สารอาหารที่ช่วยปกป้องสายตา หากเราต้องการมีสุขภาพดวงตาที่ดี เราจำเป็นต้องหันมาใส่ใจดูแลดวงตาอย่างเหมาะสม เพื่อเป็นการรักษาดวงตาให้อยู่กับเราไปนานๆ การรับประทานสารต้านอนุมูลอิสระจะมีส่วนช่วยในการชะลอความเสื่อมของดวงตาได้
1
Add a comment...
ตัวหลักในการเร่งให้จอประสาทตาของคุณเสื่อมก่อนเวลาอันควร ได้แก่
1.การวางคอมพิวเตอร์ไม่เหมาะสม เพื่อลดแสงตกสะท้อนบนหน้าจอ ควรวางจอคอมพิวเตอร์ด้านข้างหน้าต่าง โดยมีระยะห่างระหว่างจอภาพกับตัวเราประมาณ 50-70 ซม. จัดระดับจอภาพจากจุดศูนย์กลางของจอคอมพิวเตอร์ให้อยู่ต่ำกว่าระดับสายตาประมาณ 4-9 นิ้ว ที่สำคัญ ไม่ควรให้จอภาพอยู่สูงหรือต่ำเกินไป
2.ไม่กล้ากำจัดแสงไฟที่รบกวน นอกจากวางคอมพิวเตอร์ถูกตำแหน่งแล้ว ควรปิดไฟบางดวงที่รบกวนการทำงาน เพราะความสว่างที่มากเกินไป มีผลต่อสายตา เพื่อป้องกันแสงที่เข้าตาโดยตรง ควรปิดหรือใช้มู่ลี่เพื่อปรับแสงให้ผ่านได้เพียงบางส่วน
3.เลือกใช้ขนาดตัวอักษรไม่เป็น ตามหลักการพิมพ์งานทุกครั้ง นอกจากเลือกใช้ขนาดของตัวอักษรที่ใหญ่พอแล้ว ควรปรับความเข้มของตัวอักษรให้เหมาะสม โดยสังเกตได้จากการสามารถอ่านตัวอักษรได้ในระยะห่างเป็น 3 เท่าของระยะที่นั่งทำงาน
4.สวมแว่นผิด สีเลนส์ที่ควรเลือกใช้ควรเป็นสีเขียวอ่อน เพราะช่วยให้รู้สึกสบายตาภายใต้แสงจากหลอดไฟฟ้า ฟลูออเรสเซนต์ รวมถึงช่วยลดแสงสะท้อนจากจอภาพ โดยเลือกแว่นตาที่มีกำลังขยายสำหรับระยะ 50-70 ซม. ซึ่งค่ากำลังของเลนส์จะแตกต่างจากเลนส์อ่านหนังสือหรือเลนส์มองใกล้ทั่วไป
5.ลืมกะพริบตาและไม่ยอมลุกจากเก้าอี้ เมื่อมีสมาธิที่จดจ่อขณะทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ ทำให้อัตราการกะพริบตาลดลงจาก 20-22 ครั้งต่อนาที เหลือเพียง 6-8 ครั้งต่อนาที ถ้าไม่อยากตาแห้งหรือต้องใช้น้ำตาเทียมหยอดตาเพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น การกะพริบตาถี่ๆ หรือลุกยืดเส้นยืดสายช่วยได้
วิธีบริหารกล้ามเนื้อตาง่ายๆ ด้วยการกลอกตาขึ้น-ลงช้าๆ 6 ครั้ง โดยให้เหลือบตาขึ้นสูงสุดและลงต่ำสุดในระหว่างการบริหาร เมื่อทำครบแล้วให้กลอกตาไปข้างขวาและซ้ายสลับกัน โดยกลอกตาไปให้ขวาสุดและซ้ายสุด ทำซ้ำ 2-3 ครั้ง จากนั้นชูนิ้วขึ้นมาให้อยู่ในระดับสายตา ห่างจากสายตาประมาณ 8 นิ้ว แล้วจ้องมองไปที่ระยะไกลๆ ประมาณ 10 ฟุต สลับกับใช้ตามองระยะใกล้ที่นิ้วมือใช้เวลามองแต่ละที่ประมาณ 2-3 วินาที ทำสลับไปมา
และท่าบริหารสุดท้ายคือ กลอกตาเป็นวงกลมช้าๆ โดยเริ่มกลอกตาตามเข็มนาฬิกาก่อน แล้วกลอกตาทวนเข็มนาฬิกาสลับไปมา ที่สำคัญคือควรตรวจสุขภาพตาปีละ 1 ครั้ง เพื่อวัดความดันตา ตรวจเช็กจอประสาทตาและความผิดปกติของสายตา
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1456757373
1.การวางคอมพิวเตอร์ไม่เหมาะสม เพื่อลดแสงตกสะท้อนบนหน้าจอ ควรวางจอคอมพิวเตอร์ด้านข้างหน้าต่าง โดยมีระยะห่างระหว่างจอภาพกับตัวเราประมาณ 50-70 ซม. จัดระดับจอภาพจากจุดศูนย์กลางของจอคอมพิวเตอร์ให้อยู่ต่ำกว่าระดับสายตาประมาณ 4-9 นิ้ว ที่สำคัญ ไม่ควรให้จอภาพอยู่สูงหรือต่ำเกินไป
2.ไม่กล้ากำจัดแสงไฟที่รบกวน นอกจากวางคอมพิวเตอร์ถูกตำแหน่งแล้ว ควรปิดไฟบางดวงที่รบกวนการทำงาน เพราะความสว่างที่มากเกินไป มีผลต่อสายตา เพื่อป้องกันแสงที่เข้าตาโดยตรง ควรปิดหรือใช้มู่ลี่เพื่อปรับแสงให้ผ่านได้เพียงบางส่วน
3.เลือกใช้ขนาดตัวอักษรไม่เป็น ตามหลักการพิมพ์งานทุกครั้ง นอกจากเลือกใช้ขนาดของตัวอักษรที่ใหญ่พอแล้ว ควรปรับความเข้มของตัวอักษรให้เหมาะสม โดยสังเกตได้จากการสามารถอ่านตัวอักษรได้ในระยะห่างเป็น 3 เท่าของระยะที่นั่งทำงาน
4.สวมแว่นผิด สีเลนส์ที่ควรเลือกใช้ควรเป็นสีเขียวอ่อน เพราะช่วยให้รู้สึกสบายตาภายใต้แสงจากหลอดไฟฟ้า ฟลูออเรสเซนต์ รวมถึงช่วยลดแสงสะท้อนจากจอภาพ โดยเลือกแว่นตาที่มีกำลังขยายสำหรับระยะ 50-70 ซม. ซึ่งค่ากำลังของเลนส์จะแตกต่างจากเลนส์อ่านหนังสือหรือเลนส์มองใกล้ทั่วไป
5.ลืมกะพริบตาและไม่ยอมลุกจากเก้าอี้ เมื่อมีสมาธิที่จดจ่อขณะทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ ทำให้อัตราการกะพริบตาลดลงจาก 20-22 ครั้งต่อนาที เหลือเพียง 6-8 ครั้งต่อนาที ถ้าไม่อยากตาแห้งหรือต้องใช้น้ำตาเทียมหยอดตาเพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น การกะพริบตาถี่ๆ หรือลุกยืดเส้นยืดสายช่วยได้
วิธีบริหารกล้ามเนื้อตาง่ายๆ ด้วยการกลอกตาขึ้น-ลงช้าๆ 6 ครั้ง โดยให้เหลือบตาขึ้นสูงสุดและลงต่ำสุดในระหว่างการบริหาร เมื่อทำครบแล้วให้กลอกตาไปข้างขวาและซ้ายสลับกัน โดยกลอกตาไปให้ขวาสุดและซ้ายสุด ทำซ้ำ 2-3 ครั้ง จากนั้นชูนิ้วขึ้นมาให้อยู่ในระดับสายตา ห่างจากสายตาประมาณ 8 นิ้ว แล้วจ้องมองไปที่ระยะไกลๆ ประมาณ 10 ฟุต สลับกับใช้ตามองระยะใกล้ที่นิ้วมือใช้เวลามองแต่ละที่ประมาณ 2-3 วินาที ทำสลับไปมา
และท่าบริหารสุดท้ายคือ กลอกตาเป็นวงกลมช้าๆ โดยเริ่มกลอกตาตามเข็มนาฬิกาก่อน แล้วกลอกตาทวนเข็มนาฬิกาสลับไปมา ที่สำคัญคือควรตรวจสุขภาพตาปีละ 1 ครั้ง เพื่อวัดความดันตา ตรวจเช็กจอประสาทตาและความผิดปกติของสายตา
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1456757373
ข่าวไลฟ์สไตล์ต่อการใช้ชีวิตยุคใหม่ ทั้งเกร็ดสุขภาพ อาหาร กีฬา ท่องเที่ยว ศิลปวัฒนธรรม บทสัมภาษณ์คนดัง
1
Add a comment...
รายงานจากวารสารสมาคมแพทย์สหรัฐ ทางจักษุวิทยา (JAMA) เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2556 ได้เฝ้าระวังผู้ป่วยที่ใช้กูลโคซามีนเพื่อหวังผลในการลดอาการข้อเข่าเสื่อม โดยพบว่าหลังกินกูลโคซามีนจะมีภาวะความดันลูกตาสูงขึ้นอย่างชัดเจน และเมื่อหยุดกินความดันก็จะลดลง
กรณีที่แพทย์ที่ยังสั่งจ่ายกลูโคซามีนจะต้องใช้ความระมัดระวัง เนื่องจากผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อมเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุที่มักมีภาวะความดันลูกตาสูงอยู่แล้ว จึงต้องดูว่าผู้ป่วยกลุ่มนี้มีโรคประจำตัวหรือไม่ โดยเฉพาะโรคต้อหินที่ต้องติดตามดูว่ามีภาวะสายตาที่แย่ลงหรือไม่
http://www.hfocus.org/content/2015/07/10419
กรณีที่แพทย์ที่ยังสั่งจ่ายกลูโคซามีนจะต้องใช้ความระมัดระวัง เนื่องจากผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อมเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุที่มักมีภาวะความดันลูกตาสูงอยู่แล้ว จึงต้องดูว่าผู้ป่วยกลุ่มนี้มีโรคประจำตัวหรือไม่ โดยเฉพาะโรคต้อหินที่ต้องติดตามดูว่ามีภาวะสายตาที่แย่ลงหรือไม่
http://www.hfocus.org/content/2015/07/10419
“หมอธีระวัฒน์” เผย รายงานสมาคมแพทย์สหรัฐ จักษุวิทยา ชี้ผลข้างเคียง “กูลโคซามีน” ทำผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อมความดันลูกตาสูง เสี่ยงภาวะต้อหิน-ตาบอด ระบุแพทย์สั่งจ่ายต้องเฝ้าระวังและติดตามผู้ป่วยใกล้ชิด พร้อมระบุงบรักษาพยาบาลมีจำกัด เฉลี่ยใช้ดูแลรักษาคนทั้งประเทศ ควรเลือกใช้ยารักษาโรคโดยตรง ไม่แค่สร้างความรู้สึกว่าดีขึ้น พร้อมยันไม่มีเจตนามุ่งโจมตีบริษัทขาย เพียงแต่แปลและให้ข้อมูลต่อสาธารณะเท่านั้น
1
Add a comment...
โรคจุดภาพชัดเสื่อมมักเกิดขึ้นตามการเสื่อมสภาพของร่างกายตามอายุขัย สามารถพบได้บ่อยขึ้นในคนที่มีอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป จากการมีเส้นเลือดผิดปกติอยู่ใต้จุดภาพชัด ซึ่งจะรั่วซึมและแตกง่าย ทำให้เลือดออกหรือมีน้ำและไขมันรั่วไปสะสมจนเกิดจุดภาพชัดบวม โดยผู้ป่วยจะเริ่มจากมองเห็นภาพตรงกลางบิดเบี้ยว ต่อมาจะเกิดการการทำลายเนื้อเยื่อเซลล์ประสาทตาบริเวณดังกล่าว จนทำให้ผู้ป่วยมองตรงกลางภาพมืดลงในที่สุด ปัจจุบันมียาฉีดเข้าวุ้นตาซึ่งสามารถทำให้ผู้ป่วยกลับมาเห็นภาพชัดเจนขึ้น
วิธีการตรวจง่ายๆ โดยให้ผู้สูงอายุลองปิดตาทีละข้าง แล้วมองในระยะไกลๆ หากมีสายตาผิดปกติ เมื่อมองไปไกลๆ จะพบว่าตาแต่ละข้างนั้นจะเห็นภาพต่างกันหรือมีความชัดเจนของภาพไม่เท่ากัน
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1444126823
วิธีการตรวจง่ายๆ โดยให้ผู้สูงอายุลองปิดตาทีละข้าง แล้วมองในระยะไกลๆ หากมีสายตาผิดปกติ เมื่อมองไปไกลๆ จะพบว่าตาแต่ละข้างนั้นจะเห็นภาพต่างกันหรือมีความชัดเจนของภาพไม่เท่ากัน
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1444126823
ข่าวไลฟ์สไตล์ต่อการใช้ชีวิตยุคใหม่ ทั้งเกร็ดสุขภาพ อาหาร กีฬา ท่องเที่ยว ศิลปวัฒนธรรม บทสัมภาษณ์คนดัง
1
Add a comment...
ii care mega we care วิตามินบำรุงสายตา จากเมก้า วีแคร์ ไอไอแคร์ ขนาด 30 แคปซูล
อาหารเสริมบำรุงสายตา Contains Bilberry extract from ITALY
ขนาดแนะนำในการรับประทาน : ทานครั้งละ 1 แคปซูล วันละ 2 ครั้ง พร้อมมื้ออาหาร
ประโยชน์ที่จะได้รับ : ช่วยฟื้นฟูสภาพดวงตา ลดปัญหาต่างๆในเรื่องสายตา เหมาะอย่างยิ่งในกลุ่มคนที่ใช้สายตามากๆ เช่น นักเรียน นักศึกษา ผู้ที่ต้องอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆติดต่อกัน
ส่วนประกอบใน Mega We care ii care
บิลเบอร์รี่สกัด 25 mg
สารแขวนตะกอนลูติน 15 mg
ลูติน 3 mg
สารแขวนตะกอนเบต้าแคโรทีน 5 mg
ให้เบต้าแคโรทีนและแคโรทีนอยด์อื่นๆ 1.5 mg
เจือสีสังเคราะห์
อาหารเสริมบำรุงสายตา Contains Bilberry extract from ITALY
ขนาดแนะนำในการรับประทาน : ทานครั้งละ 1 แคปซูล วันละ 2 ครั้ง พร้อมมื้ออาหาร
ประโยชน์ที่จะได้รับ : ช่วยฟื้นฟูสภาพดวงตา ลดปัญหาต่างๆในเรื่องสายตา เหมาะอย่างยิ่งในกลุ่มคนที่ใช้สายตามากๆ เช่น นักเรียน นักศึกษา ผู้ที่ต้องอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆติดต่อกัน
ส่วนประกอบใน Mega We care ii care
บิลเบอร์รี่สกัด 25 mg
สารแขวนตะกอนลูติน 15 mg
ลูติน 3 mg
สารแขวนตะกอนเบต้าแคโรทีน 5 mg
ให้เบต้าแคโรทีนและแคโรทีนอยด์อื่นๆ 1.5 mg
เจือสีสังเคราะห์
1
Add a comment...
ในทุกวันดวงตาต้องรับภาระอย่างหนัก ต้องเจอกับสภาพแวดล้อมที่เป็นพิษตลอดวัน แสงแดด ควันพิษ บุหรี่ รวมถึงการอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานาน
สิ่งเหล่านี้กระตุ้นให้ดวงตาเสื่อมเร็วมากกว่าปกติรวมถึงเป็นสาเหตุของอาการและโรคตาต่าง ๆ3
- โรคจอประสาทตาเสื่อม
- โรคต้อกระจก
- ต้อหิน
- ตาแห้ง
ดังนั้นการถนอมและเริ่มต้นดูแลสายตาจึงเป็นสิ่งที่สำคัญและควรลงมือปฏิบัติตั้งแต่วันนี้
"มาปล่อยให้ธรรมชาติเป็นผู้ปกป้องดวงตากันนะคะ"
VISTRA BILBERRY EXTRACT PLUS LUTEIN
มีสารสำคัญอะไรบ้างที่ช่วยดูแลปกป้องดวงตา?
