายน้ำมัน ใส่กลิ่นผลไม้ชนิดต่างๆ มีกลิ่นฉุน เมื่อสูบจะพ่นเป็นไอ
ความแตกต่างระหว่างบุหรี่ไฟฟ้ากับบารากู่ไฟฟ้า อยู่ที่บารากู่ไฟฟ้ามีการเติมสารเคมีที่มีกลิ่นผลไม้ เข้าไปในนิโคตินเหลวที่ใช้กับบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งสารเคมีทุกชนิดล้วนเป็นสารแปลกปลอมที่เป็นอันตรายต่อสุขภา
http://www.tcijthai.com/TCIJ/view.php?ids=4669
ชุลีพร บุตรโคตร TCIJ 01 สิงหาคม 2557
ปัจจุบันมีการใช้ยาสูบไฟฟ้าในประเทศไทยอยู่ 3 ประเภท คือ บุหรี่ไฟฟ้า บารากู่ไฟฟ้า และซิการ์ไฟฟ้า
บารากู่ไฟฟ้าที่นิยมใช้ในวัยรุ่นไทยมีลักษณะเป็นแท่ง มีแบตเตอรี่ในตัว ภายในแท่งบรรจุแผ่นใยสังเคราะห์ชุบน้ำยาที่มีลักษณะคล้ายน้ำมัน ใส่กลิ่นผลไม้ชนิดต่างๆ มีกลิ่นฉุน เมื่อสูบจะพ่นเป็นไอ
ความแตกต่างระหว่างบุหรี่ไฟฟ้ากับบารากู่ไฟฟ้า อยู่ที่บารากู่ไฟฟ้ามีการเติมสารเคมีที่มีกลิ่นผลไม้ เข้าไปในนิโคตินเหลวที่ใช้กับบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งสารเคมีทุกชนิดล้วนเป็นสารแปลกปลอมที่เป็นอันตรายต่อสุขภา
http://www.tcijthai.com/TCIJ/view.php?ids=4669
แพทย์ชี้บุหรี่ไฟฟ้าเป็นอันตรายต่อสุขภาพ พบสารก่อมะเร็งหลายชนิด ระบุวัยรุ่นไทยฮิตใช้บุหรี่ไฟฟ้าในลักษณะของบารากู่ไฟฟ้า สูดไอจากสารเคมีปรุงแต่งกลิ่นผลไม้ ซึ่งอันตรายกว่าบุหรี่ไฟฟ้าปกติ เพราะเติมสารเคมีแปลกปลอมเข้าไปปรุงกลิ่น สูบมากมีผลต่อปอดและระบบหายใจอย่างแน่นอน ขณะสถานการณ์บุหรี่ดั้งเดิมไทยยังคงน่าห่วง หลังรัฐต้องสูญเงินมากว่า 50,000 ล้านบาทในแต่ละปีในการดูแลผู้ป่วยที่มีสาเหตุจากการสูบบุหรี่ คิดเป็นร้อยละ 0.5 ของจีดีพีประเทศ
1
Add a comment...
Better Pharmacy Chiang Mai
Shared publicly - 20 Jun 2014
น้ำมันมะพร้าว กับสูตรความงาม --- รักษาสิว --
ก่อนนอน ล้างหน้าให้สะอาด หยดน้ำมันลงบนบริเวณสิวอักเสบนวดเบาๆ ไม่จำเป็นต้องล้างออก ทำเป็นประจำได้บ่อยเท่าที่ต้องการ
ก่อนนอน ล้างหน้าให้สะอาด หยดน้ำมันลงบนบริเวณสิวอักเสบนวดเบาๆ ไม่จำเป็นต้องล้างออก ทำเป็นประจำได้บ่อยเท่าที่ต้องการ
1
Add a comment...
Better Pharmacy Chiang Mai
Shared publicly - 19 Jun 2014
๑.คนที่เป็นไข้หวัดไข้สูง ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่สุก อาหารที่เย็นมาก หรืออาหารทอด อาหารมัน ซึ่งล้วนแต่ทำให้ย่อยยาก ซึ่งจะทำให้เกิดความร้อนสะสม เปรียบเสมือน “อาหารเชื้อเพลิง” หรือการเติมน้ำมันเข้าไปในกองไฟ
๒. คนที่เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ กระเพาะอาหารเป็นแผล หรือระบบการย่อยไม่ดี ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ ชาแก่ กาแฟ ของเผ็ด ของทอด ของมัน เพราะอาหารเหล่านี้ทำให้เกิดการสะสมความร้อนในร่างกายทำให้โรคหายยาก แนะนำให้กินอาหารปริมาณน้อยแต่บ่อยครั้ง กินอาหารตามเวลา และเป็นอาหารอ่อนย่อยง่าย
๓. คนที่เป็นโรคความดันเลือดสูง โดยเฉพาะในผู้สูงอายุที่มักมีปัญหาหลอดเลือดแข็งตัว (ตามภาวะความเสื่อมของร่างกาย) ทำให้หลอดเลือดเสียความยืดหยุ่น ควรหลีกเลี่ยงอาหารมัน อาหารที่มีโคเลสเตอรอลสูง เช่น หมูสามชั้น ตับ สมอง ถั่ว น้ำมันหมู ไขกระดูก ไข่ปลา โกโก้ น้ำมันเนย รวมทั้งเหล้า เพราะอาหารเหล่านี้จะทำให้เกิดความร้อนชื้นสะสมในร่างกาย(ความชื้นมีผลให้เกิดความหนืดของการไหลเวียนต่อร่างกายทุกระบบความร้อนทำให้ภาวะร่างกายถูกกระตุ้นทำให้ความดันสูง) นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเผ็ด (ฤทธิ์กระตุ้น) หรืออาหารหวานมาก เช่น ลำไย ขนุน ทุเรียน ฯลฯ (คุณสมบัติร้อน) เราคงได้ยินบ่อยๆว่า มีคนที่เป็นโรคความดันสูง แล้วไปกินทุเรียนร่วมกับเหล้า แล้วหมดสติ เสียชีวิต จากภาวะเส้นเลือดในสมองแตกก็สามารถอธิบายได้ด้วยเหตุผลดังกล่าว
๔. คนที่เป็นโรคตับหรือโรคเกี่ยวกับถุงน้ำดี ควรหลีกเลี่ยงอาหารพวกเหล้า เครื่องดื่มแอลกอฮอล์อาหารมัน เนื้อติดมัน เครื่องในสัตว์ อาหารทอดๆ มันๆ อาหารหวานจัด เพราะแผนแพทย์จีนถือว่าตับ ถุงน้ำดี มีความสัมพันธ์กับระบบย่อยอาหาร ซึ่งเป็นระบบพื้นฐานของการรับสารอาหารเพื่อบำรุงเลี้ยงร่างกาย ให้เกิดเลือด พลัง การได้อาหารประเภทดังกล่าวมากเกินไปจะทำให้เกิดความร้อนความชื้น ทำให้สมรรถภาพของการย่อยอาหารอ่อนแอ ซึ่งจะทำให้เกิดโทษต่อตับและถุงน้ำดีอีกต่อหนึ่ง
๕. คนที่เป็นโรคหัวใจ โรคไต หลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มจัด เพราะรสเค็มทำให้มีการเก็บกักน้ำ การไหลเวียนเลือดจะช้า เป็นภาระต่อหัวใจในการทำงานหนักเพิ่มขึ้น ทำให้ไตต้องทำงานขับเกลือแร่มากขึ้น ขณะเดียวกัน อาหารที่มีรสเผ็ดก็ควรหลีกเลี่ยง เพราะมีฤทธิ์กระตุ้นการไหลเวียนทำให้ต้องสูญพลังงานมาก และหัวใจก็ต้องทำงานหนักขึ้น โดยสรุปคือ ต้องลดการทำงานของหัวใจและไต โดยไม่เพิ่มปัจจัยต่างๆที่เป็นโทษเข้าไป
๖. คนที่เป็นโรคเบาหวาน ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสหวาน หรืออาหารประเภทแป้งที่มีแคลอรีสูง เช่น มันฝรั่ง มันเทศ ฯลฯ แนะนำอาหารพวกถั่ว เช่น เต้าหู้ นมวัว เนื้อสันไม่ติดมัน ปลา ผักสด ฯลฯ
๗. คนที่นอนหลับไม่สนิท ควรหลีกเลี่ยงอาหารพวกชา กาแฟ หรือการสูบบุหรี่ โดยเฉพาะเวลาก่อนนอน เพราอาหารเหล่านี้มีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาท ทำให้ไม่ง่วงนอน หรือทำให้หลับไม่สนิท