1. บิลเบอร์รี่ (Bilberry) เป็นผลไม้สีน้ำเงินม่วง ตระกูลเดียวกับแบล็คเคอร์แรนท์ ซึ่งมีสาร "แอนโธไซยาโนไซด์ (Anthocyanoside)” ที่จัดเป็นสารประกอบโพลีฟีนอลในกลุ่มของ ฟลาโวนอยด์ โดยมีคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดคือ ปกป้องอนุมูลอิสระที่มาทำลายดวงตา เพิ่มประสิทธิภาพการมองเห็นในที่มืด ทำให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น ลดอาการเมื่อยล้าของดวงตา เพิ่มความแข็งแรงของผนังเส้นเลือดฝอย
2. ลูทีน (Lutein) สารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ ดวงตา ทำหน้าที่ในการป้องกันรังสีจากแสงแดด รวมถึงช่วยลดความเสี่ยงของโรคจอประสาทตาเสื่อม
3. ซีแซนทีน (zeaxanthin) สารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ ร่างกายสร้างเองไม่ได้ ทำหน้าที่กรองแสงที่จะผ่านเข้าสู่จอตาและช่วยลดการสะท้อนของแสง ป้องกันรังสีจากแสงแดดที่เป็นอันตรายต่อดวงตาและจะทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเมื่อทำงานร่วมกับลูทีน
4. เบต้า-แคโรทีน (Beta-carotene) เป็นสารตั้งต้นที่สำคัญของการสร้างวิตามินเอในร่างกาย ช่วยเพิ่มความสามารถในการมองเห็นในตอนกลางคืนได้ดี และยังมีคุณสมบัติในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย
5. วิตามินเอ (Vitamin A)
บำรุงสายตา ป้องกันโรคตามัวตอนกลางคืน (Night Blindness) ช่วยในการสร้างสารที่ใช้ในการมองเห็นพบมากในน้ำมันตับปลา ตับ แครอท มันเทศ
รู้ประโยชน์ของ Bilberry กันแล้วก็อย่าลืมไปหามาติดบ้านกันไว้นะคะ
https://www.facebook.com/VistraClub/photos/a.185274000851.128280.174853160851/10153142632645852/
สิ่งเหล่านี้กระตุ้นให้ดวงตาเสื่อมเร็วมากกว่าปกติรวมถึงเป็นสาเหตุของอาการและโรคตาต่าง ๆ3
- โรคจอประสาทตาเสื่อม
- โรคต้อกระจก
- ต้อหิน
- ตาแห้ง
ดังนั้นการถนอมและเริ่มต้นดูแลสายตาจึงเป็นสิ่งที่สำคัญและควรลงมือปฏิบัติตั้งแต่วันนี้
"มาปล่อยให้ธรรมชาติเป็นผู้ปกป้องดวงตากันนะคะ"
VISTRA BILBERRY EXTRACT PLUS LUTEIN
มีสารสำคัญอะไรบ้างที่ช่วยดูแลปกป้องดวงตา?
1. บิลเบอร์รี่ (Bilberry) เป็นผลไม้สีน้ำเงินม่วง ตระกูลเดียวกับแบล็คเคอร์แรนท์ ซึ่งมีสาร "แอนโธไซยาโนไซด์ (Anthocyanoside)” ที่จัดเป็นสารประกอบโพลีฟีนอลในกลุ่มของ ฟลาโวนอยด์ โดยมีคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดคือ ปกป้องอนุมูลอิสระที่มาทำลายดวงตา เพิ่มประสิทธิภาพการมองเห็นในที่มืด ทำให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น ลดอาการเมื่อยล้าของดวงตา เพิ่มความแข็งแรงของผนังเส้นเลือดฝอย
2. ลูทีน (Lutein) สารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ ดวงตา ทำหน้าที่ในการป้องกันรังสีจากแสงแดด รวมถึงช่วยลดความเสี่ยงของโรคจอประสาทตาเสื่อม
3. ซีแซนทีน (zeaxanthin) สารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ ร่างกายสร้างเองไม่ได้ ทำหน้าที่กรองแสงที่จะผ่านเข้าสู่จอตาและช่วยลดการสะท้อนของแสง ป้องกันรังสีจากแสงแดดที่เป็นอันตรายต่อดวงตาและจะทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเมื่อทำงานร่วมกับลูทีน
4. เบต้า-แคโรทีน (Beta-carotene) เป็นสารตั้งต้นที่สำคัญของการสร้างวิตามินเอในร่างกาย ช่วยเพิ่มความสามารถในการมองเห็นในตอนกลางคืนได้ดี และยังมีคุณสมบัติในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย
5. วิตามินเอ (Vitamin A)
บำรุงสายตา ป้องกันโรคตามัวตอนกลางคืน (Night Blindness) ช่วยในการสร้างสารที่ใช้ในการมองเห็นพบมากในน้ำมันตับปลา ตับ แครอท มันเทศ
รู้ประโยชน์ของ Bilberry กันแล้วก็อย่าลืมไปหามาติดบ้านกันไว้นะคะ
https://www.facebook.com/VistraClub/photos/a.185274000851.128280.174853160851/10153142632645852/
1
Add a comment...
การอยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนานๆ เช่น ทำงานหน้าโต๊ะ ก็มักทำให้กล้ามเนื้อบางส่วนอยู่ในสภาวะที่เกร็ง ทำให้เลือดลมไหลเวียนติดขัด เกิดอาการปวดเมื่อย หรือการใช้ความคิดมากเกินไป ก็จะกระทบการทำงานของม้าม ทำให้ระบบการย่อยและดูดซึมสารอาหารได้ไม่ดี เกิดอาการท้องอืด อาหารไม่ย่อย เวียนศีรษะ ปวดศีรษะ ใจสั่น นอนไม่หลับ เป็นต้น
อาหารที่บำรุงไต หัวใจและเลือด ล้วนแล้วช่วยบำรุงสมองได้ เช่น วอลนัท อัลมอนด์ ถั่วเหลือง ถั่วดำ งาดำ ข้าวหอมนิล แครอท ไข่ หอยทะเล ปลา อาหารทะเลต่างๆ ลำไยแห้ง พุทราจีน โสม ผลหม่อน ฯลฯ ส่วนบางท่านอาจทำงานที่ต้องใช้สายตามาก แพทย์จีนมองว่า การใช้สายตามากไปจะกระทบต่อเลือด มีอาการตาแห้ง ตามัวง่าย จึงควรรับประทานอาหารที่บำรุงเลือด บำรุงสายตาบ้าง เช่น ไข่แดง แครอท ข้าวโพด มันเทศ ถั่วลิสง เม็ดเก๋ากี๊ ผลหม่อน ดอกเก๊กฮวย
ใช้นิ้วมือของมือทั้งสองกดนวดเหมือนเสยผมจากหน้าผากไปท้ายทอย ใช้สองหัวแม่โป้งกดที่บริเวณขมับ นิ้วที่เหลือนวดศีรษะด้านข้างเป็นเส้นตรงจากบนลงล่าง และนวดคลึงที่ขมับตามเข็มหรือทวนเข็มนาฬิกาก็ได้หลายๆรอบ การผ่อนคลายสายตาทำได้โดยนำฝ่ามือทั้งสองถูกันจนร้อน ประคบที่ใบหน้า ถูขึ้นลง จากตรงกลางใบหน้าออกไปด้านข้าง ทำซ้ำหลายๆรอบ กดคลึงเบาๆบริเวณหัวคิ้วและหัวตาทั้งสองข้าง
การทำงานจึงควรมีการพักสมองอย่างน้อยทุกๆ 2ชม. ครั้งละ 10-15นาที โดยเคลื่อนไหวแขนขาตามร่างกาย หายใจเข้าออกลึกๆ หรือหลับตาทำจิตในสงบ หรือฟังเพลงเบาๆสบายๆ จะช่วยลดความตึงเครียด ทำให้การทำงานของสมองซีกซ้ายและขวาสมดุลกันด้วย
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1433301329
อาหารที่บำรุงไต หัวใจและเลือด ล้วนแล้วช่วยบำรุงสมองได้ เช่น วอลนัท อัลมอนด์ ถั่วเหลือง ถั่วดำ งาดำ ข้าวหอมนิล แครอท ไข่ หอยทะเล ปลา อาหารทะเลต่างๆ ลำไยแห้ง พุทราจีน โสม ผลหม่อน ฯลฯ ส่วนบางท่านอาจทำงานที่ต้องใช้สายตามาก แพทย์จีนมองว่า การใช้สายตามากไปจะกระทบต่อเลือด มีอาการตาแห้ง ตามัวง่าย จึงควรรับประทานอาหารที่บำรุงเลือด บำรุงสายตาบ้าง เช่น ไข่แดง แครอท ข้าวโพด มันเทศ ถั่วลิสง เม็ดเก๋ากี๊ ผลหม่อน ดอกเก๊กฮวย
ใช้นิ้วมือของมือทั้งสองกดนวดเหมือนเสยผมจากหน้าผากไปท้ายทอย ใช้สองหัวแม่โป้งกดที่บริเวณขมับ นิ้วที่เหลือนวดศีรษะด้านข้างเป็นเส้นตรงจากบนลงล่าง และนวดคลึงที่ขมับตามเข็มหรือทวนเข็มนาฬิกาก็ได้หลายๆรอบ การผ่อนคลายสายตาทำได้โดยนำฝ่ามือทั้งสองถูกันจนร้อน ประคบที่ใบหน้า ถูขึ้นลง จากตรงกลางใบหน้าออกไปด้านข้าง ทำซ้ำหลายๆรอบ กดคลึงเบาๆบริเวณหัวคิ้วและหัวตาทั้งสองข้าง
การทำงานจึงควรมีการพักสมองอย่างน้อยทุกๆ 2ชม. ครั้งละ 10-15นาที โดยเคลื่อนไหวแขนขาตามร่างกาย หายใจเข้าออกลึกๆ หรือหลับตาทำจิตในสงบ หรือฟังเพลงเบาๆสบายๆ จะช่วยลดความตึงเครียด ทำให้การทำงานของสมองซีกซ้ายและขวาสมดุลกันด้วย
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1433301329
1
Add a comment...
๐ มันเทศ ๐
มันเทศร้อนๆ จากเตา นอกจากจะให้คุณค่ามากด้วยเส้นใยแล้ว ยังช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ ลดอัตราเสี่ยงมะเร็งลำไส้ ช่วยควบคุมน้ำหนัก ลดน้ำตาลในเลือด นอกจากนี้ใบยังมีสารเบต้าแคโรทีนสูงมาก ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ลดน้ำตาล ขับระบายพิษ บำรุงสายตา โดยการกินใบมีหลายอย่างเช่น กินสดคู่กับน้ำพริก หรือนำมาผัดน้ำมันหอย หรือเมนูอื่นตามชอบ
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=824467374305280&id=434693929949295
มันเทศร้อนๆ จากเตา นอกจากจะให้คุณค่ามากด้วยเส้นใยแล้ว ยังช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ ลดอัตราเสี่ยงมะเร็งลำไส้ ช่วยควบคุมน้ำหนัก ลดน้ำตาลในเลือด นอกจากนี้ใบยังมีสารเบต้าแคโรทีนสูงมาก ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ลดน้ำตาล ขับระบายพิษ บำรุงสายตา โดยการกินใบมีหลายอย่างเช่น กินสดคู่กับน้ำพริก หรือนำมาผัดน้ำมันหอย หรือเมนูอื่นตามชอบ
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=824467374305280&id=434693929949295
1
Add a comment...
มารู้จักกับผลไม้ตระกูล เบอร์รี่ ของไทยกันคะ
"ประโยชน์ดีๆ จากเบอร์รี่ไทย"
หากพูดถึง “ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่” เพื่อนๆ จะนึกถึงผลไม้ชนิดใดเป็นอันดับแรกๆคะ สตรอเบอร์รี่ บูลเบอร์รี่หรือราสเบอร์รี่ ที่ส่วนใหญ่จะต้องนำเข้าจากต่างประเทศ แต่ที่จริงแล้วบ้านเราก็มีเบอร์รี่แบบไทยๆ ที่มากด้วยประโยชน์ไม่แพ้ผลไม้นำเข้า แถมยังราคาถูก แล้วบางทีอาจจะหาได้ง่ายใกล้ตัวมากกว่าอีกด้วย งั้นมาดูกันค่ะว่าเรานำเบอร์รี่แบบไทยๆชนิดไหนมากฝากเพื่อนๆ กันบ้าง
1. "ลูกหม่อน"
ลูกหม่อนหรือจะเรียกเก๋ๆ อีกชื่อว่า “มัลเบอร์รี่” รูปทรงเรียวยาวผลที่ยังไม่แก่จัดมีสีแดง รสชาติเปรี้ยว เมื่อสุกจะมีสีแดงเข้มจนดำ รสหวาน จัดเป็นสุดยอดเบอร์รี่ก็ว่าได้เพราะลูกหม่อน 100 กรัม มีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าบลูเบอร์รี่ 2-3 เท่า และจากงานวิจัยพบว่าสารสกัดจากลูกหม่อนสามารถช่วยควบคุมความหิว ควบคุมน้ำหนักได้อีกด้วย
2. "มะยม" แค่ได้ยินชื่อน้ำลายก็สอกันแล้วใช่ไหมคะ มะยมรสเปรี้ยวๆ หวานๆ อมฝาดนิดๆ อุดมไปด้วยวิตามินซี และสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยชะลอวัย และความเสื่อมของเซลล์ต่างๆ ในร่างกายได้ ช่วยให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติและลดการสะสมของเสียในร่างกาย
3. "มะขามป้อม" สมุนไพรหรือผลไม้เพื่อสุขภาพ มีรสฝาดอมเปรี้ยวแต่เมื่อดื่มน้ำตามจะชุ่มคอ แก้กระหาย สรรพคุณที่เด่นชัดของมะขามป้อมคือมีวิตามินซีสูงมาก โดยมะขามป้อม 1 ผล จะมีปริมาณวิตามินซีเท่ากับส้ม 1-2 ผลเลยทีเดียว และมีแร่ธาตุอีกหลายชนิดที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก เป็นต้น ถึงแม้ว่าผลสดจะทานยากเนื่องจากมีรสฝาด วิธีการทานให้อร่อยขึ้นด้วยการผ่าเอาแต่เนื้อมะขามป้อม ปรุงรสด้วยน้ำตาลทราย เกลือและพริกป่น แค่นี้ก็อร่อยลืมเลยล่ะค่ะ
4. "เชอร์รี่ไทย" ผลไม้ลูกเล็กๆ สีแดงสดสวย มีรสชาติ และกลิ่นที่เฉพาะตัวแบบไทยๆ อุดมไปด้วยวิตามินซี วิตามินเอ เบต้าแคโรทีน ไลโคปีน และยังมีสารสำคัญในกลุ่มแอนโทไซยานินซึ่งช่วยลดอาการอักเสบและเจ็บปวดกล้ามเนื้อได้ ช่วยบรรเทาอาการซึมเศร้าได้ ถ้ากินเป็นประจำจะทำให้อารมณ์ดีและกระปรี้กระเปร่า
5. "ลูกหว้า"
ลูกหว้า ผลไม้ที่ได้ยินชื่อบ่อยๆแต่หาทานได้ยาก มีรสชาติออกเปรี้ยวหวานอมฝาดเล็กน้อย ผลสุกจะมีสีม่วงเข้มจนถึงดำคล้ายองุ่น เห็นลูกเล็กๆ แบบนี้แต่มีสารต้านอนุมูลอิสระช่วยชะลอวัย ธาตุเหล็กเสริมสร้างกระดูกและฟัน และช่วยลดอัตราความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจได้ด้วย
6. "ตะขบ"
ตะขบลูกเล็กๆ รสหวานหอม มีใยอาหารสูงช่วยดูดซับคอเลสเตอรอล ลดความเสี่ยงการเป็นมะเร็งและเส้นเลือดอุดตัน พร้อมแร่ธาตุจัดเต็มอย่างโพแทสเซียม แคลเซียม ฟอสฟอรัสที่ช่วยบำรุงกระดูก ตะขบยังมีสารสีแดงอย่างสารไลโคปีน ที่มีอยู่ในมะเขือเทศช่วยต้านอนุมูลอิสระ ปกป้องและชะลอความเสื่อมของเซลล์ไม่ให้แก่เร็ว
7. "มะเม่าหรือหมากเม่า" ผลไม้พื้นบ้านพบมากทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ผลเล็กๆ เกาะกันเป็นพวงคล้ายพวงองุ่น สีแดงสดเมื่อสุกจะแดงเข้มจนดำ นิยมนำมาแปรรูปเป็นน้ำผลไม้ ไวน์และแยม มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงเช่นเดียวกับเบอร์รี่ทั้งหลาย แต่พิเศษตรงที่มีธาตุเหล็กสูงจึงใช้ผลไม้ชนิดนี้ในการรักษาภาวะโลหิตจางและบำรุงเลือดได้ด้วย มีประโยชน์ต่อสุขภาพผู้หญิงอย่างเราๆ มากเลยทีเดียวค่ะ
8. "มะเกี๋ยง" ผลไม้พื้นบ้านทางภาคเหนือ ลักษณะคล้ายลูกหว้าแต่มีขนาดเล็กกว่า มีสีม่วงออกแดง รสเปรี้ยว นอกจากมีวิตามินซีสูงแล้วยังมีสารประกอบฟีนอลิกที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระที่กระตุ้นให้เกิดเซลล์มะเร็ง บำรุงประสาทและช่วยในการดูดซึมวิตามินบี 12
9. "โทงเทงฝรั่ง"