๘. คนที่เป็นโรคริดสีดวงทวารหรือท้องผูก ต้องหลีกเลี่ยงอาหารประเภท กระเทียม หอม ขิงสด พริกไทย พริก ซึ่งมีฤทธิ์กระตุ้นการไหลเวียนเลือด ทำให้มีความร้อนในตัวสะสมมาก ทำให้ท้องผูก ทำให้เส้นเลือดแตกและอาการริดสีดวงทวารกำเริบ
๙. คนที่มีอาการลมพิษ ผิวหนังอักเสบเรื้อรัง หรือเป็นโรคหอบหืด ควรเลี่ยงเนื้อแพะ เนื้อปลา กุ้ง หอย ปู ไข่ ผลิตภัณฑ์นมหรือสิ่งกระตุ้นอื่นๆ รวมทั้งรสเผ็ด เพราะสารเหล่านี้มีฤทธิ์กระตุ้นและทำให้มีอาการผื่น ผิวหนังกำเริบ
๑๐. คนที่เป็นสิว หรือมีการอักเสบของต่อมไขมัน ควรงดอาหารเผ็ดและอาหารมัน เพราะทำให้สะสมความร้อนชื้นของกระเพาะอาหาร ม้าม มีผลต่อความร้อนชื้นไปอุดตันพลังของปอด (ควบคุมผิวหนัง ขนตามร่างกาย) ทำให้เกิดสิว
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1403065014
๒. คนที่เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ กระเพาะอาหารเป็นแผล หรือระบบการย่อยไม่ดี ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ ชาแก่ กาแฟ ของเผ็ด ของทอด ของมัน เพราะอาหารเหล่านี้ทำให้เกิดการสะสมความร้อนในร่างกายทำให้โรคหายยาก แนะนำให้กินอาหารปริมาณน้อยแต่บ่อยครั้ง กินอาหารตามเวลา และเป็นอาหารอ่อนย่อยง่าย
๓. คนที่เป็นโรคความดันเลือดสูง โดยเฉพาะในผู้สูงอายุที่มักมีปัญหาหลอดเลือดแข็งตัว (ตามภาวะความเสื่อมของร่างกาย) ทำให้หลอดเลือดเสียความยืดหยุ่น ควรหลีกเลี่ยงอาหารมัน อาหารที่มีโคเลสเตอรอลสูง เช่น หมูสามชั้น ตับ สมอง ถั่ว น้ำมันหมู ไขกระดูก ไข่ปลา โกโก้ น้ำมันเนย รวมทั้งเหล้า เพราะอาหารเหล่านี้จะทำให้เกิดความร้อนชื้นสะสมในร่างกาย(ความชื้นมีผลให้เกิดความหนืดของการไหลเวียนต่อร่างกายทุกระบบความร้อนทำให้ภาวะร่างกายถูกกระตุ้นทำให้ความดันสูง) นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเผ็ด (ฤทธิ์กระตุ้น) หรืออาหารหวานมาก เช่น ลำไย ขนุน ทุเรียน ฯลฯ (คุณสมบัติร้อน) เราคงได้ยินบ่อยๆว่า มีคนที่เป็นโรคความดันสูง แล้วไปกินทุเรียนร่วมกับเหล้า แล้วหมดสติ เสียชีวิต จากภาวะเส้นเลือดในสมองแตกก็สามารถอธิบายได้ด้วยเหตุผลดังกล่าว
๔. คนที่เป็นโรคตับหรือโรคเกี่ยวกับถุงน้ำดี ควรหลีกเลี่ยงอาหารพวกเหล้า เครื่องดื่มแอลกอฮอล์อาหารมัน เนื้อติดมัน เครื่องในสัตว์ อาหารทอดๆ มันๆ อาหารหวานจัด เพราะแผนแพทย์จีนถือว่าตับ ถุงน้ำดี มีความสัมพันธ์กับระบบย่อยอาหาร ซึ่งเป็นระบบพื้นฐานของการรับสารอาหารเพื่อบำรุงเลี้ยงร่างกาย ให้เกิดเลือด พลัง การได้อาหารประเภทดังกล่าวมากเกินไปจะทำให้เกิดความร้อนความชื้น ทำให้สมรรถภาพของการย่อยอาหารอ่อนแอ ซึ่งจะทำให้เกิดโทษต่อตับและถุงน้ำดีอีกต่อหนึ่ง
๕. คนที่เป็นโรคหัวใจ โรคไต หลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มจัด เพราะรสเค็มทำให้มีการเก็บกักน้ำ การไหลเวียนเลือดจะช้า เป็นภาระต่อหัวใจในการทำงานหนักเพิ่มขึ้น ทำให้ไตต้องทำงานขับเกลือแร่มากขึ้น ขณะเดียวกัน อาหารที่มีรสเผ็ดก็ควรหลีกเลี่ยง เพราะมีฤทธิ์กระตุ้นการไหลเวียนทำให้ต้องสูญพลังงานมาก และหัวใจก็ต้องทำงานหนักขึ้น โดยสรุปคือ ต้องลดการทำงานของหัวใจและไต โดยไม่เพิ่มปัจจัยต่างๆที่เป็นโทษเข้าไป