เป็นพืชจำพวกหญ้าจัดเป็นพืชตระกูลมะเขือ พริก มีชื่อเรียกแตกต่างกันในแต่ละท้องถิ่น เช่น บ่าตอมต๊อก (ภาคเหนือ), หญ้าเถาเถง (ภาคกลาง), ปุงปิง (ภาคใต้) ลักษณะเป็นลูกเล็กสีเหลืองสวยแปลกตา เพราะมีกลีบสีน้ำตาลหุ้มอยู่รอบผล มีรสเปรี้ยวอมหวานและกลิ่นหอม อุดมไปด้วยวิตามินซี ช่วยให้สายตาดี ผมสวย ผิวสวย มีวิตามินเอ วิตามินบี และสารแคโรทีนอยย์สูงป้องกันการเกิดเซลล์มะเร็ง และโรคหัวใจอีกด้วย นอกจากหน้าตาสวยแล้วประโยชน์ก็มีมากด้วย
ไม่ว่าจะเป็นผลไม้ไทยหรือต่างประเทศ ต่างก็มีประโยชน์ไม่แพ้กัน และจะให้ดีเลือกทานผลไม้แบบสดๆ ที่ปราศจากน้ำตาลจากการแปรรูปนั้นจะดีที่สุดค่ะ
Cr: dailynews , http://www.sharp-weeclub.com/blog/blog-detail.aspx?id=4&bid=271
"ประโยชน์ดีๆ จากเบอร์รี่ไทย"
หากพูดถึง “ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่” เพื่อนๆ จะนึกถึงผลไม้ชนิดใดเป็นอันดับแรกๆคะ สตรอเบอร์รี่ บูลเบอร์รี่หรือราสเบอร์รี่ ที่ส่วนใหญ่จะต้องนำเข้าจากต่างประเทศ แต่ที่จริงแล้วบ้านเราก็มีเบอร์รี่แบบไทยๆ ที่มากด้วยประโยชน์ไม่แพ้ผลไม้นำเข้า แถมยังราคาถูก แล้วบางทีอาจจะหาได้ง่ายใกล้ตัวมากกว่าอีกด้วย งั้นมาดูกันค่ะว่าเรานำเบอร์รี่แบบไทยๆชนิดไหนมากฝากเพื่อนๆ กันบ้าง
1. "ลูกหม่อน"
ลูกหม่อนหรือจะเรียกเก๋ๆ อีกชื่อว่า “มัลเบอร์รี่” รูปทรงเรียวยาวผลที่ยังไม่แก่จัดมีสีแดง รสชาติเปรี้ยว เมื่อสุกจะมีสีแดงเข้มจนดำ รสหวาน จัดเป็นสุดยอดเบอร์รี่ก็ว่าได้เพราะลูกหม่อน 100 กรัม มีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าบลูเบอร์รี่ 2-3 เท่า และจากงานวิจัยพบว่าสารสกัดจากลูกหม่อนสามารถช่วยควบคุมความหิว ควบคุมน้ำหนักได้อีกด้วย
2. "มะยม" แค่ได้ยินชื่อน้ำลายก็สอกันแล้วใช่ไหมคะ มะยมรสเปรี้ยวๆ หวานๆ อมฝาดนิดๆ อุดมไปด้วยวิตามินซี และสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยชะลอวัย และความเสื่อมของเซลล์ต่างๆ ในร่างกายได้ ช่วยให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติและลดการสะสมของเสียในร่างกาย
3. "มะขามป้อม" สมุนไพรหรือผลไม้เพื่อสุขภาพ มีรสฝาดอมเปรี้ยวแต่เมื่อดื่มน้ำตามจะชุ่มคอ แก้กระหาย สรรพคุณที่เด่นชัดของมะขามป้อมคือมีวิตามินซีสูงมาก โดยมะขามป้อม 1 ผล จะมีปริมาณวิตามินซีเท่ากับส้ม 1-2 ผลเลยทีเดียว และมีแร่ธาตุอีกหลายชนิดที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก เป็นต้น ถึงแม้ว่าผลสดจะทานยากเนื่องจากมีรสฝาด วิธีการทานให้อร่อยขึ้นด้วยการผ่าเอาแต่เนื้อมะขามป้อม ปรุงรสด้วยน้ำตาลทราย เกลือและพริกป่น แค่นี้ก็อร่อยลืมเลยล่ะค่ะ
4. "เชอร์รี่ไทย" ผลไม้ลูกเล็กๆ สีแดงสดสวย มีรสชาติ และกลิ่นที่เฉพาะตัวแบบไทยๆ อุดมไปด้วยวิตามินซี วิตามินเอ เบต้าแคโรทีน ไลโคปีน และยังมีสารสำคัญในกลุ่มแอนโทไซยานินซึ่งช่วยลดอาการอักเสบและเจ็บปวดกล้ามเนื้อได้ ช่วยบรรเทาอาการซึมเศร้าได้ ถ้ากินเป็นประจำจะทำให้อารมณ์ดีและกระปรี้กระเปร่า
5. "ลูกหว้า"
ลูกหว้า ผลไม้ที่ได้ยินชื่อบ่อยๆแต่หาทานได้ยาก มีรสชาติออกเปรี้ยวหวานอมฝาดเล็กน้อย ผลสุกจะมีสีม่วงเข้มจนถึงดำคล้ายองุ่น เห็นลูกเล็กๆ แบบนี้แต่มีสารต้านอนุมูลอิสระช่วยชะลอวัย ธาตุเหล็กเสริมสร้างกระดูกและฟัน และช่วยลดอัตราความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจได้ด้วย
6. "ตะขบ"
ตะขบลูกเล็กๆ รสหวานหอม มีใยอาหารสูงช่วยดูดซับคอเลสเตอรอล ลดความเสี่ยงการเป็นมะเร็งและเส้นเลือดอุดตัน พร้อมแร่ธาตุจัดเต็มอย่างโพแทสเซียม แคลเซียม ฟอสฟอรัสที่ช่วยบำรุงกระดูก ตะขบยังมีสารสีแดงอย่างสารไลโคปีน ที่มีอยู่ในมะเขือเทศช่วยต้านอนุมูลอิสระ ปกป้องและชะลอความเสื่อมของเซลล์ไม่ให้แก่เร็ว
7. "มะเม่าหรือหมากเม่า" ผลไม้พื้นบ้านพบมากทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ผลเล็กๆ เกาะกันเป็นพวงคล้ายพวงองุ่น สีแดงสดเมื่อสุกจะแดงเข้มจนดำ นิยมนำมาแปรรูปเป็นน้ำผลไม้ ไวน์และแยม มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงเช่นเดียวกับเบอร์รี่ทั้งหลาย แต่พิเศษตรงที่มีธาตุเหล็กสูงจึงใช้ผลไม้ชนิดนี้ในการรักษาภาวะโลหิตจางและบำรุงเลือดได้ด้วย มีประโยชน์ต่อสุขภาพผู้หญิงอย่างเราๆ มากเลยทีเดียวค่ะ
8. "มะเกี๋ยง" ผลไม้พื้นบ้านทางภาคเหนือ ลักษณะคล้ายลูกหว้าแต่มีขนาดเล็กกว่า มีสีม่วงออกแดง รสเปรี้ยว นอกจากมีวิตามินซีสูงแล้วยังมีสารประกอบฟีนอลิกที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระที่กระตุ้นให้เกิดเซลล์มะเร็ง บำรุงประสาทและช่วยในการดูดซึมวิตามินบี 12
9. "โทงเทงฝรั่ง"
เป็นพืชจำพวกหญ้าจัดเป็นพืชตระกูลมะเขือ พริก มีชื่อเรียกแตกต่างกันในแต่ละท้องถิ่น เช่น บ่าตอมต๊อก (ภาคเหนือ), หญ้าเถาเถง (ภาคกลาง), ปุงปิง (ภาคใต้) ลักษณะเป็นลูกเล็กสีเหลืองสวยแปลกตา เพราะมีกลีบสีน้ำตาลหุ้มอยู่รอบผล มีรสเปรี้ยวอมหวานและกลิ่นหอม อุดมไปด้วยวิตามินซี ช่วยให้สายตาดี ผมสวย ผิวสวย มีวิตามินเอ วิตามินบี และสารแคโรทีนอยย์สูงป้องกันการเกิดเซลล์มะเร็ง และโรคหัวใจอีกด้วย นอกจากหน้าตาสวยแล้วประโยชน์ก็มีมากด้วย
ไม่ว่าจะเป็นผลไม้ไทยหรือต่างประเทศ ต่างก็มีประโยชน์ไม่แพ้กัน และจะให้ดีเลือกทานผลไม้แบบสดๆ ที่ปราศจากน้ำตาลจากการแปรรูปนั้นจะดีที่สุดค่ะ
Cr: dailynews , http://www.sharp-weeclub.com/blog/blog-detail.aspx?id=4&bid=271
'ประโยชน์ดีๆ จากเบอร์รี่ไทย' พบกับเรื่องราวดีๆใน SHARP WEE Club คลับคนรักอาหารแบบมีสไตล์ ที่ http://www.sharp-weeclub.com/blog/blog-detail.aspx?id=4&bid=271
1
Add a comment...
`ปลาสวาย` สุดยอดปลาน้ำจืดมีโอเมก้า 3 สูง
"ปลาสวาย" เป็นปลาน้ำจืดที่มีโอเมก้า3 สูงถึง 2,570 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนัก 100 กรัม มากกว่าปลาทะเล อย่างปลาแซลมอนที่มีโอเมก้า 3 ราว ๆ 1,000-1,700 มิลลิกรัมเท่านั้น ทำให้เราไม่ต้องไปซื้อปลาทะเลแพงๆรับประทาน เราก็ได้กรดไขมันโอเมก้า 3 ได้เหมือนกัน
โดยส่วนใหญ่พอได้ยินคำว่า "โอเมก้า 3" เราก็มักจะนึกถึงกรดไขมันชั้นดีที่มีอยู่ในปลาทะเล อย่าง ปลาแซลมอน ปลาเทราต์ ปลาซาร์ดีน ปลาทูน่า ปลาแมคคาเรล ซึ่งปลาเหล่านี้เป็นปลาที่นำเข้าจากต่างประเทศและมีราคาค่อนข้างสูง จึงไม่ค่อยมีใครนึกถึงปลาน้ำจืดของไทย ว่าจริงๆแล้วก็มีปลาบางชนิดที่มีกรดไขมันโอเมก้า 3 สูงไม่แพ้ปลาทะเลจากเมืองนอกเลย
นอกจากนี้ปลาช่อน ยังมีโอเมก้า3 สูง ถึง 870 มิลลิกรัมต่อน้ำหนัก 100 กรัม รวมทั้งปลากะพงขาว มีโอเมก้า3 ประมาณ 310 มิลลิกรัมต่อน้ำหนัก 100 กรัม และที่สำคัญหาซื้อง่าย แถมราคายังถูกกว่าปลาทะเลน้ำลึกอีกด้วย โอเมก้า3 มีดีอย่างไรต่อร่างกาย
ป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด เพราะโอเมก้า 3 จะช่วยป้องกันการสะสมของไขมันอิ่มตัว หรือคอเลสเตอรอล ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้หลอดเลือดอุดตัน บำรุงสมอง เพราะกรดไขมัน DHA ในโอเมก้า3 จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของสมองในส่วนความจำ การเรียนรู้ ความสามารถของสมอง อารมณ์ และพฤติกรรม
ดังนั้นที่เขาว่ายิ่งทานปลายิ่งฉลาด ก็น่าจะเพราะเหตุผลข้อนี้ล่ะค่ะ บำรุงระบบประสาทและสายตา เพราะโอเมก้า3 เป็นกรดไขมันที่จำเป็นต่อการสร้างผนังเซลล์กรด EPA ในน้ำมันปลา มีบทบาทสำคัญในการรักษาโรคซึมเศร้า อาการขาดสมาธิ นอนไม่หลับ
ที่มา : เว็บไซต์โพสต์ทูเดย์
https://www.facebook.com/OuayUn/photos/np.43478738.100001347435988/890959520925538/
"ปลาสวาย" เป็นปลาน้ำจืดที่มีโอเมก้า3 สูงถึง 2,570 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนัก 100 กรัม มากกว่าปลาทะเล อย่างปลาแซลมอนที่มีโอเมก้า 3 ราว ๆ 1,000-1,700 มิลลิกรัมเท่านั้น ทำให้เราไม่ต้องไปซื้อปลาทะเลแพงๆรับประทาน เราก็ได้กรดไขมันโอเมก้า 3 ได้เหมือนกัน
โดยส่วนใหญ่พอได้ยินคำว่า "โอเมก้า 3" เราก็มักจะนึกถึงกรดไขมันชั้นดีที่มีอยู่ในปลาทะเล อย่าง ปลาแซลมอน ปลาเทราต์ ปลาซาร์ดีน ปลาทูน่า ปลาแมคคาเรล ซึ่งปลาเหล่านี้เป็นปลาที่นำเข้าจากต่างประเทศและมีราคาค่อนข้างสูง จึงไม่ค่อยมีใครนึกถึงปลาน้ำจืดของไทย ว่าจริงๆแล้วก็มีปลาบางชนิดที่มีกรดไขมันโอเมก้า 3 สูงไม่แพ้ปลาทะเลจากเมืองนอกเลย
นอกจากนี้ปลาช่อน ยังมีโอเมก้า3 สูง ถึง 870 มิลลิกรัมต่อน้ำหนัก 100 กรัม รวมทั้งปลากะพงขาว มีโอเมก้า3 ประมาณ 310 มิลลิกรัมต่อน้ำหนัก 100 กรัม และที่สำคัญหาซื้อง่าย แถมราคายังถูกกว่าปลาทะเลน้ำลึกอีกด้วย โอเมก้า3 มีดีอย่างไรต่อร่างกาย
ป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด เพราะโอเมก้า 3 จะช่วยป้องกันการสะสมของไขมันอิ่มตัว หรือคอเลสเตอรอล ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้หลอดเลือดอุดตัน บำรุงสมอง เพราะกรดไขมัน DHA ในโอเมก้า3 จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของสมองในส่วนความจำ การเรียนรู้ ความสามารถของสมอง อารมณ์ และพฤติกรรม
ดังนั้นที่เขาว่ายิ่งทานปลายิ่งฉลาด ก็น่าจะเพราะเหตุผลข้อนี้ล่ะค่ะ บำรุงระบบประสาทและสายตา เพราะโอเมก้า3 เป็นกรดไขมันที่จำเป็นต่อการสร้างผนังเซลล์กรด EPA ในน้ำมันปลา มีบทบาทสำคัญในการรักษาโรคซึมเศร้า อาการขาดสมาธิ นอนไม่หลับ
ที่มา : เว็บไซต์โพสต์ทูเดย์
https://www.facebook.com/OuayUn/photos/np.43478738.100001347435988/890959520925538/
1
Add a comment...
ปัจจุบันมีผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับดวงตามากกว่าร้อยละ 80 สาเหตุมาจากการได้รับรังสียูวี (UV) 400, ยูวีเอ (UVA) 1 และแสงสีฟ้า จากการจ้องมองคอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน เป็นเวลานานเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 8 ชั่วโมงต่อวัน
พฤติกรรมที่พบส่วนใหญ่คือ ช่วงเวลาก่อนนอนจะหยิบสมาร์ทโฟนมาเล่นในขณะที่ปิดไฟแล้ว ซึ่งเป็นส่วนที่เร่งให้มีอาการทางสายตาเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ อันตรายจากแสงยูวี แสงสีฟ้าที่อยู่ในจอคอมพิวตอร์ สมาร์ทโฟน และแท็บเล็ต จะทำลายดวงตาเมื่อจ้องเป็นเวลานาน เนื่องการกะพริบตาจะน้อยลง
การเพ่งมองเป็นเวลานานจะทำให้ตาแห้ง แสบตา ส่งผลให้การมองเห็นเริ่มผิดปกติ เห็นภาพซ้อน ภาพไม่ชัด พร่ามัว ปวดเบ้าตา กล้ามเนื้อตาอ่อนล้า คลื่นไส้ อาเจียน ซึ่งเป็นอาการเริ่มต้นของโรคคอมพิวเตอร์วิชชั่นซินโดรม และเป็นส่วนที่ทำให้เกิดต้อเนื้อ ต้อลม และจอประสาทตาเสื่อม
ปรับค่าความสว่างให้เหมาะสมเมื่อต้องใช้คอมพิวเตอร์ ควรพักสายตาทุก 1-2 ชั่วโมง ประมาณ 5 นาที ใช้วิธีการมองไกล หรือเปลี่ยนอิริยาบถทำกิจกรรมอย่างอื่น
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1412316402
พฤติกรรมที่พบส่วนใหญ่คือ ช่วงเวลาก่อนนอนจะหยิบสมาร์ทโฟนมาเล่นในขณะที่ปิดไฟแล้ว ซึ่งเป็นส่วนที่เร่งให้มีอาการทางสายตาเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ อันตรายจากแสงยูวี แสงสีฟ้าที่อยู่ในจอคอมพิวตอร์ สมาร์ทโฟน และแท็บเล็ต จะทำลายดวงตาเมื่อจ้องเป็นเวลานาน เนื่องการกะพริบตาจะน้อยลง
การเพ่งมองเป็นเวลานานจะทำให้ตาแห้ง แสบตา ส่งผลให้การมองเห็นเริ่มผิดปกติ เห็นภาพซ้อน ภาพไม่ชัด พร่ามัว ปวดเบ้าตา กล้ามเนื้อตาอ่อนล้า คลื่นไส้ อาเจียน ซึ่งเป็นอาการเริ่มต้นของโรคคอมพิวเตอร์วิชชั่นซินโดรม และเป็นส่วนที่ทำให้เกิดต้อเนื้อ ต้อลม และจอประสาทตาเสื่อม
ปรับค่าความสว่างให้เหมาะสมเมื่อต้องใช้คอมพิวเตอร์ ควรพักสายตาทุก 1-2 ชั่วโมง ประมาณ 5 นาที ใช้วิธีการมองไกล หรือเปลี่ยนอิริยาบถทำกิจกรรมอย่างอื่น
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1412316402
1
Add a comment...
ผักบุ้งยังมีคุณค่าทางโภชนาการสูงอีกด้วยเช่นธาตุเหล็กแคลเซียม และฟอสฟอรัส มีสูงกว่าผักชนิดอื่นๆ ทั้งยังมีวิตามินเอและซีมากด้วย คนไทยเชื่อว่าผักบุ้งช่วยบำรุงสายตา(กินผักบุ้งแล้วตาหวาน)น่าจะเป็นความจริง เพราะผักบุ้งมีวิตามินเอและคาโรทีนอยด์ซึ่งเปลี่ยนเป็นวิตามินเอได้อยู่สูง
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1403058180
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1403058180
1
Add a comment...