๖. คนที่เป็นโรคเบาหวาน ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสหวาน หรืออาหารประเภทแป้งที่มีแคลอรีสูง เช่น มันฝรั่ง มันเทศ ฯลฯ แนะนำอาหารพวกถั่ว เช่น เต้าหู้ นมวัว เนื้อสันไม่ติดมัน ปลา ผักสด ฯลฯ
๗. คนที่นอนหลับไม่สนิท ควรหลีกเลี่ยงอาหารพวกชา กาแฟ หรือการสูบบุหรี่ โดยเฉพาะเวลาก่อนนอน เพราอาหารเหล่านี้มีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาท ทำให้ไม่ง่วงนอน หรือทำให้หลับไม่สนิท
๘. คนที่เป็นโรคริดสีดวงทวารหรือท้องผูก ต้องหลีกเลี่ยงอาหารประเภท กระเทียม หอม ขิงสด พริกไทย พริก ซึ่งมีฤทธิ์กระตุ้นการไหลเวียนเลือด ทำให้มีความร้อนในตัวสะสมมาก ทำให้ท้องผูก ทำให้เส้นเลือดแตกและอาการริดสีดวงทวารกำเริบ
๙. คนที่มีอาการลมพิษ ผิวหนังอักเสบเรื้อรัง หรือเป็นโรคหอบหืด ควรเลี่ยงเนื้อแพะ เนื้อปลา กุ้ง หอย ปู ไข่ ผลิตภัณฑ์นมหรือสิ่งกระตุ้นอื่นๆ รวมทั้งรสเผ็ด เพราะสารเหล่านี้มีฤทธิ์กระตุ้นและทำให้มีอาการผื่น ผิวหนังกำเริบ
๑๐. คนที่เป็นสิว หรือมีการอักเสบของต่อมไขมัน ควรงดอาหารเผ็ดและอาหารมัน เพราะทำให้สะสมความร้อนชื้นของกระเพาะอาหาร ม้าม มีผลต่อความร้อนชื้นไปอุดตันพลังของปอด (ควบคุมผิวหนัง ขนตามร่างกาย) ทำให้เกิดสิว
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1403065014
1
Add a comment...
Better Pharmacy Chiang Mai
Shared publicly - 4 Jun 2014
LAVENDER OIL ของแท้จากอิตาลี มีจำหน่ายแล้วที่ BETTER - เจ็ดยอด
http://affiliate-beauty-store.prositeslab.com/th/199/lavender-oil/
http://affiliate-beauty-store.prositeslab.com/th/199/lavender-oil/
Lavender Lavender has been shown to help people relax and encourage sleep. One study done on elderly residents of a nursing home found that
1
Add a comment...
Better Pharmacy Chiang Mai
Shared publicly - 4 Jun 2014
น้ำมันมะพร้าวยี่ห้อ THAIPURE มีจำหน่ายแล้วที่ BETTER - เจ้ดยอด
Thaipure is the Thai Company achieving the 1st NIA national award for producing Virgin Coconut Oil from fresh coconut milk using state-of-the-art centrifugation technology. Distinct from those other conventional technique, our proprietary innovative processes take only 5 minutes with chemical-free and no heat or fermentation is involved resulting in clear, precipitation-free, mild good-odor premium quality of coconut oil.
Thaipure is the Thai Company achieving the 1st NIA national award for producing Virgin Coconut Oil from fresh coconut milk using state-of-the-art centrifugation technology. Distinct from those other conventional technique, our proprietary innovative processes take only 5 minutes with chemical-free and no heat or fermentation is involved resulting in clear, precipitation-free, mild good-odor premium quality of coconut oil.
1
Add a comment...
No comments:
Post a Comment