คนไทยป่วยเทคโนโลยีซินโดรมมากขึ้น พุ่งสูงทุกกลุ่มอายุ ตั้งแต่เด็กยันแก่ เหตุจิ้มสมาร์ทโฟน เล่นแท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ แนะสังเกต 3 อาการหลัก เผยงานวิจัยไต้หวันระบุชัดนอนพักผ่อนช่วยรักษาได้ ด้านไทยใช้ประคบเย็นช่วยรักษาได้ดี
“การประคบเย็นทำได้โดยนำผ้าไปแช่ในตู้เย็น หรือชุบน้ำเย็นมาวางทาบโดยไม่ต้องกด ขยี้ หรือคลึง ซึ่งการวางผ้านั้นให้วางตั้งแต่ขมับซ้ายมาขมับขวาทาบทับหน้าผาก ตา และจมูก จนกว่าผ้าจะแห้งหลังจากนั้นก็ให้นำผ้ามาชุบน้ำเย็นต่อ ซึ่งต้องทำติดต่อกันประมาณ 20 นาที และทำวันละ 2 ครั้ง จะช่วยให้อาการดีขึ้น หรือแม้แต่คนที่ทำงานหลังเที่ยง เมื่อรับประทานอาหารเสร็จก็มาทำประคบเย็นจะดีที่สุด
สำหรับการป้องกันนั้นเบื้องต้นสามารถทำได้ด้วยการใช้เวลาทำงาน เล่นเกมผ่านสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต และคอมพิวเตอร์ เพียง 25-30 นาทีในแต่ละช่วง และให้พักสายตาประมาณ 1-5 นาที เพื่อเป็นการพักผ่อนสายตา และนอนหลับพักผ่อนไม่น้อยกว่าวันละ 7 ชั่วโมง
http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000110760
“การประคบเย็นทำได้โดยนำผ้าไปแช่ในตู้เย็น หรือชุบน้ำเย็นมาวางทาบโดยไม่ต้องกด ขยี้ หรือคลึง ซึ่งการวางผ้านั้นให้วางตั้งแต่ขมับซ้ายมาขมับขวาทาบทับหน้าผาก ตา และจมูก จนกว่าผ้าจะแห้งหลังจากนั้นก็ให้นำผ้ามาชุบน้ำเย็นต่อ ซึ่งต้องทำติดต่อกันประมาณ 20 นาที และทำวันละ 2 ครั้ง จะช่วยให้อาการดีขึ้น หรือแม้แต่คนที่ทำงานหลังเที่ยง เมื่อรับประทานอาหารเสร็จก็มาทำประคบเย็นจะดีที่สุด
สำหรับการป้องกันนั้นเบื้องต้นสามารถทำได้ด้วยการใช้เวลาทำงาน เล่นเกมผ่านสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต และคอมพิวเตอร์ เพียง 25-30 นาทีในแต่ละช่วง และให้พักสายตาประมาณ 1-5 นาที เพื่อเป็นการพักผ่อนสายตา และนอนหลับพักผ่อนไม่น้อยกว่าวันละ 7 ชั่วโมง
http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000110760
1
Add a comment...
5 โรคฮิต คนคลั่งแชท
1) โรคเศร้าจากเฟซบุ้ก
2) ละเมอแชท (Sleep - Texting)
3) โรควุ้นในตาเสื่อม เกิดขึ้นจากการใช้สายตาที่มากจนเกินไป เวลามองจะเห็นภาพเป็นคราบดำๆ คล้ายหยากใย่
4) โนโมโฟเบีย (Nomophobia) โรคหวาดกลัวการไม่มีมือถือใช้ติดต่อสื่อสาร
5) สมาร์ทโฟนเฟซ (Smartphone face) โรคที่เกิดจากการก้มลงมองและจ้องไปที่สมาร์ทโฟน หรือแทปเลตมากจนเกินไป เหตุนี้เองจึงทำให้เกิดการยืดของเส้นใยอิลาสติกบนใบหน้าทำให้แก้มบริเวณกรามเกิดการย้อยลงมา ส่วนกล้ามเนื้อบริเวณมุมปากจะตกไปทางคาง
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1381165480
1) โรคเศร้าจากเฟซบุ้ก
2) ละเมอแชท (Sleep - Texting)
3) โรควุ้นในตาเสื่อม เกิดขึ้นจากการใช้สายตาที่มากจนเกินไป เวลามองจะเห็นภาพเป็นคราบดำๆ คล้ายหยากใย่
4) โนโมโฟเบีย (Nomophobia) โรคหวาดกลัวการไม่มีมือถือใช้ติดต่อสื่อสาร
5) สมาร์ทโฟนเฟซ (Smartphone face) โรคที่เกิดจากการก้มลงมองและจ้องไปที่สมาร์ทโฟน หรือแทปเลตมากจนเกินไป เหตุนี้เองจึงทำให้เกิดการยืดของเส้นใยอิลาสติกบนใบหน้าทำให้แก้มบริเวณกรามเกิดการย้อยลงมา ส่วนกล้ามเนื้อบริเวณมุมปากจะตกไปทางคาง
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1381165480
ใน ปัจจุบัน การติดต่อสื่อสารผ่าน เฟซบุ้ก ไลน์ วอทแอพ และวีแชต ฯลฯ ผ่านสมาร์ทดฟน แทปเล็ต และโน้ตบุ้คได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเรามากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นและคนทำงาน นอกจากความทันสมัย ฉับไว ด้านข้อมูลข่าวสาร ยังมีภัยสำหรับคนคลั่งแชทที่อาจเกิดกับคุณอยู่ตอนนี้ก็ได้ ไปดูว่ามีโรคอะไรกันบ้าง
1
Add a comment...
สายตาเอียง คือ ภาวะการมองเห็นภาพไม่ชัดอันเกิดจากรูปร่างของกระจกตาผิดปกติซึ่งเบี่ยงเบนการหักเหของแสงไม่ให้ตกกระทบตรงจุดโฟกัสของกระจกตาส่งผลให้ภาพที่มองเห็นนั้นไม่ชัดหรือเบลอ ทั้งในระยะใกล้และไกล อาจก่อให้เกิดอาการปวดหัว เวียนศีรษะ เมื่อต้องอ่านหนังสือหรือใช้สายตาเป็นเวลานานๆ ทำให้สายตาล้าง่ายกว่าปกติ และที่อันตรายกว่าคือ อาจเกิดปัญหาจากแสงรบกวน เมื่อขับรถในเวลากลางคืน
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1372650390
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1372650390
หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ : ข่าวการเงิน ตลาด รถยนต์ พร็อพเพอร์ตี้ ไอซีที ท่องเที่ยว ต่างประเทศ เศรษฐกิจในประเทศ พร็อพเพอร์ตี้
1
Add a comment...
คุณค่าของผลไม้ตระกูลเบอร์รี่
สตอเบอร์รี่ อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการสูงและให้แคลอรี่ต่ำ มีวิตามินซีสูง ที่สำคัญคือผลสตรอเบอร์รี่มีสารแอนโธไซยานินเป็นแหล่งรวมของสารสีแดง ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณที่มากกว่าผลไม้ชนิดอื่น เส้นใยอาหารของสตอเบอร์รี่ ช่วยลดระดับคลอเลสเตอรอลและความเสี่ยงมะเร็งลำไส้แถมยังช่วยเสริมสร้างการทำงานของระบบการย่อยอาหารและการขับถ่ายให้ดีขึ้น
บลูเบอร์รี่ มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากเต็มเปี่ยมไปด้วยวิตามิน C และ วิตามิน E อยู่มากถ้าทานบลูเบอร์รี่ เป็นประจำจะช่วยบำรุงสายตาและบำรุงจอรับภาพ ผลไม้กลมๆ เล็กๆ สีน้ำม่วงเข้มอย่างเจ้าบลูเบอร์รี่นี้มีสาร anti-oxidant อยู่ในระดับสูงสาร anti-oxidant นั้น เป็นสารเคมีที่ต่อต้านการอักเสบและช่วยป้องกันการเสื่อมของร่างกาย ต่อต้านอนุมูลอิสระสู้ภาวะการแก่ตัวหรือชะลอความแก่ได้เป็นอย่างดี
แครนเบอร์รี่ เป็นหนึ่งในผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ มีผลเล็กๆ สีแดงสด รสชาติหวานๆ อมเปรี้ยว เพาะปลูกในแถบประเทศอเมริกา และแคนาดา แครนเบอร์รี่ มีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายอย่าง โดยเฉพาะใครที่ชอบอั้นปัสสาวะ จนเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบแล้วละก็ แครนเบอร์รี่ช่วยได้ เพราะในผลไม้ลูกเล็กๆ สีแดงๆ นี้มีฤทธิ์ฆ่าแบคทีเรีย และมีสารแทนนิน ที่ช่วยหยุดการเกาะตัวของแบคทีเรียอี โคไล ที่บริเวณผนังทางเดินปัสสาวะได้ด้วย ใครที่กำลังเป็นโรคปัสสาวะอักเสบลองดื่มน้ำแครนเบอร์รี่เข้มข้น ไม่มีน้ำตาลแก้วละ 250 มิลลิลิตรทุกวัน วันละ 3 แก้วจะช่วยบรรเทา และเป็นอีก 1 วิธีที่ช่วยป้องกันไม่ให้กลับมาเป็นโรคนี้ได้อีก
ราสเบอร์รี่ เมื่อย้อนกลับไปในยุคกรีก และโรมัน ราสเบอร์รี่ถูกนำมาใช้เป็นทั้งอาหารและยารักษาโรค ราสเบอร์รี่มีธาตุ โพแทสเซียม และเส้นใยอาหารสูง มีวิตามินเคหรือ ไบโอฟลาโวนอยด์ ที่ช่วยในการแข็งตัวของเเลือด และยังมีแมงกานีส ที่ช่วยในการทำงานของปฏิกิริยาเคมีในร่างกาย สารสีแดงในราสเบอร์รี่มีคุณสมบัติช่วยในการหมุนเวียนโลหิตดีขึ้น มีผลต่อช่วยให้ ระบบการทำงานของประสาททำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เชอร์รี่ ที่เราเห็นบ่อยบนยอดสุดของไอศกรีม รสชาติหวานหอมกรุบกรอบ เชอร์รีเป็นผลไม้ที่มีโพแทสเซียมในปริมาณสูง ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการสร้างความสมดุลกับโวเดียมทำให้ความดันโลหิตเป็นปกติ ระบบไหลเวียนโลหิตดี นอกจากนี้ เชอร์รียังมีวิตามิน c ช่วยรักษาแผล ป้องกันโรคลักปิดลักเปิดอีกด้วย เมื่อตัวเลขของอายุเริ่มมากขึ้นเราควรเลือกหาเชอร์รีมารับประทานกันบ่อยๆ เพราะจะช่วยลดระดับกรดยูริกในเลือดป้องกันการเกิดโรคเกาต์ หรืออาการปวดตามข้อได้
ในช่วงวัยของเราต้องการอาหารและผลไม้ที่มีประโยชน์เข้าไปช่วยเสริมสร้างให้ระบบภายในร่างกายของเราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและช่วยซ่อมแซมสิ่งที่สึกหล่อ ตระกูลผลไม้เบอร์รี่ ก็เป็นอีก 1 ทางเลือกของผลไม้ดีมีประโยชน์ให้เราได้เลือกรับประทาน ในหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นแยม น้ำสกัดเข้มข้น หรืออบแห้ง ว่าแล้วเย็นนี้ก็กลับไปซื้อ เบอร์รี่เก็บไว้ใส่ตู้เย็นทานกันดีกว่า
สตอเบอร์รี่ อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการสูงและให้แคลอรี่ต่ำ มีวิตามินซีสูง ที่สำคัญคือผลสตรอเบอร์รี่มีสารแอนโธไซยานินเป็นแหล่งรวมของสารสีแดง ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณที่มากกว่าผลไม้ชนิดอื่น เส้นใยอาหารของสตอเบอร์รี่ ช่วยลดระดับคลอเลสเตอรอลและความเสี่ยงมะเร็งลำไส้แถมยังช่วยเสริมสร้างการทำงานของระบบการย่อยอาหารและการขับถ่ายให้ดีขึ้น
บลูเบอร์รี่ มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากเต็มเปี่ยมไปด้วยวิตามิน C และ วิตามิน E อยู่มากถ้าทานบลูเบอร์รี่ เป็นประจำจะช่วยบำรุงสายตาและบำรุงจอรับภาพ ผลไม้กลมๆ เล็กๆ สีน้ำม่วงเข้มอย่างเจ้าบลูเบอร์รี่นี้มีสาร anti-oxidant อยู่ในระดับสูงสาร anti-oxidant นั้น เป็นสารเคมีที่ต่อต้านการอักเสบและช่วยป้องกันการเสื่อมของร่างกาย ต่อต้านอนุมูลอิสระสู้ภาวะการแก่ตัวหรือชะลอความแก่ได้เป็นอย่างดี
แครนเบอร์รี่ เป็นหนึ่งในผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ มีผลเล็กๆ สีแดงสด รสชาติหวานๆ อมเปรี้ยว เพาะปลูกในแถบประเทศอเมริกา และแคนาดา แครนเบอร์รี่ มีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายอย่าง โดยเฉพาะใครที่ชอบอั้นปัสสาวะ จนเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบแล้วละก็ แครนเบอร์รี่ช่วยได้ เพราะในผลไม้ลูกเล็กๆ สีแดงๆ นี้มีฤทธิ์ฆ่าแบคทีเรีย และมีสารแทนนิน ที่ช่วยหยุดการเกาะตัวของแบคทีเรียอี โคไล ที่บริเวณผนังทางเดินปัสสาวะได้ด้วย ใครที่กำลังเป็นโรคปัสสาวะอักเสบลองดื่มน้ำแครนเบอร์รี่เข้มข้น ไม่มีน้ำตาลแก้วละ 250 มิลลิลิตรทุกวัน วันละ 3 แก้วจะช่วยบรรเทา และเป็นอีก 1 วิธีที่ช่วยป้องกันไม่ให้กลับมาเป็นโรคนี้ได้อีก
ราสเบอร์รี่ เมื่อย้อนกลับไปในยุคกรีก และโรมัน ราสเบอร์รี่ถูกนำมาใช้เป็นทั้งอาหารและยารักษาโรค ราสเบอร์รี่มีธาตุ โพแทสเซียม และเส้นใยอาหารสูง มีวิตามินเคหรือ ไบโอฟลาโวนอยด์ ที่ช่วยในการแข็งตัวของเเลือด และยังมีแมงกานีส ที่ช่วยในการทำงานของปฏิกิริยาเคมีในร่างกาย สารสีแดงในราสเบอร์รี่มีคุณสมบัติช่วยในการหมุนเวียนโลหิตดีขึ้น มีผลต่อช่วยให้ ระบบการทำงานของประสาททำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เชอร์รี่ ที่เราเห็นบ่อยบนยอดสุดของไอศกรีม รสชาติหวานหอมกรุบกรอบ เชอร์รีเป็นผลไม้ที่มีโพแทสเซียมในปริมาณสูง ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการสร้างความสมดุลกับโวเดียมทำให้ความดันโลหิตเป็นปกติ ระบบไหลเวียนโลหิตดี นอกจากนี้ เชอร์รียังมีวิตามิน c ช่วยรักษาแผล ป้องกันโรคลักปิดลักเปิดอีกด้วย เมื่อตัวเลขของอายุเริ่มมากขึ้นเราควรเลือกหาเชอร์รีมารับประทานกันบ่อยๆ เพราะจะช่วยลดระดับกรดยูริกในเลือดป้องกันการเกิดโรคเกาต์ หรืออาการปวดตามข้อได้
ในช่วงวัยของเราต้องการอาหารและผลไม้ที่มีประโยชน์เข้าไปช่วยเสริมสร้างให้ระบบภายในร่างกายของเราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและช่วยซ่อมแซมสิ่งที่สึกหล่อ ตระกูลผลไม้เบอร์รี่ ก็เป็นอีก 1 ทางเลือกของผลไม้ดีมีประโยชน์ให้เราได้เลือกรับประทาน ในหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นแยม น้ำสกัดเข้มข้น หรืออบแห้ง ว่าแล้วเย็นนี้ก็กลับไปซื้อ เบอร์รี่เก็บไว้ใส่ตู้เย็นทานกันดีกว่า
1
Add a comment...
เบาหวาน โรคเบาหวาน ข้อแนะนำ และการป้องกัน - เส้นทางสุขภาพ - http://www.yourhealthyguide.com/article/ad-diabetes-1-2.html
ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เช่น เดินเร็ว วิ่งเหยาะ ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ หรือทำงานออกแรงกายให้มาก ควรทำในปริมาณพอๆ กันทุกวัน อย่าหักโหม ทั้งการควบคุมอาหาร และการออกกำลัง ควรให้เกิดความพอเหมาะ ที่จะช่วยควบคุมน้ำหนักตัว ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
•
ควรเลิกสูบบุหรี่โดยเด็ดขาด มิเช่นนั้น อาจทำให้ผนังหลอดเลือดแดงแข็งเร็วขึ้น ซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคแทรกซ้อนต่างๆ
•
หมั่นดูแลรักษาเท้า ดังนี้
1. ทำความสะอาดเท้า และดูแลผิวหนังทุกวัน เวลาอาบน้ำ ควรล้างและฟอกสบู่ ตามซอกนิ้วเท้า และส่วนต่างๆ ของเท้าอย่างทั่วถึง หลังล้างเท้าเรียบร้อยแล้ว ซับทุกส่วน โดยเฉพาะบริเวณซอก\นิ้วเท้า ให้แห้งด้วยผ้าขนหนู ระวังอย่าเช็ดแรงเกินไป เพราะผิวหนังอาจถลอกเป็นแผลได้
2. ถ้าผิวหนังที่เท้าแห้งเกินไป ควรใช้ครีมทาผิวทาบางๆ โดยเว้นบริเวณ ซอกนิ้วเท้า และรอบเล็บเท้า
3. ตรวจเท้าอย่างละเอียดทุกวัน โดยเฉพาะบริเวณซอกนิ้วเท้า ฝ่าเท้าบริเวณที่เป็นจุดรับน้ำหนัก และรอบเล็บเท้า เพื่อดูว่ามีรอยช้ำ บาดแผล หรือการอักเสบหรือไม่ หากมีแผลที่เท้า ต้องรีบไปพบแพทย์ทันที
4. การตัดเล็บ ควรตัดด้วยความระมัดระวัง เพื่อป้องกันมิให้เกิดเล็บขบ ซึ่งอาจลุกลาม และเป็นสาเหตุ ของการถูกตัดขาได้
- ควรตัดเล็บในแนวตรงๆ และอย่าให้สั้นชิดผิวหนังจนเกินไป
- ไม่ควรใช้วัตถุแข็งแคะซอกเล็บ
- การตัดเล็บ ควรทำหลังล้างเท้า หรืออาบน้ำใหม่ๆ เพราะเล็บจะอ่อนและตัดง่าย
ถ้าสายตามองเห็นไม่ชัด ควรให้ผู้อื่นตัดเล็บให้
5. ป้องกันการบาดเจ็บและเกิดแผล โดยการสวมรองเท้าทุกครั้ง ที่ออกจากบ้าน (อย่าเดินเท้าเปล่า) ควรเลือกรองเท้า ที่สวมพอดี ไม่หลวม ไม่บีบรัด พื้นนุ่ม มีการระบายอากาศ และความชื้นได้ ควรสวมถุงเท้าด้วยเสมอ โดยเลือกสวมถุงเท้าที่สะอาด ไม่รัดแน่น และเปลี่ยนทุกวัน ก่อนสวมรองเท้า ควรตรวจดูว่า มีวัตถุมีคมตกอยู่ในรองเท้าหรือไม่ สำหรับรองเท้าคู่ใหม่ ในระยะเริ่มแรก ควรใส่เพียงชั่วเวลาสั้นๆ ในแต่ละวัน เพื่อให้รองเท้าค่อยๆ ขยายปรับตัวเข้ากับเท้าได้ดี
6. หลีกเลี่ยงการตัด ดึง หรือแกะหนังแข็งๆ หรือตาปลาที่ฝ่าเท้า และไม่ควรซื้อยา กัดลอกตาปลามาใช้เอง
7. ถ้ารู้สึกว่าเท้าชา ห้ามวางขวด หรือกระเป๋าน้ำร้อน หรือประคบด้วยของร้อนใดๆ จะทำให้เกิดแผลไหม้พองขึ้นได้ และไม่ช่วยให้อาการชาดีขึ้นแต่อย่างใด
8. ถ้ามีตุ่มหนอง มีบาดแผล หรือการอักเสบที่เท้า ควรรีบไปหาแพทย์รักษา อย่าใช้เข็มบ่งเอง หรือใช้ทิงเจอร์ไอโอดีน หรือไฮโดรเจน เพอร์ออกไซด์ชะแผล ควรล้างแผล ด้วยน้ำสะอาดกับสบู่ และปิดแผล ด้วยผ้ากอซที่ปลอดเชื้อ และติดด้วยพลาสเตอร์อย่างนิ่ม (เช่น ไมโครพอร์) อย่าปิดด้วยพลาสเตอร์ธรรมดา
ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เช่น เดินเร็ว วิ่งเหยาะ ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ หรือทำงานออกแรงกายให้มาก ควรทำในปริมาณพอๆ กันทุกวัน อย่าหักโหม ทั้งการควบคุมอาหาร และการออกกำลัง ควรให้เกิดความพอเหมาะ ที่จะช่วยควบคุมน้ำหนักตัว ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
•
ควรเลิกสูบบุหรี่โดยเด็ดขาด มิเช่นนั้น อาจทำให้ผนังหลอดเลือดแดงแข็งเร็วขึ้น ซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคแทรกซ้อนต่างๆ
•
หมั่นดูแลรักษาเท้า ดังนี้
1. ทำความสะอาดเท้า และดูแลผิวหนังทุกวัน เวลาอาบน้ำ ควรล้างและฟอกสบู่ ตามซอกนิ้วเท้า และส่วนต่างๆ ของเท้าอย่างทั่วถึง หลังล้างเท้าเรียบร้อยแล้ว ซับทุกส่วน โดยเฉพาะบริเวณซอก\นิ้วเท้า ให้แห้งด้วยผ้าขนหนู ระวังอย่าเช็ดแรงเกินไป เพราะผิวหนังอาจถลอกเป็นแผลได้
2. ถ้าผิวหนังที่เท้าแห้งเกินไป ควรใช้ครีมทาผิวทาบางๆ โดยเว้นบริเวณ ซอกนิ้วเท้า และรอบเล็บเท้า
3. ตรวจเท้าอย่างละเอียดทุกวัน โดยเฉพาะบริเวณซอกนิ้วเท้า ฝ่าเท้าบริเวณที่เป็นจุดรับน้ำหนัก และรอบเล็บเท้า เพื่อดูว่ามีรอยช้ำ บาดแผล หรือการอักเสบหรือไม่ หากมีแผลที่เท้า ต้องรีบไปพบแพทย์ทันที
4. การตัดเล็บ ควรตัดด้วยความระมัดระวัง เพื่อป้องกันมิให้เกิดเล็บขบ ซึ่งอาจลุกลาม และเป็นสาเหตุ ของการถูกตัดขาได้
- ควรตัดเล็บในแนวตรงๆ และอย่าให้สั้นชิดผิวหนังจนเกินไป
- ไม่ควรใช้วัตถุแข็งแคะซอกเล็บ
- การตัดเล็บ ควรทำหลังล้างเท้า หรืออาบน้ำใหม่ๆ เพราะเล็บจะอ่อนและตัดง่าย
ถ้าสายตามองเห็นไม่ชัด ควรให้ผู้อื่นตัดเล็บให้
5. ป้องกันการบาดเจ็บและเกิดแผล โดยการสวมรองเท้าทุกครั้ง ที่ออกจากบ้าน (อย่าเดินเท้าเปล่า) ควรเลือกรองเท้า ที่สวมพอดี ไม่หลวม ไม่บีบรัด พื้นนุ่ม มีการระบายอากาศ และความชื้นได้ ควรสวมถุงเท้าด้วยเสมอ โดยเลือกสวมถุงเท้าที่สะอาด ไม่รัดแน่น และเปลี่ยนทุกวัน ก่อนสวมรองเท้า ควรตรวจดูว่า มีวัตถุมีคมตกอยู่ในรองเท้าหรือไม่ สำหรับรองเท้าคู่ใหม่ ในระยะเริ่มแรก ควรใส่เพียงชั่วเวลาสั้นๆ ในแต่ละวัน เพื่อให้รองเท้าค่อยๆ ขยายปรับตัวเข้ากับเท้าได้ดี
6. หลีกเลี่ยงการตัด ดึง หรือแกะหนังแข็งๆ หรือตาปลาที่ฝ่าเท้า และไม่ควรซื้อยา กัดลอกตาปลามาใช้เอง
7. ถ้ารู้สึกว่าเท้าชา ห้ามวางขวด หรือกระเป๋าน้ำร้อน หรือประคบด้วยของร้อนใดๆ จะทำให้เกิดแผลไหม้พองขึ้นได้ และไม่ช่วยให้อาการชาดีขึ้นแต่อย่างใด
8. ถ้ามีตุ่มหนอง มีบาดแผล หรือการอักเสบที่เท้า ควรรีบไปหาแพทย์รักษา อย่าใช้เข็มบ่งเอง หรือใช้ทิงเจอร์ไอโอดีน หรือไฮโดรเจน เพอร์ออกไซด์ชะแผล ควรล้างแผล ด้วยน้ำสะอาดกับสบู่ และปิดแผล ด้วยผ้ากอซที่ปลอดเชื้อ และติดด้วยพลาสเตอร์อย่างนิ่ม (เช่น ไมโครพอร์) อย่าปิดด้วยพลาสเตอร์ธรรมดา
เบาหวานเป็นโรคเรื้อรัง ที่ต้องรักษาติดต่อกันเป็นเวลานาน หรือตลอดชีวิต ซึ่งหากได้รับการรักษาอย่างจริงจัง อาจมีชีวิตเหมือนคนปกติได้ แต่ถ้ารักษาไม่จริงจัง ก็อาจมีอันตรายจากโรคแทรกซ้อนได้มาก จึงควรอธิบายใ...
1
Add a comment...
โกจิเบอร์รี่ ผลไม้บำรุงสายตาและชะลอจอประสาทตาเสื่อม |
โดยคณะเภสัชฯ ม.มหิดล http://tinyurl.com/h8fchs2
โกจิเบอร์รี่ (Goji berry) หรือ Wolfberry รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่าเก๋ากี้ เป็นผลไม้ชนิดหนึ่งในตระกูลเบอร์รี มีถิ่นกำเนิดแถบทวีปเอเชีย มีสรรพคุณหลากหลาย ได้รับขนานนามว่าเป็น “ซุปเปอร์ฟรุต (super fruit)
โกจิเบอร์รี่เป็นพืชที่มีใยอาหารสูงถึงร้อยละ 20 ประกอบด้วยกรดอะมิโนหลายชนิด มีแร่ธาตุต่างๆ เช่น สังกะสี เหล็ก ทองแดง แคลเซียม ฟอสฟอรัส ซิลีเนียม เป็นต้น นอกจากนี้โกจิเบอร์รี่ยังมีสารสำคัญจำพวกซีแซนทีน (zeaxanthin) และลูทีน (lutein) สูงมากกว่าผักและผลไม้ทั่วไป ร่างกายมนุษย์ไม่สามารถสร้างสารทั้งสองนี้ได้ จำเป็นต้องได้รับจากอาหาร
ระดับลูทีน 2.0 – 6.9 มิลลิกรัมต่อวัน จะช่วยป้องกันความเสื่อมของจุดด่างในดวงตาได้ นอกจากนี้ ลูทีน ยังทำหน้าที่เป็นสารต้านออกซิเดชันในดวงตาของคนเราอีกด้วย
ซีแซนทีน พบในโกจิเบอร์รี่ปริมาณสูง โดยมากกว่าสาหร่ายเกลียวทองถึง 5 เท่า ซีแซนทีนเป็นองค์ประกอบสำคัญในจอตา โดยเฉพาะส่วนที่เรียกว่า macular ซึ่งเป็นชั้นของเม็ดสี ทำหน้าที่กรองแสงที่จะผ่านเข้าสู่จอตาและช่วยลดการสะท้อนของแสง ป้องกันรังสีจากแสงแดดที่เป็นอันตรายต่อดวงตา ทำให้มีสมบัติช่วยป้องกันโรคหลายชนิด เช่น โรคต้อกระจก โรคจอรับภาพเสื่อม โรคหัวใจและหลอดเลือด
นอกจากนี้ ผลโกจิเบอร์รี่ยังมี เบต้าแคโรทีน (Beta carotene ) ซึ่งเป็นสารในกลุ่มแคโรทีนอยด์อีกชนิดหนึ่งโดยพบว่าในผลโกจิเบอร์รี่มีปริมาณเบต้าแคโรทีนสูง ซึ่งสูงกว่าแครอท เบต้าแคโรทีนมีคุณสมบัติเป็นโปร วิตามินเอ คือ เป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ และจะถูกเปลี่ยนไปเป็นวิตามินเอจากเอนไซม์ที่ตับ ซึ่งวิตามินเอจัดเป็นวิตามินที่มีส่วนช่วยในการมองเห็น บำรุงสายตา
การกินสารที่มีฤทธิ์ปกป้องและบำรุงสายตา เช่น โกจิเบอร์รี่ ลูทีน และ วิตามินเอ อย่างที่กล่าวมาข้างต้น ก็จะมีผลให้เรามีสุขภาพตาที่ดี
http://www.pharmacy.mahidol.ac.th/th/knowledge/article/324
โดยคณะเภสัชฯ ม.มหิดล http://tinyurl.com/h8fchs2
โกจิเบอร์รี่ (Goji berry) หรือ Wolfberry รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่าเก๋ากี้ เป็นผลไม้ชนิดหนึ่งในตระกูลเบอร์รี มีถิ่นกำเนิดแถบทวีปเอเชีย มีสรรพคุณหลากหลาย ได้รับขนานนามว่าเป็น “ซุปเปอร์ฟรุต (super fruit)
โกจิเบอร์รี่เป็นพืชที่มีใยอาหารสูงถึงร้อยละ 20 ประกอบด้วยกรดอะมิโนหลายชนิด มีแร่ธาตุต่างๆ เช่น สังกะสี เหล็ก ทองแดง แคลเซียม ฟอสฟอรัส ซิลีเนียม เป็นต้น นอกจากนี้โกจิเบอร์รี่ยังมีสารสำคัญจำพวกซีแซนทีน (zeaxanthin) และลูทีน (lutein) สูงมากกว่าผักและผลไม้ทั่วไป ร่างกายมนุษย์ไม่สามารถสร้างสารทั้งสองนี้ได้ จำเป็นต้องได้รับจากอาหาร
ระดับลูทีน 2.0 – 6.9 มิลลิกรัมต่อวัน จะช่วยป้องกันความเสื่อมของจุดด่างในดวงตาได้ นอกจากนี้ ลูทีน ยังทำหน้าที่เป็นสารต้านออกซิเดชันในดวงตาของคนเราอีกด้วย
ซีแซนทีน พบในโกจิเบอร์รี่ปริมาณสูง โดยมากกว่าสาหร่ายเกลียวทองถึง 5 เท่า ซีแซนทีนเป็นองค์ประกอบสำคัญในจอตา โดยเฉพาะส่วนที่เรียกว่า macular ซึ่งเป็นชั้นของเม็ดสี ทำหน้าที่กรองแสงที่จะผ่านเข้าสู่จอตาและช่วยลดการสะท้อนของแสง ป้องกันรังสีจากแสงแดดที่เป็นอันตรายต่อดวงตา ทำให้มีสมบัติช่วยป้องกันโรคหลายชนิด เช่น โรคต้อกระจก โรคจอรับภาพเสื่อม โรคหัวใจและหลอดเลือด
นอกจากนี้ ผลโกจิเบอร์รี่ยังมี เบต้าแคโรทีน (Beta carotene ) ซึ่งเป็นสารในกลุ่มแคโรทีนอยด์อีกชนิดหนึ่งโดยพบว่าในผลโกจิเบอร์รี่มีปริมาณเบต้าแคโรทีนสูง ซึ่งสูงกว่าแครอท เบต้าแคโรทีนมีคุณสมบัติเป็นโปร วิตามินเอ คือ เป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ และจะถูกเปลี่ยนไปเป็นวิตามินเอจากเอนไซม์ที่ตับ ซึ่งวิตามินเอจัดเป็นวิตามินที่มีส่วนช่วยในการมองเห็น บำรุงสายตา
การกินสารที่มีฤทธิ์ปกป้องและบำรุงสายตา เช่น โกจิเบอร์รี่ ลูทีน และ วิตามินเอ อย่างที่กล่าวมาข้างต้น ก็จะมีผลให้เรามีสุขภาพตาที่ดี
http://www.pharmacy.mahidol.ac.th/th/knowledge/article/324
1
Add a comment...
ก่อนที่จะถึงอาหารเสริมที่จำเป็นต่อร่างกาย
เรามาศึกษาถึงอาหารเสริมที่ไม่จำเป็นต่อร่างกาย ว่ามีอะไรกันบ้าง
LYCOPENE ร่างกายจะดูดซึมเฉพาะที่ได้จากมะเขือเทศปรุงสุกในน้ำมันเท่านั้น
Pomegranate
Ubiquinol
Policosanol
Noni juice
Chondroitin ร่างกายไม่สามารถดูดซึมได้ ต้องได้จากการฉีดเท่านั้น
Resveratrol
COLLOIDAL MINERALS
Coral calcium มีราคาแพงกว่า CALCIUM ปกติมาก
Canola Oil มีความเป็นพิษจาก ERUCIC ACID
Saw palmetto ต้องกินครั้งละเป็น 100 แคปซูล ถึงจะเห็นผล ให้ใช้ beta-Sitosterol แทน
Pygeum africanum เช่นเดียวกับ Saw palmetto ที่ไม่มีรายงานทางวิทย์รองรับ
Sucralose
เขากวางอ่อน ไม่มีรายงานทางวิทย์รองรับ
สาหร่ายคลอเรลล่า และ SPIRULINA
5 HTP หรือ 5-Hydroxytryptophan ไม่มีประสิทธิภาพในการลดน้ำหนัก
Red yeast rice ไม่มีรายงานทางวิทย์รองรับ
oral SOD มีผลก็ต่อเมื่อฉีดเท่านั้น
CLA ไม่ได้ช่วยในการลดน้ำหนักจริง
น้ำมันมะพร้าว ไม่ได้ช่วยในการลดน้ำหนัก
MSM - Methylsulfonylmethane ไม่ได้ช่วยในเรื่องไขข้อ
อบเชย - Cinnamon ไม่ได้มีผลต่อเบาหวาน
DETOX ลำไส้ ด้วยกาแฟหรืออื่นๆ
WHEY PROTEIN เป็นของเสียที่ได้จากการผลิตชีส โปรตีนขนาดสูงจะเร่งการเกิดมะเร็ง
ผลิตภัณฑ์จากผึ้ง ไม่ว่าจะเป็น POLLEN, PROPOLIS, JELLY ไม่มีงานวิจัยรองรับ
7-Keto-DHEA ราคาแพงเกินจริง
์NIACIN OVERDOSE อาจเกิดอาการข้างเคียง ให้ใช้ beta-Sitosterol แทน
ขิง ยังไม่มีผลงานวิจัยเรื่องโรคข้อ
ASTAXNTHIN เป็น minor carotenoid ที่ไม่มีค่าอะไร
LOW DOSE CoQ10 มีราคาแพงมาก ในขณะที่ร้างกายต้องการ 100 มิลลิกรัม
Modified citrus pectin (MCP) มีราคาแพงเกินไป
ARGININE ไม่มีงานวิจัยรองรับ
BILBERRY ไม่มีงานวิจัยว่าช่วยเรื่องสายตาได้จริง
Artemisia
Hoodia Cactus หรือ สารสกัดจากกะบองเพชร ไม่ได้ช่วยลดน้ำหนัก
GRAVIOLA ไม่ได้เป็นยาวิเศษรักษามะเร็ง
Brewer Yeast เป็นแค่ผลพลอยได้จากการผลิตเบียร์ กินวิตะมินรวมจะเข้าท่ากว่า
Cat's claw ไม่ได้ช่วยรักษาโรคข้อ
Shark cartilag หรือ กระดูกอ่อนปลาฉลาม ไม่มีงานวิจัยรองรับ
DMAE - Dimethylethanolamine ใช้ภายนอกได้ แต่การใช้ภายใน ไม่มีงานวิจัยรองรับ
HYALURONIC ACID มีผลเมื่อฉีด หรือ ทาที่ความเข้มข้นมากกว่า 0.5%
Olive Leaf Extract สารสกัดจากใบมะกอก ไม่มีคุณค่าใดๆตามที่กล่าวอ้าง
Nattokinase.ให้กิน Soy Isoflavones จะเข้าท่ากว่า
Benfotiamine แพงเกิน กิน VITAMIN B1 ถูกกว่าเยอะ
Green coffee extract แพง
หมายเหตุ รู้ไว้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจจ่ายเงินซื้ออาหารเสริม
จากหนังสือ The Supplements You Need (2006)
เรามาศึกษาถึงอาหารเสริมที่ไม่จำเป็นต่อร่างกาย ว่ามีอะไรกันบ้าง
LYCOPENE ร่างกายจะดูดซึมเฉพาะที่ได้จากมะเขือเทศปรุงสุกในน้ำมันเท่านั้น
Pomegranate
Ubiquinol
Policosanol
Noni juice
Chondroitin ร่างกายไม่สามารถดูดซึมได้ ต้องได้จากการฉีดเท่านั้น
Resveratrol
COLLOIDAL MINERALS
Coral calcium มีราคาแพงกว่า CALCIUM ปกติมาก
Canola Oil มีความเป็นพิษจาก ERUCIC ACID
Saw palmetto ต้องกินครั้งละเป็น 100 แคปซูล ถึงจะเห็นผล ให้ใช้ beta-Sitosterol แทน
Pygeum africanum เช่นเดียวกับ Saw palmetto ที่ไม่มีรายงานทางวิทย์รองรับ
Sucralose
เขากวางอ่อน ไม่มีรายงานทางวิทย์รองรับ
สาหร่ายคลอเรลล่า และ SPIRULINA
5 HTP หรือ 5-Hydroxytryptophan ไม่มีประสิทธิภาพในการลดน้ำหนัก
Red yeast rice ไม่มีรายงานทางวิทย์รองรับ
oral SOD มีผลก็ต่อเมื่อฉีดเท่านั้น
CLA ไม่ได้ช่วยในการลดน้ำหนักจริง
น้ำมันมะพร้าว ไม่ได้ช่วยในการลดน้ำหนัก
MSM - Methylsulfonylmethane ไม่ได้ช่วยในเรื่องไขข้อ
อบเชย - Cinnamon ไม่ได้มีผลต่อเบาหวาน
DETOX ลำไส้ ด้วยกาแฟหรืออื่นๆ
WHEY PROTEIN เป็นของเสียที่ได้จากการผลิตชีส โปรตีนขนาดสูงจะเร่งการเกิดมะเร็ง
ผลิตภัณฑ์จากผึ้ง ไม่ว่าจะเป็น POLLEN, PROPOLIS, JELLY ไม่มีงานวิจัยรองรับ
7-Keto-DHEA ราคาแพงเกินจริง
์NIACIN OVERDOSE อาจเกิดอาการข้างเคียง ให้ใช้ beta-Sitosterol แทน
ขิง ยังไม่มีผลงานวิจัยเรื่องโรคข้อ
ASTAXNTHIN เป็น minor carotenoid ที่ไม่มีค่าอะไร
LOW DOSE CoQ10 มีราคาแพงมาก ในขณะที่ร้างกายต้องการ 100 มิลลิกรัม
Modified citrus pectin (MCP) มีราคาแพงเกินไป
ARGININE ไม่มีงานวิจัยรองรับ
BILBERRY ไม่มีงานวิจัยว่าช่วยเรื่องสายตาได้จริง
Artemisia
Hoodia Cactus หรือ สารสกัดจากกะบองเพชร ไม่ได้ช่วยลดน้ำหนัก
GRAVIOLA ไม่ได้เป็นยาวิเศษรักษามะเร็ง
Brewer Yeast เป็นแค่ผลพลอยได้จากการผลิตเบียร์ กินวิตะมินรวมจะเข้าท่ากว่า
Cat's claw ไม่ได้ช่วยรักษาโรคข้อ
Shark cartilag หรือ กระดูกอ่อนปลาฉลาม ไม่มีงานวิจัยรองรับ
DMAE - Dimethylethanolamine ใช้ภายนอกได้ แต่การใช้ภายใน ไม่มีงานวิจัยรองรับ
HYALURONIC ACID มีผลเมื่อฉีด หรือ ทาที่ความเข้มข้นมากกว่า 0.5%
Olive Leaf Extract สารสกัดจากใบมะกอก ไม่มีคุณค่าใดๆตามที่กล่าวอ้าง
Nattokinase.ให้กิน Soy Isoflavones จะเข้าท่ากว่า
Benfotiamine แพงเกิน กิน VITAMIN B1 ถูกกว่าเยอะ
Green coffee extract แพง
หมายเหตุ รู้ไว้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจจ่ายเงินซื้ออาหารเสริม
จากหนังสือ The Supplements You Need (2006)
1
Add a comment...
"โรคโฟโม" (FOMO) หรือ Fear of Missing Out กลัวตกกระแสเมื่อไม่ได้เล่นสมาร์ทโฟน 80% เป็นคนเอเชีย!
กำหนดห้องนอนให้เป็นพื้นที่ปลอดโซเชียล
ละสายตาจากหน้าจอคอมฯ หน้าจอสมาร์ทโฟน ทุก 2 ชั่วโมง
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1453028492
กำหนดห้องนอนให้เป็นพื้นที่ปลอดโซเชียล
ละสายตาจากหน้าจอคอมฯ หน้าจอสมาร์ทโฟน ทุก 2 ชั่วโมง
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1453028492
1
Add a comment...
ขี้เหล็ก ทำให้นอนหลับดี
หัวปลี มีธาตุเหล็ก ช่วยบำรุงเลือด
มะระขี้นก ลดน้ำตาลในเลือด
ตำลึง ใช้เป็นยารักษาเบาหวาน
ผักเชียงดา ใช้ลดน้ำหนัก นำน้ำตาลไปเผาผลาญมากกว่าการนำไปสร้างเป็นไขมันสะสม
แครอท ล้างพิษในตับ บำรุงสายตา
ถั่วฝักยาว ทำให้รู้สึกอิ่มเร็วอิ่มนาน ลดคอเลสเตอรอล
กะหล่ำปลี กษาโรคกระเพาะและป้องกันมะเร็งลำไส้ได้ดี ลดความปวดจากการคัดเต้านม
ผักกาดขาว เจ้าแห่งเส้นใยและโฟเลท
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1442490066
หัวปลี มีธาตุเหล็ก ช่วยบำรุงเลือด
มะระขี้นก ลดน้ำตาลในเลือด
ตำลึง ใช้เป็นยารักษาเบาหวาน
ผักเชียงดา ใช้ลดน้ำหนัก นำน้ำตาลไปเผาผลาญมากกว่าการนำไปสร้างเป็นไขมันสะสม
แครอท ล้างพิษในตับ บำรุงสายตา
ถั่วฝักยาว ทำให้รู้สึกอิ่มเร็วอิ่มนาน ลดคอเลสเตอรอล
กะหล่ำปลี กษาโรคกระเพาะและป้องกันมะเร็งลำไส้ได้ดี ลดความปวดจากการคัดเต้านม
ผักกาดขาว เจ้าแห่งเส้นใยและโฟเลท
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1442490066
1
Add a comment...
แบล็คมอร์ส ลูทีน-วิส สารสกัดจากดอกดาวเรือง ประกอบด้วย ลูทีนและซีลีเนียมมีส่วนช่วยในกระบวนการต่อต้านอนุมูลอิสระ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องใช้สายตาในการทำงานหนักตลอดทั้งวัน หรือผู้ที่ต้องการบำรุงสายตาให้มีอายุการใช้งานที่ยืนยาว
ลูทีนเป็นสารอาหารธรรมชาติกลุ่มแคโรทีนอยด์ พบมากในตาบริเวณจุดรับภาพและจอประสาทตาทำหน้าที่ป้องกันรังสีจากแสงแดด ช่วยกรองแสงสีน้ำเงินที่จะทำลายดวงตาและช่วยปกป้องเซลล์ของจอประสาทตา โดยการลดอนุมูลอิสระที่ทำลายดวงตาร่างกายจำเป็นต้องได้รับลูทีนจากอาหาร โดยเฉพาะพืชผักสีเขียวเข้ม เช่นคะน้า ผักโขม ผักกาด ปวยเล้ง เป็นต้น พบว่าการรับประทานลูทีนทุกวัน ช่วยลดความเสี่ยงของโรคจอประสาทตาเสื่อมได้ถึงร้อยละ 50
รายละเอียดเพิ่มเติม Blackmores Lutein Vis
ส่วนประกอบที่สำคัญ 1 แคปซูล ประกอบด้วย
ลูทีน 6 มก.
สารสกัดดอกดาวเรือง 80 มก.
ซีลีเนียม 26 มคก.
น้ำมันปลาทูน่า 101 มก.
กรดไอโคซาเพนทาอิโนอิก(อีพีเอ) 7.1 มก.
กรดโดโคซาเฮกซาอิโนอิก(ดีเอชเอ) 27.3 มก.
ลูทีนเป็นสารอาหารธรรมชาติกลุ่มแคโรทีนอยด์ พบมากในตาบริเวณจุดรับภาพและจอประสาทตาทำหน้าที่ป้องกันรังสีจากแสงแดด ช่วยกรองแสงสีน้ำเงินที่จะทำลายดวงตาและช่วยปกป้องเซลล์ของจอประสาทตา โดยการลดอนุมูลอิสระที่ทำลายดวงตาร่างกายจำเป็นต้องได้รับลูทีนจากอาหาร โดยเฉพาะพืชผักสีเขียวเข้ม เช่นคะน้า ผักโขม ผักกาด ปวยเล้ง เป็นต้น พบว่าการรับประทานลูทีนทุกวัน ช่วยลดความเสี่ยงของโรคจอประสาทตาเสื่อมได้ถึงร้อยละ 50
รายละเอียดเพิ่มเติม Blackmores Lutein Vis
ส่วนประกอบที่สำคัญ 1 แคปซูล ประกอบด้วย
ลูทีน 6 มก.
สารสกัดดอกดาวเรือง 80 มก.
ซีลีเนียม 26 มคก.
น้ำมันปลาทูน่า 101 มก.
กรดไอโคซาเพนทาอิโนอิก(อีพีเอ) 7.1 มก.
กรดโดโคซาเฮกซาอิโนอิก(ดีเอชเอ) 27.3 มก.
1
Add a comment...
ต้อหิน สาเหตุส่วนมากมักเกิดจากความดันตาที่สูงกว่าปกติ จากการที่ลูกตาเรามีน้ำขังอยู่ในตามากผิดปกติ ซึ่งเป็นคนละชนิดกับน้ำตาที่หลั่งออกมา เกิดภาวะความดันลูกตาสูง ทำให้ลูกตาที่ปกติควรจะนุ่มเหมือนลูกบอล มีความแข็งตึงเหมือนหิน เกิดการทำลายของเส้นประสาทตาแบบถาวร
การวัดสายตาประกอบแว่น การวัดการมองเห็น ไม่เพียงพอสำหรับการประเมินภาวะต้อหิน ดังนั้นการหมั่นพบจักษุแพทย์เพื่อทำการตรวจสุขภาพตา การวัดความดันตา และตรวจประเมินความผิดปกติของขั้วประสาทตาโดยจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นประจำเป็นเพียงวิธีเดียวในการป้องกันโรคต้อหิน
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1435045814
การวัดสายตาประกอบแว่น การวัดการมองเห็น ไม่เพียงพอสำหรับการประเมินภาวะต้อหิน ดังนั้นการหมั่นพบจักษุแพทย์เพื่อทำการตรวจสุขภาพตา การวัดความดันตา และตรวจประเมินความผิดปกติของขั้วประสาทตาโดยจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นประจำเป็นเพียงวิธีเดียวในการป้องกันโรคต้อหิน
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1435045814
ข่าวไลฟ์สไตล์ต่อการใช้ชีวิตยุคใหม่ ทั้งเกร็ดสุขภาพ อาหาร กีฬา ท่องเที่ยว ศิลปวัฒนธรรม บทสัมภาษณ์คนดัง
1
Add a comment...
“ตาแห้ง” เป็นภาวะที่น้ำตาหรือน้ำหล่อเลี้ยงลูกตา (basic tear) แห้งหรือลดลงผิดปกติ กลุ่มที่ 2 เกิดการระเหยของน้ำตา เช่น โรคของต่อมไมโบเมียน (Meibomian gland disease) โรคหรือภาวะที่ทำให้มีอัตราการกระพริบตาน้อยกว่าปกติ (เช่น กลุ่มอาการ extrapyramidal การจ้องมองหน้าจอหรือเลนส์ต่อเนื่องเป็นเวลานาน) อายุมากขึ้น การใส่คอนแทคเลนส์เป็นประจำ ภาวะพร่องวิตามินเอ โรคภูมิแพ้ เป็นต้น
นอกจากนี้สภาพแวดล้อมบางสภาวะอาจทำให้เกิดอาการตาแห้งเนื่องจากน้ำหล่อเลี้ยงลูกตาระเหยได้ง่าย เช่น การอยู่ท่ามกลางแสงแดดจัด ลมแรง หรืออากาศแห้ง
อาการเบื้องต้นที่เป็นสัญญาณของอาการตาแห้ง ได้แก่ อาการระคายเคืองคล้ายมีเศษผงเข้าตาแสบตาความรู้สึกเหนอะหนะตา ตามัวเป็นๆ หายๆ มีอาการมากตอนบ่ายหรือตอนเช้า หรือเมื่อใช้สายตามากต่อเนื่องนาน ๆ เป็นต้น
น้ำตาเทียมเป็นเภสัชภัณฑ์ที่ใช้สำหรับบรรเทาอาการตาแห้ง มีสมบัติใกล้เคียงกับน้ำตาธรรมชาติ ผลิตภัณฑ์น้ำตาเทียมแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ คือ สารละลาย เจล และขี้ผึ้ง
น้ำตาเทียมที่บรรจุในภาชนะแบบ multiple dose สามารถใช้ได้หลายครั้งหลังเปิดขวดเนื่องจากมีสารกันเสียในตำรับทำให้สามารถใช้ได้นานประมาณ 1 เดือนหลังเปิดขวดใช้ครั้งแรก ส่วนน้ำตาเทียมที่บรรจุในภาชนะแบบ unit dose จะไม่มีสารกันเสีย จึงมีอายุการใช้งานภายใน 24 ชั่วโมงหลังเปิดใช้ครั้งแรก
สำหรับผู้ที่ใส่คอนแทคเลนส์ควรหลีกเลี่ยงน้ำตาเทียมที่มีสารกันเสียที่ทำให้เกิดการทำลายเซลล์เยื่อบุกระจกตาได้ เช่น benzalkonium chloride เนื่องจากคอนแทคเลนส์ดูดซับสารนี้ได้และทำให้เยื่อบุกระจกตาสัมผัสกับสารนี้เป็นเวลานาน จึงอาจทำลายเซลล์เยื่อบุกระจกตาได้ ดังนั้นจึงควรเลือกใช้น้ำตาเทียมที่ปราศจากสารกันเสียซึ่งเป็นชนิดที่บรรจุในภาชนะบรรจุแบบ unit dose หรือเลือกใช้น้ำตาเทียมที่มีสารกันเสียชนิดที่เป็นพิษต่อเยื่อบุกระจกตาน้อย เช่น stabilized oxychloro complex (Purite®) polyquaterium-1 (Polyquad®) สารประกอบระหว่าง boric acid, zinc, sorbital และ propylene glycol (SofZia™) แต่หากจำเป็นต้องใช้น้ำตาเทียมที่มี benzalkonium chloride ควรถอดคอนแทคเลนส์ออกก่อนหยอดน้ำตาเทียม และใส่คอนแทคเลนส์หลังจากหยอดตาเสร็จแล้วประมาณ 10 นาที (8-10)
ข้อควรระวังทั่วไปในการใช้น้ำตาเทียมหรือยาหยอดตา คือ ควรระมัดระวังไม่ให้ปลายหลอดน้ำตาเทียมแตะโดนบริเวณดวงตาหรือใบหน้า หรือสัมผัสปลายนิ้วมือหรือส่วนใดของร่างกาย และไม่ว่าจะใช้น้ำตาเทียมชนิดใด หากครบกำหนดอายุการใช้งานแล้วควรทิ้งส่วนที่เหลือทันที เนื่องจากอาจเกิดการปนเปื้อนของเชื้อแบคทีเรียได้ หากมีอาการระคายเคืองตามากขึ้นหรือเกิดความผิดปกติใดๆ หลังหยอดน้ำตาเทียม ให้หยุดใช้ทันทีและรีบปรึกษาจักษุแพทย์ ผู้ที่มีอาการตาแห้งขั้นรุนแรงและเรื้อรังควรปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยและรักษาสาเหตุที่แท้จริงของอาการ
http://www.pharmacy.mahidol.ac.th/dic/knowledge_full.php?id=14
นอกจากนี้สภาพแวดล้อมบางสภาวะอาจทำให้เกิดอาการตาแห้งเนื่องจากน้ำหล่อเลี้ยงลูกตาระเหยได้ง่าย เช่น การอยู่ท่ามกลางแสงแดดจัด ลมแรง หรืออากาศแห้ง
อาการเบื้องต้นที่เป็นสัญญาณของอาการตาแห้ง ได้แก่ อาการระคายเคืองคล้ายมีเศษผงเข้าตาแสบตาความรู้สึกเหนอะหนะตา ตามัวเป็นๆ หายๆ มีอาการมากตอนบ่ายหรือตอนเช้า หรือเมื่อใช้สายตามากต่อเนื่องนาน ๆ เป็นต้น
น้ำตาเทียมเป็นเภสัชภัณฑ์ที่ใช้สำหรับบรรเทาอาการตาแห้ง มีสมบัติใกล้เคียงกับน้ำตาธรรมชาติ ผลิตภัณฑ์น้ำตาเทียมแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ คือ สารละลาย เจล และขี้ผึ้ง
น้ำตาเทียมที่บรรจุในภาชนะแบบ multiple dose สามารถใช้ได้หลายครั้งหลังเปิดขวดเนื่องจากมีสารกันเสียในตำรับทำให้สามารถใช้ได้นานประมาณ 1 เดือนหลังเปิดขวดใช้ครั้งแรก ส่วนน้ำตาเทียมที่บรรจุในภาชนะแบบ unit dose จะไม่มีสารกันเสีย จึงมีอายุการใช้งานภายใน 24 ชั่วโมงหลังเปิดใช้ครั้งแรก
สำหรับผู้ที่ใส่คอนแทคเลนส์ควรหลีกเลี่ยงน้ำตาเทียมที่มีสารกันเสียที่ทำให้เกิดการทำลายเซลล์เยื่อบุกระจกตาได้ เช่น benzalkonium chloride เนื่องจากคอนแทคเลนส์ดูดซับสารนี้ได้และทำให้เยื่อบุกระจกตาสัมผัสกับสารนี้เป็นเวลานาน จึงอาจทำลายเซลล์เยื่อบุกระจกตาได้ ดังนั้นจึงควรเลือกใช้น้ำตาเทียมที่ปราศจากสารกันเสียซึ่งเป็นชนิดที่บรรจุในภาชนะบรรจุแบบ unit dose หรือเลือกใช้น้ำตาเทียมที่มีสารกันเสียชนิดที่เป็นพิษต่อเยื่อบุกระจกตาน้อย เช่น stabilized oxychloro complex (Purite®) polyquaterium-1 (Polyquad®) สารประกอบระหว่าง boric acid, zinc, sorbital และ propylene glycol (SofZia™) แต่หากจำเป็นต้องใช้น้ำตาเทียมที่มี benzalkonium chloride ควรถอดคอนแทคเลนส์ออกก่อนหยอดน้ำตาเทียม และใส่คอนแทคเลนส์หลังจากหยอดตาเสร็จแล้วประมาณ 10 นาที (8-10)
ข้อควรระวังทั่วไปในการใช้น้ำตาเทียมหรือยาหยอดตา คือ ควรระมัดระวังไม่ให้ปลายหลอดน้ำตาเทียมแตะโดนบริเวณดวงตาหรือใบหน้า หรือสัมผัสปลายนิ้วมือหรือส่วนใดของร่างกาย และไม่ว่าจะใช้น้ำตาเทียมชนิดใด หากครบกำหนดอายุการใช้งานแล้วควรทิ้งส่วนที่เหลือทันที เนื่องจากอาจเกิดการปนเปื้อนของเชื้อแบคทีเรียได้ หากมีอาการระคายเคืองตามากขึ้นหรือเกิดความผิดปกติใดๆ หลังหยอดน้ำตาเทียม ให้หยุดใช้ทันทีและรีบปรึกษาจักษุแพทย์ ผู้ที่มีอาการตาแห้งขั้นรุนแรงและเรื้อรังควรปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยและรักษาสาเหตุที่แท้จริงของอาการ
http://www.pharmacy.mahidol.ac.th/dic/knowledge_full.php?id=14
น้ำตาในคนปกติประกอบด้วย 2 ส่วนใหญ่ๆ ได้แก่ basic tear (คือน้ำหล่อเลี้ยงลูกตา มีหน้าที่ให้ออกซิเจนแก่กระจกตาและทำให้ไม่ระคายเคือง) และ reflex tear (เป็นน้ำตาที่หลั่งเมื่อระคายเคือง)อาการ “ตาแห.
1
Add a comment...
ผักวอเตอร์เครส ต้นเล็กๆแต่ประโยชน์มากมาย
วอเตอร์เครส (Watercress) หรือสลัดน้ำ เป็นผักที่อยู่ในวงศ์เดียวกับกะหล่ำปลี โดยอยู่ในวงศ์ Brasicaceae มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Nasturtium officinale ผักชนิดนี้ได้รับสมญานามว่าเป็นราชินีผักสำหรับคนรักสุขภาพ
วอเตอร์เครสเป็นผักกินใบ นิยมรับประทานเป็นผักสลัด เป็นผักเคียงทานกับแกงเผ็ดหรือน้ำพริกก็ได้ วอเตอร์เครสได้รับความนิยมในการปลูกมากเพราะปลูกได้ง่าย และยังสามารถนำไปขายเป็นการเพิ่มรายได้เข้ากระเป๋าได้อีกด้วย (ในห้างฯ กก.ละ~ 300 บ.)
นอกจากนี้วอเตอร์เครสยังมีคุณประโยชน์มากมายจริงๆ อาทิ
ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย บำรุงสุขภาพ
ช่วยบำรุงรักษาสายตา เพราะอุดมด้วยวิตามิน เอ
ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน
ช่วยลดระดับไขมันในเลือด
ช่วยบำรุงรักษา กระดูกและฟันให้แข็งแรง
ช่วยป้องกันหลอดเลือดหัวใจตีบ
ช่วยลดระดับไตรกลีเซอไรด์ในกระแสเลือด
ช่วยยับยั้งการเกิดโรคมะเร็ง และป้องกันการเกิดมะเร็งปอด
ช่วยลดการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่
ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของมะเร็งเต้านม
ช่วยในการย่อยอาหาร
อ้างอิง : สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.)
https://www.facebook.com/OuayUn/posts/923672730987550
วอเตอร์เครส (Watercress) หรือสลัดน้ำ เป็นผักที่อยู่ในวงศ์เดียวกับกะหล่ำปลี โดยอยู่ในวงศ์ Brasicaceae มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Nasturtium officinale ผักชนิดนี้ได้รับสมญานามว่าเป็นราชินีผักสำหรับคนรักสุขภาพ
วอเตอร์เครสเป็นผักกินใบ นิยมรับประทานเป็นผักสลัด เป็นผักเคียงทานกับแกงเผ็ดหรือน้ำพริกก็ได้ วอเตอร์เครสได้รับความนิยมในการปลูกมากเพราะปลูกได้ง่าย และยังสามารถนำไปขายเป็นการเพิ่มรายได้เข้ากระเป๋าได้อีกด้วย (ในห้างฯ กก.ละ~ 300 บ.)
นอกจากนี้วอเตอร์เครสยังมีคุณประโยชน์มากมายจริงๆ อาทิ
ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย บำรุงสุขภาพ
ช่วยบำรุงรักษาสายตา เพราะอุดมด้วยวิตามิน เอ
ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน
ช่วยลดระดับไขมันในเลือด
ช่วยบำรุงรักษา กระดูกและฟันให้แข็งแรง
ช่วยป้องกันหลอดเลือดหัวใจตีบ
ช่วยลดระดับไตรกลีเซอไรด์ในกระแสเลือด
ช่วยยับยั้งการเกิดโรคมะเร็ง และป้องกันการเกิดมะเร็งปอด
ช่วยลดการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่
ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของมะเร็งเต้านม
ช่วยในการย่อยอาหาร
อ้างอิง : สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.)
https://www.facebook.com/OuayUn/posts/923672730987550
1
Add a comment...
โรคต้อหินเป็นสาเหตุของภาวะตาบอดของประชากรทั่วโลก เป็นอันดับสองรองจากโรคต้อกระจก
ระยะแรกจะไม่มีอาการผิดปกติ ไม่มีตามัว ไม่มีปวดตา แต่หากไม่ได้รับการตรวจตา เพื่อวินิจฉัยและรับการรักษาอย่างต่อเนื่อง ผู้ป่วยจะมีอาการตามัว มองเห็นภาพแคบลงเรื่อยๆ จนกระทั่งตาบอดในที่สุด
ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ได้แก่ พันธุกรรม ผู้ป่วยเบาหวาน ความดัน นอนกรน ไมเกรน สายตาสั้นมากๆ สายตายาวมากๆ คนที่เคยผ่าตัดตา ความดันลูกตาผิดปกติ และตาอักเสบ
http://www.hedlomnews.com/?p=6892
ระยะแรกจะไม่มีอาการผิดปกติ ไม่มีตามัว ไม่มีปวดตา แต่หากไม่ได้รับการตรวจตา เพื่อวินิจฉัยและรับการรักษาอย่างต่อเนื่อง ผู้ป่วยจะมีอาการตามัว มองเห็นภาพแคบลงเรื่อยๆ จนกระทั่งตาบอดในที่สุด
ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ได้แก่ พันธุกรรม ผู้ป่วยเบาหวาน ความดัน นอนกรน ไมเกรน สายตาสั้นมากๆ สายตายาวมากๆ คนที่เคยผ่าตัดตา ความดันลูกตาผิดปกติ และตาอักเสบ
http://www.hedlomnews.com/?p=6892
จักษุแพทย์ มช.เตือน 'โรคต้อหิน'เสี่ยงทำตาบอด แนะตรวจสุขภาพทุกปี วันที่ 12 มีนาคม 2558 ณ บริเวณห...
1
Add a comment...
อาการของโรคต้อหินในระยะแรกจะไม่มีอาการใดๆ ต่อมาเมื่อประสาทตาถูกทำลายไปมากกว่า 40% ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการสูญเสียการมองเห็นโดยลานสายตาจะแคบลงเรื่อยๆ
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคต้อหิน คือ อายุมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่วัยชรา มีประวัติต้อหินในครอบครัว เคยมีอุบัติเหตุที่ตา หรือเคยได้รับการผ่าตัดตา มีโรคประจำตัวบางชนิดเช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง รวมทั้งผู้ที่มีกระจกตาบางกว่าปกติ
แนะนำให้ประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป กลุ่มผู้สูงอายุ ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นต้อหิน ผู้ที่มีสายตาสั้นหรือยาวมาก ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ผู้ป่วยโรคเกี่ยวกับเลือดและหลอดเลือดซึ่งเลือดไหลเวียนขึ้นไปประสาทตาไม่ดี และผู้ที่ใช้ยาหยอดตาจำพวกสเตียรอยด์โดยไม่ได้อยู่ภายใต้การดูแลของจักษุแพทย์ ควรได้รับการตรวจคัดกรองความดันลูกตาและตรวจขั้วประสาทตา อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1425363685
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคต้อหิน คือ อายุมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่วัยชรา มีประวัติต้อหินในครอบครัว เคยมีอุบัติเหตุที่ตา หรือเคยได้รับการผ่าตัดตา มีโรคประจำตัวบางชนิดเช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง รวมทั้งผู้ที่มีกระจกตาบางกว่าปกติ
แนะนำให้ประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป กลุ่มผู้สูงอายุ ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นต้อหิน ผู้ที่มีสายตาสั้นหรือยาวมาก ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ผู้ป่วยโรคเกี่ยวกับเลือดและหลอดเลือดซึ่งเลือดไหลเวียนขึ้นไปประสาทตาไม่ดี และผู้ที่ใช้ยาหยอดตาจำพวกสเตียรอยด์โดยไม่ได้อยู่ภายใต้การดูแลของจักษุแพทย์ ควรได้รับการตรวจคัดกรองความดันลูกตาและตรวจขั้วประสาทตา อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1425363685
1
Add a comment...
อายุต่ำกว่า 15 ปี เด็กจะใช้สายตามาก จะทำให้สายตาสั้นเร็วกว่าปกติ ซึ่งมีทั้งสั้นเทียมหรือสั้นชั่วคราว และสั้นถาวร นอกจากนี้จะทำให้เกิดอาการปวดตา ปวดศีรษะโดยไม่รู้สาเหตุ เกิดจากการเพ่งสายตา ส่งผลต่อการทำงานในบางอาชีพที่ต้องใช้สายตาในอนาคต เช่น นักบิน ตำรวจ ทหาร เป็นต้น
กลุ่มที่อายุเกิน 15 ปีจะไม่มีปัญหาสายตาสั้นเทียม แต่จะเกิดปัญหาเมื่อยล้า แสบตา ตาแห้ง มีอาการปวดศีรษะ หรือทำให้ไมเกรนกำเริบ
ผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไปซึ่งเป็นวัยทำงาน ตามปกติสายตาจะเริ่มยาว หากใช้สายตามากกว่าปกติจะเกิดอาการเมื่อยล้า ปวดตา ตาแดง แสบตามากขึ้น และหากกลับไปบ้านและทำงานกับเครื่องคอมพิวเตอร์อีก จะทำให้เมื่อยล้ามากขึ้น และเกิดสะสม เวียนศีรษะ
วัยหลังเกษียณ การเล่นไลน์หรือคอมพิวเตอร์มาก จะมีอาการแสบตา ตาแห้ง ปวดตา อาการจะเป็นมากกว่าผู้ที่อายุน้อย เนื่องมาจากความเสื่อมในการทำงานของอวัยวะที่เกิดตามวัย
สิ่งสำคัญไม่ควรใช้สายตากับหน้าจอคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือยาวนานติดต่อกันตลอดทั้งวัน โดย 30 นาที ควรพักสัก 5 นาที
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1424303880
กลุ่มที่อายุเกิน 15 ปีจะไม่มีปัญหาสายตาสั้นเทียม แต่จะเกิดปัญหาเมื่อยล้า แสบตา ตาแห้ง มีอาการปวดศีรษะ หรือทำให้ไมเกรนกำเริบ
ผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไปซึ่งเป็นวัยทำงาน ตามปกติสายตาจะเริ่มยาว หากใช้สายตามากกว่าปกติจะเกิดอาการเมื่อยล้า ปวดตา ตาแดง แสบตามากขึ้น และหากกลับไปบ้านและทำงานกับเครื่องคอมพิวเตอร์อีก จะทำให้เมื่อยล้ามากขึ้น และเกิดสะสม เวียนศีรษะ
วัยหลังเกษียณ การเล่นไลน์หรือคอมพิวเตอร์มาก จะมีอาการแสบตา ตาแห้ง ปวดตา อาการจะเป็นมากกว่าผู้ที่อายุน้อย เนื่องมาจากความเสื่อมในการทำงานของอวัยวะที่เกิดตามวัย
สิ่งสำคัญไม่ควรใช้สายตากับหน้าจอคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือยาวนานติดต่อกันตลอดทั้งวัน โดย 30 นาที ควรพักสัก 5 นาที
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1424303880
1
Add a comment...
เด็กไทยสายตาสั้นเพิ่มขึ้น 3 เท่า เหตุใช้สมาร์ทโฟนท่องเน็ตเพิ่มมากขึ้น ยาวนานขึ้น เฉลี่ยวันละ 7.2 ชั่วโมง แนะย่าเล่นนานเกิน 30 นาที พักสายตา 1-5 นาที ดื่มน้ำบ่อยๆ เพิ่มความชุ่มชื้นตา
การเล่นคอมพิวเตอร์ในเด็กวัยประถม คืออายุต่ำกว่า 15 ปี เด็กจะใช้สายตามาก ทำให้สายตาสั้นเร็วกว่าปกติ ซึ่งมีทั้งสั้นเทียม (สั้นชั่วคราว) และสั้นถาวร ซึ่งขณะนี้อัตราการเกิดสายตาสั้นเพิ่มขึ้น 3 เท่า ซึ่งจะทำให้เด็กมีปัญหาในการเรียน มองตัวหนังสือบนกระดานไม่ชัด จดข้อมูลและเรียนไม่ทันเพื่อน นอกจากนี้ จะทำให้เกิดอาการปวดตา ปวดศีรษะโดยไม่รู้สาเหตุ ซึ่งเกิดเนื่องมาจากการเพ่งสายตา
กลุ่มอายุเกิน 15 ปี จะไม่มีปัญหาสายตาสั้นเทียม แต่จะเกิดปัญหาเมื่อยล้า แสบตา ตาแห้ง มีอาการปวดศีรษะ หรือทำให้ไมเกรนกำเริบ
หากเป็นผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นวัยทำงาน ตามปกติสายตาจะเริ่มยาว หากใช้สายตามากกว่าปกติ จะเกิดอาการเมื่อยล้า ปวดตา ตาแดง แสบตามากขึ้น หากกลับไปบ้านและทำงานกับเครื่องคอมพิวเตอร์อีก จะทำให้อาการเมื่อยล้ามากขึ้น และเกิดสะสม เวียนศีรษะ
สำหรับวัยหลังเกษียณ การเล่นไลน์หรือคอมพิวเตอร์มาก จะมีอาการแสบตา ตาแห้ง ปวดตา อาการจะเป็นมากกว่าผู้ที่อายุน้อย เนื่องมาจากความเสื่อมการทำงานของอวัยวะที่เกิดตามวัย
http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000116341
การเล่นคอมพิวเตอร์ในเด็กวัยประถม คืออายุต่ำกว่า 15 ปี เด็กจะใช้สายตามาก ทำให้สายตาสั้นเร็วกว่าปกติ ซึ่งมีทั้งสั้นเทียม (สั้นชั่วคราว) และสั้นถาวร ซึ่งขณะนี้อัตราการเกิดสายตาสั้นเพิ่มขึ้น 3 เท่า ซึ่งจะทำให้เด็กมีปัญหาในการเรียน มองตัวหนังสือบนกระดานไม่ชัด จดข้อมูลและเรียนไม่ทันเพื่อน นอกจากนี้ จะทำให้เกิดอาการปวดตา ปวดศีรษะโดยไม่รู้สาเหตุ ซึ่งเกิดเนื่องมาจากการเพ่งสายตา
กลุ่มอายุเกิน 15 ปี จะไม่มีปัญหาสายตาสั้นเทียม แต่จะเกิดปัญหาเมื่อยล้า แสบตา ตาแห้ง มีอาการปวดศีรษะ หรือทำให้ไมเกรนกำเริบ
หากเป็นผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นวัยทำงาน ตามปกติสายตาจะเริ่มยาว หากใช้สายตามากกว่าปกติ จะเกิดอาการเมื่อยล้า ปวดตา ตาแดง แสบตามากขึ้น หากกลับไปบ้านและทำงานกับเครื่องคอมพิวเตอร์อีก จะทำให้อาการเมื่อยล้ามากขึ้น และเกิดสะสม เวียนศีรษะ
สำหรับวัยหลังเกษียณ การเล่นไลน์หรือคอมพิวเตอร์มาก จะมีอาการแสบตา ตาแห้ง ปวดตา อาการจะเป็นมากกว่าผู้ที่อายุน้อย เนื่องมาจากความเสื่อมการทำงานของอวัยวะที่เกิดตามวัย
http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000116341
1
Add a comment...
ควรพักสายตา 2-3 นาที ต่อการใช้ทุกๆ 30 นาที หรือ 1 ชั่วโมง และกะพริบตาบ่อยๆ 10-15 ครั้งต่อนาที นั่งทำงานในที่ที่มีแสงสว่าง ปรับขนาดตัวหนังสือให้ อ่านง่าย ขณะอยู่กลางแจ้งที่มีแดดจ้า หรือขับรถในเวลากลางวันควรใส่แว่นกันแดด เพื่อลดปริมาณแสงแดดเข้าสู่ดวงตา
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1412148800
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1412148800
1
Add a comment...
มันม่วง...ป้องกันความชราค่ะ
มันเทศสีม่วง เนื้อมันเทศมีสีม่วงเข้ม เป็นมันเทศที่มีสาร “แอนโทไซยานิน” (Anthocyanin) อยู่สูง ซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์ในการต่อต้านอนุมูลอิสระ มีส่วนช่วยในการชะลอความเสื่อมของเซลล์ ช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและเส้นเลือดอุดตันได้ ช่วยชะลอความเสื่อมของดวงตา
และพบว่าสารชนิดนี้ช่วยยับยั้งเชื้ออีโคไลซึ่งเป็นสาเหตุของโรคท้องร่วง ในธรรมชาติผักและผลไม้ที่มีสารแอนโทไซยานินมากมักจะสีม่วง เช่นองุ่นแดง บลูเบอรี่ ฯลฯ สำหรับพืชหัวจะมีมากในหัวมันเทศเนื้อสีม่วง โดยเฉพาะมันเทศเนื้อสีม่วงจากประเทศญี่ปุ่นได้มีการปรับปรุงสายพันธุ์ได้เนื้อมันเทศที่มีสีม่วงเข้มตลอดทั้งหัว มันเทศ เป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรตชั้นดีที่ให้พลังงานโดยไม่ก่อพิษต่อร่างกายแบบอาหารแปรรูปจากแป้งและน้ำตาลแบบอื่น ๆ
ส่วนใบและยอดอ่อนของมันเทศ (Sweet potato) สามารถนำมาปรุงเป็นอาหารได้ และยังมีวิตามินเอ วิตามินซี สารอาหารลูทิน (Lutein) ที่ช่วยบำรุงสายตา ผัดยอดมันเทศเป็นอาหารที่คนมาเลเซียรับประทานกันเป็นประจำ
ส่วนมันเทศเนื้อสีส้มมีสารเบต้าแคโรทีนสูง ซึ่งช่วยลดอัตราการกลายพันธ์ของเซลล์และทำลายเซลล์มะเร็ง การนำยอดมันเทศมาปรุงอาหารพบว่ามีในประเทศญี่ปุ่น จีน และเกาหลีด้วย
ทางด้านคุณค่าทางโภชนาการของมันเทศมีสูงกว่ามันฝรั่งด้วยซ้ำไป ในเนื้อมันเทศนอกจากจะมีปริมาณแป้งสูงแล้ว ยังมีวิตามินและแร่ธาตุมาก มันเทศเนื้อสีส้ม จะมีสารเบต้าแคโรทีนสูงไม่แพ้แครอทและสาหร่ายทะเล
ในขณะที่มันเทศเนื้อสีม่วงจะมีสารแอนโทไซยานินสูง สารแอนโทไซยานินจะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจได้ และยังทำหน้าที่เป็นตัวล้างพิษและช่วยชะลอความแก่ชราได้ มีข้อมูลว่าในบางประเทศมีการใช้เนื้อมันเทศสีม่วงเป็นคาร์โบไฮเดรตแทนข้าวสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า ทำไม ในปัจจุบันมันเทศเนื้อสีม่วงที่มีวางขายในทั่วโลกจึงมีราคาค่อนข้างแพง ขายถึงผู้บริโภคไม่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ 100 บาท
โดย ทางแพทย์สายพุทธ
เครดิต: นานาสาระเพื่อสุขภาพที่ดี
ภาพ: จากอินเตอร์เน็ต
BY ทางแพทย์สายพุทธ
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=603717699719025&set=a.491823914241738.1073741826.491812030909593
มันเทศสีม่วง เนื้อมันเทศมีสีม่วงเข้ม เป็นมันเทศที่มีสาร “แอนโทไซยานิน” (Anthocyanin) อยู่สูง ซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์ในการต่อต้านอนุมูลอิสระ มีส่วนช่วยในการชะลอความเสื่อมของเซลล์ ช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและเส้นเลือดอุดตันได้ ช่วยชะลอความเสื่อมของดวงตา
และพบว่าสารชนิดนี้ช่วยยับยั้งเชื้ออีโคไลซึ่งเป็นสาเหตุของโรคท้องร่วง ในธรรมชาติผักและผลไม้ที่มีสารแอนโทไซยานินมากมักจะสีม่วง เช่นองุ่นแดง บลูเบอรี่ ฯลฯ สำหรับพืชหัวจะมีมากในหัวมันเทศเนื้อสีม่วง โดยเฉพาะมันเทศเนื้อสีม่วงจากประเทศญี่ปุ่นได้มีการปรับปรุงสายพันธุ์ได้เนื้อมันเทศที่มีสีม่วงเข้มตลอดทั้งหัว มันเทศ เป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรตชั้นดีที่ให้พลังงานโดยไม่ก่อพิษต่อร่างกายแบบอาหารแปรรูปจากแป้งและน้ำตาลแบบอื่น ๆ
ส่วนใบและยอดอ่อนของมันเทศ (Sweet potato) สามารถนำมาปรุงเป็นอาหารได้ และยังมีวิตามินเอ วิตามินซี สารอาหารลูทิน (Lutein) ที่ช่วยบำรุงสายตา ผัดยอดมันเทศเป็นอาหารที่คนมาเลเซียรับประทานกันเป็นประจำ
ส่วนมันเทศเนื้อสีส้มมีสารเบต้าแคโรทีนสูง ซึ่งช่วยลดอัตราการกลายพันธ์ของเซลล์และทำลายเซลล์มะเร็ง การนำยอดมันเทศมาปรุงอาหารพบว่ามีในประเทศญี่ปุ่น จีน และเกาหลีด้วย
ทางด้านคุณค่าทางโภชนาการของมันเทศมีสูงกว่ามันฝรั่งด้วยซ้ำไป ในเนื้อมันเทศนอกจากจะมีปริมาณแป้งสูงแล้ว ยังมีวิตามินและแร่ธาตุมาก มันเทศเนื้อสีส้ม จะมีสารเบต้าแคโรทีนสูงไม่แพ้แครอทและสาหร่ายทะเล
ในขณะที่มันเทศเนื้อสีม่วงจะมีสารแอนโทไซยานินสูง สารแอนโทไซยานินจะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจได้ และยังทำหน้าที่เป็นตัวล้างพิษและช่วยชะลอความแก่ชราได้ มีข้อมูลว่าในบางประเทศมีการใช้เนื้อมันเทศสีม่วงเป็นคาร์โบไฮเดรตแทนข้าวสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า ทำไม ในปัจจุบันมันเทศเนื้อสีม่วงที่มีวางขายในทั่วโลกจึงมีราคาค่อนข้างแพง ขายถึงผู้บริโภคไม่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ 100 บาท
โดย ทางแพทย์สายพุทธ
เครดิต: นานาสาระเพื่อสุขภาพที่ดี
ภาพ: จากอินเตอร์เน็ต
BY ทางแพทย์สายพุทธ
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=603717699719025&set=a.491823914241738.1073741826.491812030909593
1
Add a comment...
การได้รับคลื่นแสงสีฟ้าซึ่งเป็นช่วงแสงที่มาจากจอแท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ หรือสมาร์ตโฟน อาจส่งผลให้เกิดอาการซึมเศร้า ส่วนวิธีแก้ปัญหาที่ได้รับความสนใจเวลานี้ คือ แอพพลิเคชั่นชื่อ "F.lux" ซึ่งช่วยลดแสงหน้าจอให้อ่อนลงและเข้าสู่โทนสีแดงอมส้มที่ดีต่อสายตาโดยอัตโนมัติ
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1378782803
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1378782803
หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ : ข่าวการเงิน ตลาด รถยนต์ พร็อพเพอร์ตี้ ไอซีที ท่องเที่ยว ต่างประเทศ เศรษฐกิจในประเทศ พร็อพเพอร์ตี้
1
Add a comment...
กิน"กลูโคซามีน" ระวังตา(อาจ)บอด : อาหารสมอง -http://variety.teenee.com/foodforbrain/53424.html
มีรายงานในวารสารสมาคมแพทย์สหรัฐ ทางจักษุวิทยา (JAMA) ว่า ผู้ใช้กลูโคซามีนจะมีความดันในลูกตาสูงขึ้น ทั้งนี้ ผู้ป่วยเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะมีต้อหินอยู่บ้าง หลังจากกินกลูโคซามีนความดันในลูกตาสูงขึ้นอย่างชัดเจน และเมื่อหยุดกินความดันในลูกตาก็ลดลง คำเตือนจากรายงานนี้คือ ผู้ป่วยที่มีอาการข้อเสื่อม มักเป็นผู้สูงอายุอยู่แล้ว และมักมีปัญหาโรคตาร่วมด้วย โดยเฉพาะต้อกระจก และต้อหิน ทั้งนี้ ต้อหินซึ่งเกิดจากความดันน้ำในลูกตาสูงซึ่งจะทำให้ตาบอดนั้น อาจไม่มีอาการเตือนคือ ไม่มีอาการเจ็บลูกตาก็ได้ แต่เมื่อใช้กลูโคซามีน สายตาก็จะเลวลงเรื่อยๆ และอาจบอดในที่สุด
มีรายงานในวารสารสมาคมแพทย์สหรัฐ ทางจักษุวิทยา (JAMA) ว่า ผู้ใช้กลูโคซามีนจะมีความดันในลูกตาสูงขึ้น ทั้งนี้ ผู้ป่วยเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะมีต้อหินอยู่บ้าง หลังจากกินกลูโคซามีนความดันในลูกตาสูงขึ้นอย่างชัดเจน และเมื่อหยุดกินความดันในลูกตาก็ลดลง คำเตือนจากรายงานนี้คือ ผู้ป่วยที่มีอาการข้อเสื่อม มักเป็นผู้สูงอายุอยู่แล้ว และมักมีปัญหาโรคตาร่วมด้วย โดยเฉพาะต้อกระจก และต้อหิน ทั้งนี้ ต้อหินซึ่งเกิดจากความดันน้ำในลูกตาสูงซึ่งจะทำให้ตาบอดนั้น อาจไม่มีอาการเตือนคือ ไม่มีอาการเจ็บลูกตาก็ได้ แต่เมื่อใช้กลูโคซามีน สายตาก็จะเลวลงเรื่อยๆ และอาจบอดในที่สุด
1
Add a comment...
ระวังพฤติกรรม 4 จอร้าย...ทำลายสายตา ของหนุ่มสาวทำงานยุคดิจิตอล -http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1366627999
ปัจจุบันเราอยู่ในยุคของ Gen S (Generation of Screen) ที่เป็นยุคแห่งโลกดิจิตอล ที่คนส่วนใหญ่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีมากขึ้น และอยู่ท่ามกลาง “จอ” รอบตัว ไม่ว่าจะเป็น จอคอมพิวเตอร์ จอแท็บเล็ต จอมือถือ และจอโทรทัศน์ และนับวันแนวโน้มการใช้สายตาในการมองจอเหล่านี้ยิ่งจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
ปัจจุบันเราอยู่ในยุคของ Gen S (Generation of Screen) ที่เป็นยุคแห่งโลกดิจิตอล ที่คนส่วนใหญ่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีมากขึ้น และอยู่ท่ามกลาง “จอ” รอบตัว ไม่ว่าจะเป็น จอคอมพิวเตอร์ จอแท็บเล็ต จอมือถือ และจอโทรทัศน์ และนับวันแนวโน้มการใช้สายตาในการมองจอเหล่านี้ยิ่งจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ : ข่าวการเงิน ตลาด รถยนต์ พร็อพเพอร์ตี้ ไอซีที ท่องเที่ยว ไอซีที ต่างประเทศ
1
Add a comment...
คุณประโยชน์ของน้ำเสาวรส
ผลการวิจัยในไทยและต่างประเทศ สรุปคุณประโยชน์ของเสาวรสที่นำมาทำเป็นน้ำเสาวรส ดังนี้
วิตามิน เอ
- บำรุงสายตา ทำให้การมองเห็นชัดเจน
- ช่วยรักษาอาการนอนไม่หลับ
- ช่วยรักษาสภาพเยื่อบุผิว
วิตามิน ซี (มากกว่าที่พบในมะนาวถึง 5 เท่า)
- ลดอาการเจ็บคอ
- ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันโรค และช่วยเพิ่มความสมดุลให้กับร่างกาย
คุณประโยชน์อื่นๆ
- บรรเทาอาการจากโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
- ฟื้นฟูตับและไตที่อ่อนแอ
- กำจัดสารพิษในเลือด ลดไขมันในเลือด ความดันโลหิตสูง
- แก้โรคหอบหืด
"น้ำเสาวรส" รสชาติอร่อย ให้ความสดชื่น มีประโยชน์สูง
ผลการวิจัยในไทยและต่างประเทศ สรุปคุณประโยชน์ของเสาวรสที่นำมาทำเป็นน้ำเสาวรส ดังนี้
วิตามิน เอ
- บำรุงสายตา ทำให้การมองเห็นชัดเจน
- ช่วยรักษาอาการนอนไม่หลับ
- ช่วยรักษาสภาพเยื่อบุผิว
วิตามิน ซี (มากกว่าที่พบในมะนาวถึง 5 เท่า)
- ลดอาการเจ็บคอ
- ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันโรค และช่วยเพิ่มความสมดุลให้กับร่างกาย
คุณประโยชน์อื่นๆ
- บรรเทาอาการจากโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
- ฟื้นฟูตับและไตที่อ่อนแอ
- กำจัดสารพิษในเลือด ลดไขมันในเลือด ความดันโลหิตสูง
- แก้โรคหอบหืด
"น้ำเสาวรส" รสชาติอร่อย ให้ความสดชื่น มีประโยชน์สูง
1
Add a comment...
ด้วยความห่วงใย
.....................
BETTER PHARMACY เจ็ดยอด เชียงใหม่
เราคัดสรรสิ่งที่ดี มีคุณภาพ เพื่อคุณ
FACEBOOK/BetterPharmacyCMG
LINE ID - BETTERCM
.....................
UPDATE 2016.06.23
No comments:
Post a Comment